Lindau lighthouse
ประภาคารและสิงโตบาวาเรีย สัญลักษณ์ของเมืองลินเดา

ลินเดา เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ล่างสุดของแคว้นบาวาเรียในเยอรมัน ทางตะวันตกของ Fussen ที่มีปราสาทนอยชวานสไตน์ที่เรารู้จักกัน และเป็นติ่งเล็กๆ ของแคว้นนี้ที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลสาบคอนสแตนท์ (Bodensee ในภาษาเยอรมัน) ที่เป็นรอยต่อระหว่างสามประเทศคือ สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย และเยอรมัน เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักที่อยากแนะนำให้มาเที่ยวกัน

ประภาคารและสิงโตบาวาเรีย

สิงโตบาวาเรีย เฝ้าทางเข้าท่าเรือคู่กับประภาคาร
สิงโตบาวาเรีย เฝ้าทางเข้าท่าเรือคู่กับประภาคาร (สังเกตหน้าสิงโตจะแบนๆ เพราะทำไว้ให้มองชัดจากเรือที่เข้าท่ามากกว่า)
ภายในประภาคาร
ภายในประภาคารมีภาพเขียนประวัติศาสตร์ต่างๆ (รวมทั้งผลงานจากคนมือบอนด้วย)
บริเวณท่าเรือ Lindau
บริเวณท่าเรือ Lindau
แลนด์มาร์คที่สะดุดตาที่สุดของที่นี่คือประภาคารแห่งเดียวของบาวาเรีย (ก็แคว้นนี้ไม่มีทะเลใหญ่ตรงที่อื่นนี่นา :-) ตั้งอยู่บนสะพานที่ยื่นออกมาตรงทางเข้าท่าเรือ ส่วนปลายสะพานอีกข้างทำเป็นรูปปั้นสิงโตขนาดใหญ๋ที่เป็นสัญลักษณ์ของบาวาเรีย จึงเป็นจุดที่ใครๆ มักจะต้องมาถ่ายรูป โดยประภาคารนี้มีบันไดเวียนให้ขึ้นไปถ่ายรูปจากชั้นบนสุดได้ ซึ่งจะเห็นท่าเรือทั้งหมดในมุมสูงดีทีเดียว (เสียแต่มีนักท่องเที่ยวมือบอนไปขีดๆ เขียนๆ ผนังด้านในเอาไว้พอสมควร) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านั่งเรือข้ามมาจากท่าเรืออื่นในทะเลสาบ ก่อนเรือเข้าเทียบท่า จะเห็นรูปปั้นสิงโตหันหน้าออกทะเลคู่กับประภาคารด้วย (ถ้าถ่ายจากบนฝั่งจะเห็นแต่ด้านข้างสิงโตเท่านั้น สักงเตว่าหน้าสิงโตด้านข้างจะแบนๆ เพราะออกแบบให้มองเห็นชัดจากเรือที่เข้ามามากกว่า)

The Tower (Mangturm)

หอคอย Mangturm ตรงท่าเรือ
หอคอย Mangturm ตรงท่าเรือ
ถัดมาอีกจุดหนึ่งคือหอคอยสูงบริเวณท่าเรือเรียกว่า Mangturm (Tower) หอคอยสูง 20 เมตรนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการริมน้ำมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และใช้เป็นจุดส่งสัญญาณไฟ ก่อนที่ประภาคารปัจจุบันจะสร้างเสร็จในปี 1856 หอคอยนี้ภายหลังเมื่อเลิกติดตั้งสัญญาณไฟแล้วได้มีการต่อหลังคายอดแหลมขึ้นไปอีกชั้น จนกลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมอีกแห่งในปัจจุบัน เราสามารถขึ้นบันไดไปชมวิวจากชั้นบนสุดของหอคอยได้เช่นกัน นอกจากนี้อาจพบเห็นเส้นผมยาวเหยียดแขวนห้อยลงมา นั่นคือเรื่องราวจากนิทาน Rapunzel เรื่องเจ้าหญิงผมยาวที่ถูกคุมขังอยู่ในหอคอยและปล่อยผมลงมาเป็นทางให้ปีนขึ้นไปหาได้ ที่ดิสนีย์เคยสร้างการ์ตูนออกฉายทั่วโลกนั่นเอง
รถไฟเล็กนั่งชมเมือง
รถไฟเล็กนั่งชมเมือง
บริเวณลานท่าเรือริมน้ำระหว่างประภาคารกับหอคอย Mangturm จะมีขบวนรถไฟเล็กที่ให้บริการวิ่งชมเมือง ใครอยากประหยัดขาก็ทดลองนั่งกันอยู่ได้ แต่รถให้บริการช่วงกลางวัน-บ่าย ไม่ถึงตอนเย็นมาก

เมืองเก่ายุคกลาง

เดินถัดเข้าไปจากท่าเรือเราจะเริ่มเห็นเสน่ห์ของเมืองเล็กๆ นี้ ที่ผม (ทึกทักเอาเอง) ว่าคล้ายๆ จะมีกลิ่นอายของเวนิสอยู่บ้าง ถึงแม้จะใหม่กว่าและตรอกซอกซอยไม่แคบคดเคี้ยวเท่าก็ตาม รวมทั้งถนนบางสายก็เปิดให้รถยนต์ หรือแม้แต่รถบัสประจำทางเข้ามาวิ่งได้ด้วย ลองเดินเล่นลัดเลาะไปแบบไม่มีจุดหมายก็จะเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมากพอสมควรแต่ไม่แน่นขนัดเหมือนกับเวนิส ไม่ร้านรวงต่างๆ ขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ถนนหนทางต่างๆ มีทั้งส่วนที่เหมือนจะเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวกับส่วนที่ผู้คนอยู่อาศัยตามปกติปะปนกัน

บรรยากาศเมืองเก่า
บรรยากาศเมืองเก่า
บรรยากาศเมืองเก่า
บรรยากาศเมืองเก่า
บรรยากาศเมืองเก่า
บรรยากาศเมืองเก่า
ภาพเขียนบนผนังอาคาร
ภาพเขียนบนผนังอาคาร
ภาพเขียนบนผนังอาคาร
ภาพเขียนบนผนังอาคาร

ศาลาว่าการเมืองเก่า

ตรงกลางเกาะเป็นที่ตั้งของอาคารศาลาว่าการเมืองเก่า (Old town hall หรือ Altes Rathaus) ตัวอาคารขนาดไม่ใหญ่นักแต่มีลวดลายสีสันสดใสสะดุดตาจนเป็นจุดที่ใครๆ ต้องมาถ่ายรูปกัน ทั้งด้านหน้า (ทิศเหนือ) ที่เป็นลานกว้างเปิดออกสู่ถนนสายหบัก คือจัตุรัสบิสมาร์ค (Bismarckplatz) ด้านนี้จะมีบันไดขึ้นห้องโถงชั้นบน และเฉลียงไม้มีหลังคาคลุม กับลวดลายประดับพร้อมนาฬิกาโบราณ ส่วนด้านหลัง (ลาน Reichsplatz) เป็นภาพวาดสีแสดงประวัติของเมืองลินเดา อาคารนี้ครั้งแรกสร้างขี้นในศตวรรษที่ 15 ในแบบสถาปัตยกรรม Gothic แล้วก็สร้างใหม่เป็นแบบ Renaissance แทนอย่างที่เห็นในศตววรษที่ 16
ด้านหน้าของศาลาว่าการเมืองเก่า
ด้านหน้าของศาลาว่าการเมืองเก่า (ด้านทิศเหนือ จัตุรัสบิสมาร์ค)
บันไดทางขึ้นอันเป็นเอกลักษณ์
บันไดทางขึ้นมีหลังคาคลุม อันเป็นเอกลักษณ์
ภาพเขียนและนาฬิกาบนหน้าจั่ว
ภาพเขียนและนาฬิกาบนหน้าจั่ว
ลวดลายด้านหลังของศาลาว่าการเมืองเก่า
ลวดลายด้านหลัง (ด้านทิศเหนือ) ของศาลาว่าการเมืองเก่า (ด้านจัตุรัส Reichsplatz)

โบสถ์ St. Stephan

โบสถ์ St Stephan
โบสถ์ St Stephan
ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างเรียบง่ายตามแบบโปรเตสแตนท์
ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างเรียบง่ายตามแบบโปรเตสแตนท์
กระจกสีทำลวดลายแบบสมัยใหม่
กระจกสีแบบโบราณ แต่ทำลวดลายแบบสมัยใหม่
เดินต่อไปทางตะวันออกอีกหน่อยจะพบโบสถ์ขนาดใหญ่สองแห่งตั้งคู่กัน ย่องเข้าไปดูภายในจะเห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง แห่งหนึ่งคือโบสถ์ St. Stephan สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันเป็นโบสถ์โปรเตสแตนต์ ซึ่งถึงจะมีขนาดใหญ่โต แต่ภายในก็ตกแต่งแบบเรียบง่ายไม่เน้นความหรูหรา ลานหน้าโบสถ์ทั้งสองมีน้ำพุและรูปปั้นหัวเสาเป็นเทพเนปจูน ตามสไตล์น้ำพูที่พบเห็นได้ในหลายๆ เมืองของสวิสและเยอรมัน

โบสถ์พระแม่มารี

โบสถ์ St Stephan (ซ้าย) โบสถ์พระแม่มารี (ขวา)
โบสถ์ St Stephan (ซ้าย) โบสถ์พระแม่มารี (ขวา)
โบสถ์พระแม่มารี และรูปปั้นเทพเนปจูนหัวเสาน้ำพุที่ลานโบสถ์
โบสถ์พระแม่มารี และรูปปั้นเทพเนปจูนหัวเสาน้ำพุที่ลานโบสถ์
ส่วนอีกหลังข้างกันเป็นโบสถ์พระแม่มารีหรือ Church of our lady ที่เป็นโบสถ์หลักประจำเมืองของคาธอลิค ความจริงโบสถ์นี้สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกในเกาะนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ภายในประดับประดาด้วยลวดลายอลังการ แต่ตัวอาคารที่เห็นในปัจจุบันคือสร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 18 แทนโบสถ์หลังเก่าที่ถูกไฟไหม้เสียหายหมด

หอคอยขังโจร (The Thieves Tower)

หอคอย Thieves Tower
หอคอย Thieves Tower
เดินย้อนมาทางสถานีรถไฟ จะเห็นหอคอยลวดลายหลังคาสวยงาม หอนี้เป็นป้อมปราการเก่าของเมือง และเคยใช้เป็นที่คุมขังนักโทษที่ทำผิด เช่น ลักขโมย จึงได้ชื่อว่า Diebsturm หรือ
The Thieves Tower นั่นเอง หอคอยนี้ตั้งอยู่ติดกับโบสถ์เก่าอีกแห่งหนึ่งคือ โบสถ์ St.Peter หรือ Peterskirche ในบริเวณใกล้กับสถานีรถไฟ

สถานีรถไฟ Lindau

สถานีรถไฟ Lindau Hauptbahnhof
สถานีรถไฟ Lindau Hauptbahnhof
ถ้าเดินไปจนสุดเกาะด้านตะวันออก จะมีสวนขนาดใหญ่และสะพานซึ่งเป็นเส้นทางหลักให้รถยนต์และรถบัสข้ามเข้ามาที่เกาะได้ ส่วนในทิศตรงกันข้ามคือฝั่งตะวันตก เดินไปเกือบสุดเกาะเช่นกันก็จะเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟประจำเมือง (Lindau Hauptbahnhof) ซึ่งมีเขื่อนและสะพานรถไฟขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 เมื่อ 100 กว่าปีก่อน เพื่อเชื่อมเกาะเข้ากับแผ่นดินใหญ่ ที่นี่เป็นจุดปลายทางเส้นทางรถไฟสาย Allgäu Railway จากมิวนิคเมืองหลวงของแคว้นบาวาเรีย บริเวณรอบสถานีรถไฟเท่าที่เห็นจะมีร้านรวงและโรงแรมที่พักอยู่บ้าง

แหล่งชุมนุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล

ความสำคัญอีกอย่างของลินเดาก็คือเป็นสถานที่นัดพบของบรรดาผู้เคยได้รับรางวัลโนเบล (Nobel laureate) ทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่จะมาพบปะกันทุกปี และเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาที่ได้รับคัดเลือกมาจากที่ต่างๆ ทั่วโลกเข้าฟังและถามคำถามต่างๆ ได้ ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ก็เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนในงานนี้ด้วยเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ทางเมืองลินเดาก็ยังมีโครงการที่จะสร้างสถานที่ประชุมโดยเฉพาะสำหรับงานนี้ขึ้นในอนาคต
สวนสาธารณะที่จัดงาน และสะพานรถยนต์
สวนสาธารณะ และสะพานรถยนต์
บรรยากาศเมืองเก่ายุคกลาง
บรรยากาศเมืองเก่ายุคกลาง
บรรยากาศเมืองเก่ายุคกลาง
เดินเล่นในบรรยากาศเมืองเก่ายุคกลาง
ป้ายเก๋ๆ จะพบเห็นได้ทั่วไป
ป้ายเก๋ๆ จะพบเห็นได้ทั่วไป
น้ำพุแบบโบราณ
น้ำพุแบบโบราณ

การเดินทาง

การเดินทางมาที่ลินเดานี้อาจทำได้ทั้งทางรถไฟโดยนั่งมาจากสถานี St.Gallen ผ่านเมือง Rorschach (ริมทะเลสาบ ที่นี่มีท่าเรือข้ามไปลินเดาด้วย แต่ต้องเช็คตารางเรือดีๆ นอกฤดูท่องเที่ยว (ปลาย พ.ค.-กลาง ต.ค.) เรืออาจมีวิ่งไม่ทุกวัน เช่นเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ (ที่ต้องบอกกันไว้ก่อนเพราะผมเองพลาดมาแล้ว) รถไฟจะไปวิ่งผ่านเมือง St.Margrethen ชายแดนระหว่างสวิสกับออสเตรีย ผ่านเมือง Bregenz แล้วจึงจะถึง Lindau ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงพอๆ กับข้ามเรือมาเลย

Bye-Bye Lindau

ประภาคารและสิงโตบาวาเรียในยามพลบค่ำ
ประภาคารและสิงโตบาวาเรียในยามพลบค่ำ
ผมใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในลินเดาประมาณครึ่งวัน ซึมซับบรรยากาศของเมืองเก่า ท่าเรือที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งของบาวาเรีย เสียดายที่ไม่มีเวลาตระเวนให้ครบทุกซอกซอย หลังจากทานอาหารเย็นแล้วก็ขึ้นรถไฟจากมาตอนพลบค่ำหลังตะวันกับฟ้า พร้อมกับความประทับใจดีๆ และก็ยังหวังว่าจะมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้ง อ้อ! ลืมบอกไปว่าลองซื้อข้าวของหรือทานอาหารที่นี่ ซึ่งใช้เงินยูโรเพราะเป็นดินแดนของเยอรมัน จะพบว่าค่าครองชีพถูกกว่าฝั่งสวิสประมาณ 20 ถึง 30% ทีเดียว