“มิงกะลาบา” ภาษาพม่าแปลว่า “สวัสดี” ใช่แล้ว วันนี้เราจะพาทุกคนข้ามประตูแม่สอดสู่เมืองเมียวดี (Myawaddy) รัฐกะเหรี่ยง (Kayin State) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (The Republic of the Union of Myanmar) เพื่อไปไหว้พระ ขอพรกันที่ประเทศพม่า ประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาในอดีต มีวัดวาอารามตามเมืองต่างๆ เยอะมากๆ รวมไปถึงเรื่องราวประวัติศาตร์มากมายเมื่อครั้งอดีต เหมาะกับคนที่อยากเที่ยวพม่าแต่มีเวลาน้อย เพราะเมียวดีนั้นสามารถที่จะเที่ยวได้ภายใน 1 วันเท่านั้น โดยเราจะพาทุกคนข้ามสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ด่านพรมแดนแม่สอด เพื่อไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านที่ว่านี้กันโดยทางรถ

One day trip in Myawaddy

เราสามารถหารถเหมาเที่ยวเมียวดีได้ทั้งที่ฝั่งแม่สอด (ฝั่งไทย) หรือจะข้ามฝั่งไปหาฝั่งเมียวดีก็ได้ ก่อนอื่นนั้นเราจะต้องไปทำหนังสือข้ามแดนชั่วคราวก่อนที่สำนักงานหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ทางหลวงเอเชียสาย 1 ก่อนถึงสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมานิดเดียว เมื่อมาถึงสำนักงานหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ก็ติดต่อขอทำหนังสือข้ามแดนชั่วคราว โดยใช้บัตรประชาชนตัวจริงเท่านั้น และจ่ายค่าธรรมเนียมการทำหนังสือข้ามแดนชั่วคราวคนละ 30 บาท ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ ไม่กี่นาที่ก็เสร็จ แต่จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมที่ฝั่งพม่าอีกครั้ง ตอนเราข้ามแดนตรงสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมาอีกคนละ 20 บาท หนังสือผ่านแดนชั่วคราวนี้ มีอายุ 7 วัน โดยนับจากวันที่ทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว นั่นหมายความว่า เราสามารถเที่ยวและพำนักอยู่ได้เฉพาะในเมืองเมียวดีไม่เกิน 7 วันเท่านั้น ถ้าเลยไปเมืองอื่นต้องใช้พาสปอร์ต

หลังจากทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวเสร็จ เราก็ทำการเหมารถไปเที่ยวเมียวดีกันเลย เราได้รถเหมาที่สำนักงานหนังสือผ่านแดนชั่วคราว โดยตกลงราคากันที่ 1,300 บาท (ราคารถตู้เหมาไปเที่ยวเมียวดีประมาณ 3 – 5 ชั่วโมง ส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 1,200 – 1,500 บาท ตามแต่ตกลง) หลังจากได้รถเหมาแล้ว เราก็ไปตะลุยเมียวดีกันเลย โดยทำการข้ามแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นแม่น้ำที่เป็นเส้นกั้นแบ่งระหว่างชายแดนไทย – พม่า บริเวณสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา เพื่อเข้าสู่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน นั่นก็คือ “เมืองเมียวดี”

วัดเจดีย์ทอง หรือภาษาพม่าเรียกว่า วัดชเวมินหวุ่น วัดเจดีย์ทอง หรือภาษาพม่าเรียกว่า วัดชเวมินหวุ่น

เริ่มกันที่วัดแรกกันเลย เราไปกันที่วัดเจดีย์ทอง หรือภาษาพม่าเรียกว่า วัดชเวมินหวุ่น (Shwe Muay Wan Temple หรือ Shwe Myinn Wun) หรือชื่อเต็มว่า เจดีย์ชเวเมียนโหวานเซตี้ เป็นวัดสำคัญของเมียวดี มีอายุเก่าแก่ เค้าว่ากันว่า เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของที่นี่เลยนะ เราจึงบูชา “ใบชนะ” หรือ “อ่องเดอะบี่” ในภาษาพม่า (คนขับรถเราบอก) มาสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแห่งนี้ ใบชนะในที่นี้ มีลักษณะเหมือนร่มหรือพัด ซึ่งหมายถึงความร่มเย็นเป็นสุขนั่นเอง วัดเจดีย์ทองเป็นวัดที่จำลองมาจากเจดีย์ชเวดากองที่เมืองย่างกุ้ง มีองค์เจดีย์สีทองเหลืองอร่าม สวยงามมาก ประดิษฐานพระมหามุนี พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่า ที่นี่มีพระประทานรอบด้านทั้ง 4 ทิศ และแต่ละทิศนั้น ก็จะมีปางที่แตกต่างกัน โดยเป็นศิลปะแบบมอญพม่าทั้งหมดเลย สวยมาก แต่ช่วงที่เราไปนั้น บางส่วนเค้ากำลังทำการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดอยู่

วัดจระเข้ หรือวัดดอนจระเข้ หรืออีกชื่อ วัดมิจาโกง

ไปต่อกันที่วัดที่สอง วัดจระเข้ หรือวัดดอนจระเข้ หรืออีกชื่อคือวัดมิจาโกง (Myikyaungon) เค้าว่ากันว่า วัดนี้เป็นวัดที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนเมืองเมียวดีเลยนะ เพราะเป็นหอไตรที่ตั้งอยู่กลางน้ำบนตัวจระเข้ ซึ่งลักษณะเป็นรูปปั้นจระเข้ตัวใหญ่ สีเขียว ยาวประมาณ 65 เมตร ด้านหน้าจระเข้อ้าปากกว้าง ส่วนกลางของลำตัวเป็นหอไตร และส่วนหางจะเป็นทางเดินและสะพานเล็กๆ ให้เดินข้ามเข้ามาในหอไตร ซึ่งให้เฉพาะผู้ชายเข้าไปเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไป โดยมีป้ายเขียนเป็นภาษาไทยติดไว้ตรงทางเข้าหอไตรเลยว่า ห้ามผู้หญิงเข้า ส่วนฝั่งตรงข้ามหอไตรแห่งนี้ จะเป็นห้องแสดงพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า ไล่ประวัติมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิด ตรัสรู้ จนถึงปรินิพพาน ประมาณเกือบ 30 ห้อง

วัดเจ้าโหล่งจี (วัดก้อนหินใหญ่)

ถัดมาจากวัดจระเข้ เราก็ไปกันต่อที่วัดที่สาม วัดเจ้าโหล่งจี (วัดก้อนหินใหญ่) วัดนี้ตั้งอยู่บนเนิน เมื่อเราเข้าไปไหว้พระเสร็จ เราจึงเดินขึ้นไปจุดชมวิวที่ชั้นบนสุดนั้นมีกลองอันใหญ่ตั้งอยู่ ข้างบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองเมียวดีได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งพบว่าเมียวดียังมีต้นไม้ ป่าไม้อีกเยอะมาก และอุดมสมบูรณ์มากๆ ด้วยนะ แถมยังมีวัดอีกเยอะมากๆ เท่าที่สังเกตจากจุดชมวิวข้างบนนั้น จะเห็นยอดเจดีย์และวัดต่างๆ มากมาย ทำให้นึกถึงทะเลเจดีย์ที่พุกาม เมืองทางตอนเหนือของพม่า ที่นั่นมองไปมีแต่ทะเลเจดีย์  แต่ที่นี่มีแต่ต้นไม้และวัด ภูเขาและหมอกบางๆ ที่วัดแห่งนี้ มีประวัติเขียนติดไว้เป็นภาษาพม่าและภาษาไทย โดยเขียนไว้ว่า มีตำนานเรื่องเล่าว่า มีชาวบ้านคนหนึ่งได้มาเก็บเห็ดหาฟืนบริเวณวัดเจ้าโหล่งจี ได้เกิดนิมิตเห็นเงาเจดีย์เก่าๆ สูงประมาณ 7 เมตร ต่อมาได้ฝันว่า ได้มาทำความสะอาด ปัดกวาดเจดีย์ ปรากฏว่ามีงูเขาเฝ้าอยู่จึงคิดว่าเป็นเทวดา ชื่อ เมี๊ยะนางซิ่น ต่อมามีคนจีนชื่อ อู่อันต๊ะ พบเห็นจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเล่าต่อแล้วกลัวคนอื่นไม่เชื่อ

ร้านน้ำชาข้างทาง

หลังจากตระเวนไหว้พระ ขอพรมาได้สัก 3 วัด  เราก็รู้สึกเพลียหน่อยๆ เพราะแดดแรงมาก สลับกับมีฝนตกหน่อยๆ เลยขอแวะร้านน้ำชาข้างทาง เพื่อพักสักแปปก่อนเที่ยวต่อ เพราะร้านที่เราหยุดแวะนั้น เป็นร้านเพิงสไตล์บ้านๆ ที่มีชาวบ้านทั่วไปแวะเวียนไปมา เหมือนเป็นศูนย์รวมของคนละแวกนั้น ให้ได้พบปะสังสรรค์กัน เราทำการสั่งชาร้อนแบบพม่ามากิน แก้วละ 300 จั้ต หรือประมาณ 10 บาท รสชาติชานมเข้มข้น หอมชาหน่อยๆ แตะจมูก อร่อยดี และก็สั่งโรตีและขนมปังชุบไข่ ชิ้นละ 10 บาท ที่ร้านฝั่งตรงข้ามซึ่งร้านค้าที่นี่รับเงินไทยด้วย นั่งจิบชาไป กินขนมไป นั่งดูวิถีชีวิตของคนแถวนี้ผ่านไปมาก็ชิลดีนะ บางคนเข้าร้านน้ำชามาเพื่อจับกลุ่มคุยกัน เล่นหมากรุกกัน นั่งอ่านหนังสือ และบางคนก็นั่งกินหมากกัน เราไม่รอช้า เพราะนึกถึงสุภาษิตไทยที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” เห็นข้างๆ ร้านน้ำชาเป็นร้านขายหมาก เราจึงลองสั่งหมากพม่า แบบที่คนพม่าเคี้ยวจนปากแดงนั่นแหล่ะ มาลองกินดูว่าเป็นอย่างไร แต่ลองแค่นิดเดียวนะ แปลกดี รสชาติบอกไม่ถูก รู้แต่ซ่าๆ ดี และก็ขอยืนดูน้องคนขายหมาก ซึ่งหน้าตาเหมือนเป็นคนอินเดียเลย ทำหมากขายอย่างขะมักเขม้น ใส่อะไรหลายอย่างมากโรยลงไปๆ และปิดท้ายด้วยการใส่น้ำสีน้ำตาลใสๆ ซึ่งน่าจะเป็นน้ำหมากลงไปนิดนึง คือคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง เลยอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไรบ้าง ได้แต่ถามพี่คนขับรถว่า หมากราคาเท่าไหร่ จะได้จ่ายตังค์ถูก แกก็บอกว่า หมาก 3 คำ 100 จั้ต แต่น้องเค้าไม่คิดเงินเรานะ เพราะอยากให้พวกเราลอง ใจดีจัง ขอบใจนะ

วัดมอญพระยืน

หลังจากหายเหนื่อยแล้ว เราก็ไปวัดที่สี่กันต่อ นั่นก็คือ วัดมอญพระยืน เพื่อสักการะองค์พระยืน ซึ่งด้านข้างขององค์พระยืนจะเป็นองค์เจดีย์สีทองเหลืองอร่ามที่ถูกห้อมล้อมด้วยรั้วสีชมพู โดยที่วัดมอญพระยืนแห่งนี้ได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจากประเทศศรีลังกา บรรจุห้อมล้อมอย่างมิดชิดอยู่ในตู้กระจก ซึ่งตั้งให้สักการบูชาภายในศาลาถัดจากองค์พระยืน โดยมีแว่นขยายตั้งจ่อเอาไว้ให้ส่องดูพระบรมสารีริกธาตุจากข้างนอกตู้ได้

วัดพระเขี้ยวแก้ว

ปิดท้ายวัดสุดท้าย แต่ยังไม่ท้ายสุด กับวัดที่ห้า วัดพระเขี้ยวแก้ว เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขา มีองค์พระเจดีย์อยู่ข้างบน ต้องเดินขึ้นบันได้ไป หรือถ้าใครขี้เกียจเดินขึ้นบันได ก็ให้รถขับขึ้นไปส่งข้างบนเลยก็ได้นะ ด้านในพระเจดีย์มีพระพุทธรูปและพระเขี้ยวแก้วประดิษฐานอยู่ข้างใน โดยพระเขี้ยวแก้วนั้นจะใส่พานไว้อยู่ในตู้กระจกทั้ง 2 ตู้ ซึ่งตรงจุดทำบุญของวัด มีการร่วมสร้างพระเจดีย์ โดยมีใบบริจาคแบบ 2 ภาษา ซึ่งเราสามารถเลือกได้ นั่นก็คือ ภาษาพม่าและภาษาไทย นอกจากนี้ยังมีป้ายข้อมูลการบริจาคบางอันเป็นภาษาไทยอีกด้วย แสดงว่าคนไทยน่าจะมาทำบุญที่วัดแห่งนี้เยอะ

ตลาดบุเรงนอง

ก่อนปิดท้ายทริป เราไปกันต่อที่ ตลาดบุเรงนอง ศูนย์รวมสินค้าต่างๆ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ขายของใช้ เสื้อผ้า ของจิปาถะ ขนมต่างๆ ยันของสด รวมไปถึงของใช้ เออ ร้านทองก็มีนะ หลายร้านด้วย เดินดูไปดูมา โดยส่วนตัวเราคิดว่า ตลาดบุเรงนองคล้ายๆ ตลาดสดบ้านเรานะ แนะนำว่า ถ้าเพื่อนๆ คนไหนจะแวะมาตลาดบุเรงนอง ให้มาถึงก่อนบ่ายสามโมง เพราะเรามาถึงบ่ายสามโมงนิดๆ ตลาดเริ่มจะวายแล้วล่ะ

และที่สุดท้ายของทริปนี้ก่อนข้ามกลับไปฝั่งไทย นั่นก็คือ เมียวดี คอมเพล็กซ์ แหล่งคาสิโนรายใหญ่และแหล่งขายของปลอดภาษีริมแม่น้ำเมย ที่ดิวตี้ฟรีแห่งนี้ไม่ใหญ่มากนะ เท่าที่เข้าไปเดินดูจะขายของประเภทกระเป๋าแบรนด์เนม และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ฯลฯ ลองมาเดินคลายร้อนกันที่นี่ได้นะ

อำเภอแม่สอด อาจเป็นแค่ทางผ่าน เพื่อไปเที่ยวน้ำตกทีลอซู อำเภออุ้มผาง จังหวัดตากกันเป็นส่วนใหญ แต่หากใครพอมีเวลาเที่ยวที่นี่สักหน่อย อยากแนะนำให้ข้ามมาเที่ยว เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่ากันดูนะ ใช้เวลาแค่แปบเดียวก็สามารถเที่ยวได้ทั่วเมืองเมียวดีแล้ว มาไหว้พระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่กัน และได้เห็นวิถีชีวิตของคนพม่าที่ผ่านไปมา คนพม่าส่วนใหญ่ชอบเคี้ยวหมากปากแดงกันทั้งนั้น ผู้ชายใส่โสร่ง ผู้หญิงทาแป้งทานาคา ปั่นจักรยานกันไปมา ชวนให้นึกถึงภาพเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน และเมื่อครั้งไปเที่ยวย่างกุ้งคราวก่อนเลยล่ะ ยังไงก็ลองหาโอกาสแวะมาสัมผัสเมืองเมียวดีด้วยตัวเองกันนะ

 

เรื่องและภาพ : E’Pa พาเที่ยว