Home Blog Page 75

เที่ยวญี่ปุ่นขบวนรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion อิ่มท้อง อิ่มตา และอิ่มใจ

นั่งรถไฟเที่ยวญี่ปุ่น ขบวนรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion

สัมผัสประสบการณ์ใหม่ไปกับขบวนรถไฟภัตตาคาร “Tohoku Emotion” พร้อมจะพาคุณเคลื่อนที่ดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันสวยงามของท้องทะเล และลิ้มรสอาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่นชั้นดี พิถีพิถันตั้งแต่การปรุงรสไปจนถึงศิลปะการตกแต่งอาหาร โดยเชฟมืออาชีพชาวญี่ปุ่น

นั่งรถไฟเที่ยวญี่ปุ่น ขบวนรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion

ขบวนรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion เที่ยวญี่ปุ่นสายกินไม่ควรพลาด

รถไฟสาย Tohoku Emotion จะวิ่งเลียบชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น (Sanriku Coast) ระหว่างสถานี Hachinohe ในจังหวัดอาโอโมริ ไปจนถึงสถานี Kuji จังหวัดอิวาเตะ ภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku) ตามเส้นทางรถไฟสาย Hachinohe Line รวมระยะทาง 64.9 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. (ไป-กลับ 5 ชม.)

นั่งรถไฟเที่ยวญี่ปุ่น วิวด้านนอกเมื่อมองจากบนรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion
วิวด้านนอกเมื่อมองจากบนรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion

รถไฟขบวน Tohoku Emotion ปรับปรุงมาจากรถไฟดีเซลราง Series KiHa 110 ภายนอกของขบวนรถไฟเป็นสีขาว ตกแต่งลวดลายกำแพงอิฐ ให้ความรู้สึกเหมือนร้านอาหารด้วยการประดับโคมไฟ โดยตู้โดยสารทั้ง 3 ตู้ แบ่งออกเป็น ห้องครัว ตกแต่งอย่างมีสไตล์ด้วยเคาน์เตอร์บาร์ (Live Kitchen space) และส่วนของห้องอาหารตกแต่งด้วยโต๊ะ เก้าอี้ ในบรรยากาศหรูหรา นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารแบบส่วนตัวบริการอีกด้วย

เที่ยวญี่ปุ่น ชมบรรยากาศหรูหราภายในตู้รถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion
บรรยากาศหรูหราภายในตู้รถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion
เที่ยวญี่ปุ่น นั่งรถไฟภัตตาคาร โทโฮขุ ภายในมีพื้นที่กั้นเพื่อความเป็นส่วนตัวภายในตู้
ภายในมีพื้นที่กั้นเพื่อความเป็นส่วนตัวภายในตู้
บรรยากาศสวยๆ ภายในรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion
บรรยากาศสวยๆ ภายในรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion

เที่ยวญี่ปุ่น ชมบรรยากาศหรูหราภายในตู้รถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion

รถไฟขบวนพิเศษนี้ เปิดให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นกรุ๊ป (ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป) ไม่สามารถใช้ตั๋ว JR Pass, JR East Pass ได้ และจะต้องซื้อตั๋ว (แพ็กเกจ) ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น โดยผ่านทาง JR EAST Travel Service Centers หรือจากเอเยนต์ที่ให้บริการตามสถานีรถไฟ JR ใหญ่ๆ แนะนำให้ซื้อล่วงหน้าเพราะเป็นขบวนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

เที่ยวญี่ปุ่นขบวนรถไฟภัตตาคาร Tohoku Emotion จะได้พบกับทางเข้าขบวนรถไฟปูด้วยพรมแดง
ทางเข้าขบวนรถไฟปูด้วยพรมแดงสัญลักษณ์แสดงถึงความสำคัญและพิเศษสุดระดับวีไอพีของผู้ร่วมเดินทาง

รถไฟขบวน Tohoku Emotion จะวิ่งบริการตามตารางเวลาที่กำหนด เช็คข้อมูลได้จาก www.jreast.co.jp/tohokuemotion/m/#schedule หรือ www.jreast.co.jp/tohokuemotion/home.html โดยปกติจะวิ่งบริการวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดยาว
ต่อเนื่องในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกันยายน โดยมี 2 เที่ยวต่อวัน

ข้อมูลและภาพ: ทีมงาน DPlus Guide | ขอบคุณที่มาภาพบางส่วน : Photos provided by East Japan Railway Company (JR East)

เที่ยวญี่ปุ่นแบบ 2 in 1 กับรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ Torei-yu Tsubasa กันเถอะ

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยรถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa : ออนเซนเคลื่อนที่
เที่ยวญี่ปุ่นด้วยรถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa : ออนเซนเคลื่อนที่

เมื่อพูดถึงการไป “เที่ยวญี่ปุ่น” แล้ว เชื่อว่าเพื่อนหลายๆ คนจะนึกถึงการเดินทางด้วย “รถไฟชินคังเซน” อันโด่งดังแน่นอน และยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจที่จะขาดไปจากการเที่ยวญี่ปุ่นไม่ได้เลย ก็คือการผ่อนคลายด้วยการ “แช่ออนเซน” ผุดขึ้นมาในใจเหมือนกันใช่ไหมคะ แต่เพื่อนๆ ทราบกันไหมคะ ว่าเราสามารถทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กันได้ด้วย!

นั่นคือ ขบวนรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ Torei-yu Tsubasa บริการล้ำๆ ที่รวม “รถไฟชินคังเซน + บ่อแช่ออนเซน” เข้าไว้ด้วยกัน ให้เราพักผ่อนระหว่างการเดินทางได้ด้วย ตามมาดูขบวนรถไฟ 2 in 1 ขบวนนี้ที่ภูมิภาคโทโฮขุ ประเทศญี่ปุ่นกันเลยค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยรถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa : ออนเซนเคลื่อนที่
เที่ยวญี่ปุ่นแบบ 2 in 1 ด้วยรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ ขบวน Torei-yu Tsubasa กันเถอะ!

รถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa : ออนเซนเคลื่อนที่ รถไฟชินคังเซนที่มีสีสันสดใส ตกแต่งด้วยธีมสีเขียว ขาว และฟ้าเด่นสะดุดตานี้ แต่เดิมเคยเป็นรถไฟขบวน Akita Shinkansen (秋田新幹線) เป็นเครื่องยนต์ E3 Series ให้บริการครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 โดยวิ่งอยู่ในสาย Tohoku Shinkansan ใช้เชื่อมระหว่าง 2 ภูมิภาคคือโทโฮขุและคันโต วิ่งจากต้นสายจากสถานี Akita ไปยังสถานี Tokyo

ปัจจุบันรถไฟขบวน Akita Shinkansen ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ E6 Series เกือบทั้งหมดไปแล้ว ดังนั้น เครื่องยนต์ E3 Series จึงถูกปลดระวางไปโดยปริยาย ทางบริษัท JR East ซึ่งเป็นต้นสังกัดจึงเกิดไอเดียที่จะนำชินคังเซนปลดระวาง ที่เครื่องยนต์ยังใช้งานได้ดีทุกประการ มารีโนเวตใหม่ให้กลายเป็นขบวนชมวิวธรรมชาติอันสวยงามของภูมิภาคโทโฮขุ วิ่งบริการระหว่างสถานี Fukushima (จังหวัดฟุกุชิมะ) และสถานี Shinjo (จังหวัดยามางะตะ) แทน จึงเกิดเป็น รถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa นั่นเองค่ะ

แช่สปาเท้า พร้อมนั่งชมวิวไปด้วยชิลสุดๆ
แช่สปาเท้า พร้อมนั่งชมวิวไปด้วยชิลสุดๆ
วิวริมทางของจังหวัดฟุคุชิมะ จากบนรถไฟชินคังเซนออนเซนเคลื่อนที่ Torei-yu Tsubasa
วิวริมทางของจังหวัดฟุคุชิมะ ที่เพิ่งผ่านช่วงการเก็บเกี่ยวไปหมาดๆ

ความไม่ธรรมดาที่อยู่ในขบวนรถไฟคือ อ่างน้ำพุร้อนสำหรับแช่เท้า Ashiyu (foot bath) ซึ่งบุคคลที่ได้สร้างสรรค์เนรมิต รถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa คือ คุณ Ken Okuyama นักออกแบบยานยนต์ชื่อก้องโลก ด้วยงบประมาณ 500 ล้านเยน หรือประมาณ 160 ล้านบาท

เที่ยวญี่ปุ่น แบบ 2 in 1 กับรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ Torei-yu Tsubasa กันเถอะ
หน้าตาด้านข้างของ รถไฟออนเซนเคลื่อนที่ Torei-yu Tsubasa ถ้าเห็นหน้าตาแบบนี้เทียบชานชาลาละก็ ใช่เลย!

รถไฟขบวนนี้ปกติจะวิ่งบริการในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ ดูข้อมูลตารางเวลาเพิ่มเติมได้ที่ www.jreast.co.jp/railway/joyful/toreiyu.html โดยต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้าเท่านั้น ผู้ที่ถือตั๋ว JR East Pass (Tohoku area) และ JR Pass สามารถขึ้นขบวนนี้ได้ฟรีค่ะ

ตารางเดินรถ

ตารางเดินรถของ รถไฟออนเซนเคลื่อนที่ Torei-yu Tsubasa

ตารางเดินรถของ รถไฟออนเซนเคลื่อนที่ Torei-yu Tsubasa
…………………………………………………………………………………………………………………….

D e s i g n : การออกแบบและตกแต่งภายใน

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยรถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa : ออนเซนเคลื่อนที่รูปลักษณ์ภายนอกของ ชินคังเซนขบวน Torei-yu Tsubasa มีลวดลายสวยงาม ประกอบไปด้วยสามสีหลักคือ ส่วนหัวคาดมีสีฟ้าแทนสัญลักษณ์ของแม่น้ำ Mogami ส่วนตรงกลางและท้ายขบวนเป็นลายกราฟฟิกโค้งสีเขียวและขาว ซึ่งจุดสีเขียวสองจุดสื่อถึง 2 ภูเขาที่ยิ่งใหญ่ของดินแดนโทโฮขุ คือ ภูเขา Gassan และภูเขา Zao มีตู้โดยสารทั้งหมด 6 ตู้ โดยแต่ละตู้มีรายละเอียดการตกแต่งดังนี้

ตู้ที่ 1 : (Car 11) ตกแต่งเหมือนด้านในของรถไฟชินคังเซนแบบ Green car ทั่วไป

บรรยากาศรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ ขบวน Torei-yu Tsubasa ตู้ที่ 1ตู้ที่ 2, 3, 4 (Car 12, 13, 14) : ตกแต่งคล้ายร้านอาหารหรือคาเฟ่ญี่ป่น บวกกับความเรียบหรู โดยเน้นธีมสีแดง-ดำ-ขาวเป็นหลัก บนเพดานตกแต่งด้วยลายฉลุสีดำ ปูพื้นด้วยพรม โต๊ะนั่งแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง หันหน้าเข้าหากัน ที่นั่งได้ฝั่งละ 2 คน และ 4 คน พนักพิงเป็นสีแดงสด ตรงที่นั่งเป็นไม้ปูด้วยเสื่อทาทามิพร้อมมีเบาะรองนั่ง ตัวโต๊ะเป็นไม้ สามารถพับเก็บได้ทั้ง 2 ด้าน

บรรยากาศรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ ขบวน Torei-yu Tsubasa ตู้ที่ 2-4ตู้ที่ 5 (Car 15) : ตู้ขบวนนี้ถูกเนรมิตให้เป็นเลานจ์ (Lounge) บริเวณโซนนั่งตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นแท้ มีโต๊ะไม้อยู่ตรงกลาง ม้านั่งไม่มีพนักพิง ปูด้วยเสื่อทาทามิ ถัดไปเป็นเคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่มจำพวกแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะสาเกที่ขึ้นชื่อของญี่ปุ่น รวมถึงน้ำดื่ม น้ำอัดลม น้ำผลไม้ นอกจากนี้ยังมีขนมขบเคี้ยวและเบเกอรี่ชิ้นเล็กๆ ขายร่วมด้วย (แต่ไม่มี Ekiben หรือข้าวกล่องสำหรับทานบนรถไฟขาย) สำหรับผู้ที่สนใจจะแช่สปาเท้าต้องซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์นี้เท่านั้น

บรรยากาศรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ ขบวน Torei-yu Tsubasa ตู้ที่ 5 มีขายตั๋วสำหรับแช่สปาเท้า
เคาท์เตอร์ขายเครื่องดื่ม และขายตั๋วสำหรับสปาเท้าค่ะ

ตู้ที่ 6 (Car 16) : ตู้แห่งสปาเท้า มีความน่าสนใจตั้งแต่ทางเดินที่ตกแต่งระแนงไม้ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นจะเป็นบ่อแช่สปาเท้า ซึ่งแบ่งเป็น 2 โซนอยู่เยื้องกัน แต่ละโซนแบ่งออกเป็น 3 บ่อ ขนาดของบ่อมีความกว้างพอดีกับ 1 คน ตรงขอบบ่อมีสีแดงสดใสและมีไม้คั่นระหว่างบ่ออย่างเป็นสัดส่วนน้ำแร่ในบ่อมีความอุ่นพอดี และมีระบบไหล
วน บริเวณข้างบ่อของแต่ละโซนจะมีนาฬิกาเรือนใหญ่เพื่อจับเวลาในการแช่ของแต่ละรอบ รอบละ 15 นาที

บรรยากาศรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ ขบวน Torei-yu Tsubasa ตู้ที่ 6 สำหรับแช่สปาเท้าบนรถไฟ
บรรยากาศรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ ขบวน Torei-yu Tsubasa ตู้ที่ 6 สำหรับแช่สปาเท้าบนรถไฟ แช่ได้รอบละ 15 นาที

Note: ห้องน้ำจะอยู่ท้าย Car 13 และ Car 15 รถไฟนี้เป็นขบวนปลอดบุหรี่

……………………………………………………………………………………………………………………….

อ อ น เ ซ น เ ค ลื่อ น ที่

รถไฟชินคังเซนขบวน Torei-yu Tsubasa หรือเรียกเล่นๆ ว่า “ขบวนชินคังเซนแช่เท้า” ใช่ ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ มันคือรถไฟชินคังเซนตกแต่งพิเศษ ที่นอกจากจะดัดแปลงตู้ขบวน ต่างๆ ออกมาอย่างดูดีแล้ว ยังมีตู้พิเศษที่นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวไปพร้อมๆ กับแช่ออนเซนเท้าไปด้วย หากไม่อยากพลาดความผ่อนคลายนี้ต้องจองก่อนล่วงหน้าเท่านั้น
(จองล่วงหน้าได้นานเท่าไหร่ยิ่งดี)

บรรยากาศรถไฟออนเซนเคลื่อนที่ ขบวน Torei-yu Tsubasa ตู้ที่ 6 สปาเท้าบนรถไฟเรามาถึงสถานี Fukushima ที่เป็นสถานีต้นทางของขบวนแช่เท้า ซึ่งจะพลาดไม่ได้เลยเนื่องจากจองไว้แล้ว และมีวันละ 1 รอบเท่านั้น เวลาที่ของรถไฟขบวนนี้คือ 10:02 น. ตอนที่มาถึงเป็นเวลาประมาณ 09:30 น. จึงมีเวลาที่จะทำธุระส่วนตัว รวมถึงหาเสบียงตุนไว้ก่อน เพราะรู้มาว่าบนรถไฟไม่มีข้าวกล่องขาย

สถานี Fukushima เป็นสถานีหลักและเป็นชุมทางของรถไฟของ JR ของเมืองมีทั้งรถไฟชินคังเซน รถไฟด่วน และรถไฟโลคอลวิ่งผ่าน ดังนั้นตัวสถานีจึงมีพื้นที่กว้างขวาง และมีร้านค้า ร้านอาหาร และร้านข้าวขายข้าวกล่องอยู่หลายร้าน เราจึงจัดเมนูข้าวหน้าเนื้อมา 1 กล่อง

ป้ายบอกเวลา และชานชาลาของรถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa
ป้ายบอกเวลา และชานชาลาของรถไฟขบวน Torei-yu Tsubasa
ตั๋วจองที่นั่งขบวน Torei-yu Tsubasa
ตั๋วจองที่นั่งขบวน Torei-yu Tsubasa

เมื่อใกล้ถึงเวลาเราแสดงตั๋ว JR Pass แก่เจ้าหน้าที่ พร้อมควักตั๋วจองที่นั่งของขบวน Torei-yu Tsubasa ให้เขาดูและถามทางด้วย เจ้าหน้าที่ชี้บอกให้ไปชานชาลาที่ 5 ซึ่งตอนนี้มีเวลาเหลืออีก 15 นาที จึงไม่ต้องรีบมากนัก
รออยู่ที่ชานชาลาไม่นาน รถไฟก็ค่อยๆ แล่นมาจอดเทียบอย่างสง่างาม เพื่อนร่วมขบวนที่มารอขึ้นด้วยกันต่างส่งเสียงตื่นเต้นดีใจ เราก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย บางคนวิ่งไปต้นขบวนถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอกันครึกครื้น

รถไฟ Torei-yu Tsubasa ค่อยๆ แล่นมาเทียบชานชาลาของสถานี Fukushima

ยังมีเวลาที่เหลืออีกเกือบสิบนาทีก่อนรถไฟออก ซึ่งเพียงพอที่เราจะเดินไปถ่ายด้านนอกขบวนและหามุมสวยๆ แอบสังเกตว่าชินคังเซนขบวนนี้ดูสวยมาก นอกจากสีสันสดใสแล้ว ยังดูใหม่และสมบูรณ์แบบ (ไม่น่าเชื่อว่าเป็นรถไฟปลด
ระวาง) มีด้วยกันทั้งหมด 6 ตู้ แต่ในตั๋วของเราบอกว่า Car 12 (12 ไหนว้า?) เอาเป็นว่าขึ้นไปก่อนละกัน พอขึ้นไปก็ถึงบางอ้อ เพราะขบวนนี้เขาเริ่มต้น ตู้แรกคือ Car 11 จึงลองเดินเข้าไปดูตู้แรก พบว่าตู้ขบวนนี้ตกแต่งเหมือนที่นั่งชินคังเซนแบบ Green Car ทั่วไป แทบ ไม่มีอะไรพิเศษ

สำรวจด้านในรถไฟ Torei-yu Tsubasaกลับมาที่ตู้ของเรา ถึงกับต้องร้องว้าว!!  คือด้านในตกแต่งเหมือนกับภัตตาคารหรือคาเฟ่ โดดเด่นด้วยเพดาน
ลายฉลุสีดำ สิ่งที่สะดุดตาอีกอย่างคือพนักเก้าอี้สีแดงสดตัดกับสีของโต๊ะไม้ ตรงที่นั่งปูด้วยเสื่อทาทามิ โซนที่นั่งแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งสำหรับมากันเป็นครอบครัวสามารถนั่งได้ 4 คน แบบหันหน้าเข้าหากัน อีกฝั่งสำหรับนั่ง 2 คน เหมาะสำหรับมากับคนรู้ใจหรือ เพื่อนสนิท แต่ดูในตั๋วที่เราจอง ดันได้นั่งฝั่งที่มากันเป็นครอบครัว ..และสุดท้ายก็ไม่มีใครมานั่งกับเรา อิอิ

นั่งรถไฟ Torei-yu Tsubasa ชมวิว ไม่มีข้าวกล่องขายบนรถไฟนะจ๊ะ
ไม่มีข้าวกล่องขายบนรถไฟนะจ๊ะ กล่องนี้เอามาเอง > <

จากการนั่งรถไฟที่ญี่ปุ่นมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ชมบรรยากาศริมทางของฤดูใบไม้ร่วงพร้อมทั้งทานข้าวกล่องเอกิเบนไปด้วยอีกแล้ว ขบวนนี้แม้ภายนอกจะเป็นชินคังเซนแต่ความเร็วก็ยังไม่เท่าชินคังเซนขบวนอื่นๆ จึงทำให้สามารถมองภาพบรรยากาศ แล้วจดบันทึกไว้ในความทรงจำได้อย่างดี

เมื่อมองไปนอกหน้าต่างเราจะเห็นทั้งความเจริญของชุมชนเมืองที่ยังแฝงไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ครั้นเมื่อผ่าน
ชานเมือง วิวทิวทัศน์จะเปลี่ยนเป็นทุ่งนาที่เก็บเกี่ยวแล้ว เลยไปอีกหน่อยก็เริ่มมีป่าไม้หุบเขา แม่น้ำ ลำธาร แต่น่าเสียดายตอนที่ไป (กลางเดือนพฤศจิกายน) เป็นช่วงที่ภูมิภาคโทโฮขุพ้นฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว จึงเหลือใบไม้
แดงให้เห็นไม่ถึง 10% แต่นั่นก็ไม่อาจลบเลือนความงามของธรรมชาติไปได้ เพราะยังไงก็ยังสวยงามอยู่ดี

สำรวจด้านในรถไฟ Torei-yu Tsubasaเมื่อละเลียดอาหารเช้าบนรถไฟจนหมดกล่อง ก็ได้เวลาสำรวจตู้ถัดๆ ไปว่าจะมีอะไรให้เราเซอร์ไพรส์อีกมั้ย ปรากฏว่า Car 13, 14 ตกแต่งเหมือนกับ Car 12 ของเราค่ะ จึงเดินเลยไปยัง Car 15 ระหว่างทางยังมีการตกแต่งทางเดินด้วยระแนงไม้ ทำให้ลืมไปชั่วขณะหนึ่งว่าตอนนี้กำลังอยู่บนรถไฟ

บรรยากาศของ Car 15 รถไฟ Torei-yu Tsubasa
บรรยากาศของ Car 15 รถไฟ Torei-yu Tsubasa

Car 15 ถูกดัดแปลงให้เป็นเลานจ์ (Lounge) ที่มีโซนนั่งดัดแปลงให้เหมือนโต๊ะญี่ปุ่น มีด้วยกัน 3 โต๊ะ ที่นั่งปูด้วยเสื่อทาทามิเช่นเคย ถัดไปเป็นเคาน์เตอร์สำหรับสั่งเครื่องดื่มและค็อกเทล รวมไปถึงเบเกอรี่ไม่กี่ชนิด เมื่อสั่งเสร็จก็นำไปนั่งรับประทานที่โต๊ะติดหน้าต่างพร้อมชมวิวไปในตัวได้ด้วย สำหรับเมนูเครื่องดื่มหากใครเป็นคอสาเก รับรองนี่คือสวรรค์เลยหล่ะ เพราะเห็นมีอยู่หลายยี่ห้อ หลายขวด (แม้จะอ่านรายละเอียดข้างขวดไม่ออกก็ตาม ^^)

เคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่ม ขนม และขายตั๋วสำหรับสปาแช่เท้าบนรถไฟด้วย
เคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่ม ขนม และขายตั๋วสำหรับสปาแช่เท้าด้วย

สำรวจรถไฟแช่เท้า Torei-yu Tsubasaมาถึง Car 16 ซึ่งเป็นตู้สุดท้าย อันนี้แหละของจริง อันที่จริงได้กลิ่นกำมะถันตั้งแต่อยู่ Car 15 แล้ว เลยตามกลิ่นไปก็เจอเป้าหมายคือที่แช่สปาเท้าหรือออนเซนเท้านั่นเอง บ่อแช่แบ่งออกเป็น 2 โซน อยู่คนละฝั่งเยื้องกัน แบ่งเป็นโซนละ 3 บ่อ ตอนที่ไปถึงยังมีลูกค้าเป็นกลุ่มคุณลุงคุณป้านั่งแช่กันอยู่คุยกันไป ชมวิวไป ชิลล์มากๆ

ประสบการณ์ทดลองนั่งรถไฟออนเซนแช่เท้าเราก็เลยไปนั่งรอนึกว่าถ้าคุณลุงคุณป้าขึ้นเสร็จจะถึงคิวเราสักพัก คุณน้องพนักงานก็เดินเข้ามาพร้อมสปีคแจแปนนีสรัวๆ พอจับใจความได้ว่า เราต้องมีตั๋วนะ….แน่นอนเรามีจ้ะ รีบยื่นตั๋วจองที่นั่งให้พร้อมยิ้มอย่างมั่นใจ ปรากฏว่าไม่ใช่จ้า ต้องซื้อตั๋วสำหรับแช่เท้าโดยเฉพาะ เราจึงควักเงินออกมาจะจ่ายค่าตั๋ว แต่คุณน้องรีบปฏิเสธพร้อมแนะนำให้ไปซื้อตรงเคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่มนั่นแหละ แถมยังเดินตามไปส่งด้วย พร้อมทั้งซื้อตั๋วให้ในราคา 380 เยน แช่ได้ 15 นาที

ก่อนขายตั๋วพนักงานจะดูเวลาก่อนว่าใกล้จะถึงสถานีปลายทาง Shinjo หรือยัง หากเวลากระชั้นชิดเกินไปเขาจะไม่ขายตั๋วให้ แต่ขบวนนี้จะไปถึงสถานี Shinjo ราว 12:16 น. ซึ่งยังพอมีเวลา โดยคิวที่เราจะได้แช่คือเวลา
11:45 น. (บวกเวลาแช่ไปอีก 15 นาที) ถือว่ากระชั้นอยู่นะ…

มีคำแนะนำเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับการนั่งแช่เท้าในรถไฟออนเซน
มีคำแนะนำเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย

ไหนๆ อุตส่าห์มาแล้วก็ต้องไม่พลาดแต่กว่าจะถึงคิวเราได้ลงแช่ ยังเหลืออีกหลายคิว จึงกลับไปนั่งรับลมชมวิวรอยังตู้ที่นั่งของตัวเอง จนกระทั่งใกล้ๆ ถึงเวลาแล้วค่อยเดินไปตอนไปถึงเห็นคุณลุงคุณป้ายังแช่กันอยู่เลยพอเข็มนาฬิกาบนผนังชี้ครบตามเวลา (แต่ละโซน ขึ้นพร้อมกัน ลงพร้อมกัน) พนักงานก็จะแจ้งให้รีบขึ้น พร้อมเอาชุดผ้าขนหนูและถุงพลาสติกสำหรับใส่ถุงเท้า รองเท้ามาให้

เมื่อกลุ่มก่อนหน้าขึ้นจากบ่อแช่ พนักงานจะทำความสะอาดพื้นที่นั่งรวมถึงมีการปล่อยน้ำแร่ใหม่เข้ามา ในขณะเดียวกันลูกค้ากลุ่มใหม่ก็จัดการตัวเองให้เรียบร้อย เราได้นั่งริมสุด หลังจุ่มขาลงบ่อแช่รู้สึกถึงความผ่อนคลาย น้ำแร่ไม่ร้อนไม่เย็นจนเกินไป แถมยังไหลเวียนเป็นจังหวะขึ้นลง เหมือนการนวดเท้าไปในตัว แถมได้ชมบรรยากาศที่สวยงามจากริมหน้าต่าง เป็นอะไรที่ฟินอย่างสุดๆ จนรู้สึกว่าเวลา 15 นาทีมันช่างผ่านไปรวดเร็ว

นั่งแช่เท้าในรถไฟออนเซน สุดแสนจะผ่อนคลายบนรถไฟออนเซน มีพื้นที่ให้จัดการตนเอง ใส่รองเท้าถุงเท้าให้เรียบร้อยก่อนเดินกลับที่นั่ง

เมื่อขึ้นมาจากบ่อรู้สึกถึงความเบาเนื้อเบาตัว สงสัยเลือดไหลเวียนดีขึ้น หลังจากจัดแจงตัวเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยแล้ว จึงกลับไปยังที่นั่งเดิม ระหว่างที่เดินรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้น ความเมื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันหายเป็นปลิดทิ้ง!
อาจจะฟังดูเวอร์ แต่อยากบอกว่ามันดีมากญี่ปุ่นนี่เขาช่างสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรจริงๆ

นั่งฟินต่อไปไม่นาน รถไฟก็พาเรามาถึงสถานีปลายทาง Shinjo จังหวัดยามากาตะในช่วงเวลาเที่ยงกว่าๆ นับเป็นอีกวันดีๆ ที่สร้างความประทับใจไม่มีวันลืมเลยค่ะ ^^

บรรยากาศภายในสถานี Shinjo ที่ญี่ปุ่น
บรรยากาศภายในสถานี Shinjo ปลายทางของรถไฟออนเซน
ด้านนอกของสถานี Shinjo
ด้านนอกของสถานี Shinjo

เรื่องและภาพ : Indiana_holmes DPlus Guide Team

มาแล้ว! พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีที่เกาหลี ประจำปี 2016

พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี เกาหลี

ฤดูใบไม้ร่วงที่เกาหลี เริ่มตั้งแต่เดือน กันยายน – พฤศจิกายน บรรยากาศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เกาหลีจะมีอากาศสดชื่น ท้องฟ้าแจ่มใส และจะเกิด ปรากฏการณ์ใบไม้เปลี่ยนสี จากการผลัดใบตามธรรมชาติของต้นไม้ ทำให้ใบไม้เปลี่ยนจากสีเขียวตามปกติเป็นสีแดงในช่วงเดือนตุลาคมนี่เองค่ะ

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมต่างๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่ามของใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งใบไม้บนต้นและบนพื้นถนนจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง น้ำตาล หรือสีแดง ตลอดจนบนหุบเขาก็จะให้สีที่สลับซับซ้อน ทำให้เป็นช่วงเดือนที่โรแมนติกเหมาะแก่การมาท่องเที่ยวเกาหลีมากที่สุดค่ะ

ซึ่งในปี 2559 นี้ใบไม้เปลี่ยนสีที่เกาหลีจะเริ่มเปลี่ยนสีตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ล่าช้ากว่าเวลาเฉลี่ยจากปีก่อนๆ ประมาณ 2 วัน จุดแรกที่จะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีของเกาหลี ก็คือ อุทยานแห่งชาติ Seoraksan National Park (NaeSeorak) ในเขต Gangwon-do ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเกาหลี ซึ่งจะเริ่มเปลี่ยนสีตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. และจะพีคในช่วง 20 ต.ค. จากนั้นจึงตามด้วย อุทยานแห่งชาติ Jirisan National Park (Sancheong) ปรากฏการณ์ใบไม้เปลี่ยนสีจะเปลี่ยนสีไล่ลงมาเรื่อยๆ จากทางเหนือลงไปจนถึงทางตอนใต้ของประเทศค่ะ

พยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสีที่เกาหลี ปี 2016

พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี เกาหลี

สถานที่ ช่วงที่เริ่มเปลี่ยนสี ช่วงพีค
Seoraksan National Park (NaeSeorak) 29 ก.ย. 20 ต.ค.
Odaesan National Park 4 ต.ค. 19 ต.ค.
Jirisan National Park (Sancheong) 12 ต.ค. 25 ต.ค.
Chiaksan National Park 14 ต.ค. 27 ต.ค.
Woraksan National Park 17 ต.ค. 28 ต.ค.
Bukhansan National Park (Dobong) 19 ต.ค. 30 ต.ค.
Palgongsan Natural Park (Gatbawi District) 20 ต.ค. 30 ต.ค.
Hallasan National Park 20 ต.ค. 3 พ.ย.
Gyeryongsan National Park 21 ต.ค. 31 ต.ค.
Naejangsan National Park 22 ต.ค. 9 พ.ย.
Mudeungsan National Park 24 ต.ค. 7 พ.ย.

ในการพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนของกรมอุตุนิยมวิทยาเกาหลี จะถือว่าใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเมื่อใบไม้ในบริเวณดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนสีไปแล้ว 20% และจะประกาศเป็นช่วงพีคเมื่อใบไม้เปลี่ยนสีถึง 80% ค่ะ ส่วนใหญ่ช่วงพีคจะตามมาหลังจากเริ่มเปลี่ยนสีไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ค่ะ

เมื่อใช้หลักดังกล่าวมาเทียบกับพยากรณ์ในปีนี้ นั่นก็คือถ้าเราไปที่ อุทยานแห่งชาติ Seoraksan National Park (NaeSeorak) ในวันที่ 29 ก.ย. จะได้เห็นบรรยากาศป่าเขาที่มีใบไม้เปลี่ยนสีแค่ 20% ของพื้นที่ ถ้าอยากเห็นเต็มๆ ให้ไปในช่วง 20 ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงพีค จะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นถึง 80% แทนค่ะ (แต่ถ้าไปหลังจากพีค ก็มีโอกาสจะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง น้ำตาล แดง เหมือนกัน แต่ต้นไม้ก็อาจจะผลัดใบจนร่วงไปอยู่ที่พื้น)

ก่อนจะเที่ยวเกาหลี ฤดูใบไม้ร่วง อย่าลืมเช็กพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสีที่เกาหลีก่อนนะคะ

เรื่อง: ทีมงาน DPlus Guide | ที่มาข้อมูล: http://english.visitkorea.or.kr

พิพิธภัณฑ์ Kuwana Museum จัดแสดงดาบต้องสาปมุรามาสะ (Muramasa) ชมของจริงกันได้แล้ว วันนี้-16 ต.ค.

พิพิธภัณฑ์ Kuwana Museum จัดแสดงดาบต้องสาปมุรามาสะ (Muramasa) ให้ผู้เข้าร่วมชมของจริง
ดาบที่จะนำมาจัดแสดงภายในนิทรรศการ ที่ Kuwana Museum

หากใครติดตามวัฒนธรรมตำนานต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่น หรือเคยดูการ์ตูน อนิเมะ เกม ตลอดจนสื่อต่างๆ ของญี่ปุ่น น่าจะเคยได้ยินชื่อดาบ “มุรามาสะ (Muramasa)” ดาบต้องคำสาประดับตำนานผ่านหูกันมาบ้าง ซึ่งดาบมุรามาสะและช่างผู้ตีดาบนี้ มีตัวตนจริงๆ อยู่ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ล่าสุด พิพิธภัณฑ์ Kuwana Museum ที่จังหวัดมิเอะ (Mie) ก็กำลังนำดาบเล่มนี้มาจัดแสดงให้ผู้มาเยือนได้ชมดาบในตำนานเหล่านี้ด้วยตาตนเอง

ดาบ “มุรามาสะ (Muramasa)” เป็นชื่อเรียกดาบที่ตีขึ้นโดยช่างตีดาบ มุรามาสะ เซ็นโง (Muramasa Sengo) ช่างตีดาบในยุคมุโรมาจิ (ศตวรรษที่ 14-16) ผู้แยกตัวออกมาจากอาจารย์สอนตีดาบสำนักมาซามูเนะ มาเปิดสำนักตีดาบมุรามาสะของตัวเอง ดาบของเขาได้สร้างความสูญเสียให้แก่ตระกูลของโชกุนโทกุงะวะ อิเอยะสุ โชกุนคนแรกแห่งยุคเอโดะเป็นอย่างมาก จนโชกุนถึงกับต้องออกกฏสั่งห้ามไม่ให้ซามูไรทุกคนพกดาบของมุรามาสะ

ในขณะที่ดาบญี่ปุ่นอื่นๆ มักถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตสวยงามในฐานะอาวุธที่เป็นงานศิลปะ แต่ดาบของมุรามาสะนั้นถูกสร้างขึ้นในฐานะอาวุธเพื่อใช้ฆ่าคน จึงเป็นที่มาของตำนานเล่าขานเกี่ยวกับผู้ครอบครองดาบของมุรามาสะ ว่าผู้ครอบครองจะต้องประสบเคราะห์ภัย ไปจนถึงขั้นต้องฆ่าตัวตาย และมีเรื่องเล่าขานว่าดาบของมุรามาสะเป็นดาบอาถรรพ์ ที่จะปลุกความกระหายเลือดของผู้ใช้ ถึงขั้นมีคำกล่าวว่า “ดาบมุรามาสะ เมื่อชักออกมาแล้วครั้งหนึ่ง จะต้องเกิดการละเลงเลือดก่อนจะกลับไปยังฝัก” จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ดาบของมุรามาสะกลายเป็นดาบระดับตำนาน และถูกเล่าขานว่าเป็น “ดาบต้องคำสาป” ในที่สุด

พิพิธภัณฑ์ Kuwana Museum จัดแสดงดาบต้องสาปมุรามาสะ (Muramasa) ให้ผู้เข้าร่วมชมของจริง
ดาบของมุรามาสะที่จะนำมาจัดแสดงภายในนิทรรศการ ที่ Kuwana Museum (ขอบคุณภาพจาก www.city.kuwana.lg.jp)

ใน นิทรรศการพิเศษจัดแสดงดาบมุรามาสะ (Muramasa) ที่ Kuwana Museum (桑名市博物館) จะมีการจัดแสดงดาบมุรามาสะมากถึง 20 เล่ม ที่รวบรวมมาจากทั่วประเทศญี่ปุ่น จัดแสดงในตู้ควบคุมอุณหภูมิ เพื่อป้องกันการเสียหายจากฝุ่นละอองและไอน้ำ ทั้งหมดเป็นดาบเล่มจริงที่ตีขึ้นโดยสำนักมุรามาสะ และมีแม้กระทั่งดาบที่เคยใช้ในศึกสงครามและผ่านการหลั่งเลือดมาแล้วในประวัติศาสตร์

นิทรรศการมีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป – 16 ต.ค. 2016 เท่านั้น ที่ พิพิธภัณฑ์ Kuwana Museum จังหวัดมิเอะ (Mie) ภูมิภาคคันไซ

นิทรรศการพิเศษ จัดแสดงดาบมุรามาสะ (Muramasa) ที่ Kuwana Museum 
[info-l] Kuwana Museum (桑名市博物館)
[info-c] 10 ก.ย. – 16 ต.ค. 2016
[info-p] 500 เยน
[info-t] 9:30-17:00 น. (ปิดวันจันทร์ ยกเว้นวันจันทร์ที่ตรงกับวันหยุดราชการของญี่ปุ่น จะเปิดทำการ และปิดในวันถัดไปแทน)
[info-w] รายละเอียดนิทรรศการ www.city.kuwana.lg.jp (ภาษาญี่ปุ่น)
[info-g ] 35.063392, 136.693854

เรียบเรียงโดย: ทีมงาน DPlus Guide | ข้อมูลจาก http://en.rocketnews24.com | ภาพ : www.city.kuwana.lg.jp

เที่ยว 6 สถานที่สุดประทับใจในโอมาน

เที่ยว 6 สถานที่สุดประทับใจในโอมาน มัสยิดสุลต่านกาบูส
มัสยิดสุลต่านกาบูส บรรยากาศภายนอก ความสวยงามของมัสยิดกาบูสที่น่าประทับใจ

เมื่อพูดถึง ประเทศโอมาน หลายคนคงนึกถึงชื่อ “นาธาน โอมาน” เข้ามาในหัวทันที 555+ ไม่แปลกเลยเพราะคนช่วงอายุ 30 อัพก็คงเคยได้ยินชื่อประเทศโอมานผ่านผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ เอาเป็นว่าเรามาทำความรู้จักประเทศโอมานกันคร่าวๆ ก่อนดีกว่าค่ะ

สถานที่ตั้ง ประเทศโอมาน ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของทะเลอาหรับและอ่าวโอมาน ทิศเหนือติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทิศตะวันตกติดกับซาอุดิอาระเบีย ทิศใต้ติดกับเยเมน โอมานมีชายฝั่งติดทะเลยาวมากๆ หาดทรายอาจไม่สวยเท่าไทยแต่ความสงบและบรรยากาศในมุมที่แปลกตานี่ดึงดูดใจไม่น้อย

ศาสนา คนประเทศนี้เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม แต่ไม่เคร่งครัดกับนักท่องเที่ยวว่าจะต้องแต่งกายและพันผ้าโพกศีรษะ (สำหรับผู้หญิง) นักท่องเที่ยวสามารถแต่งตัวได้ตามสบายแต่ควรแต่งกายมิดชิดหน่อยก็ดี

การเดินทางท่องเที่ยวในโอมาน เหมาะที่สุดคือการเช่ารถขับ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่จะอยู่ต่างเมือง มีรถทัวร์เหมาให้เช่าพร้อมคนขับแต่แพงมาก ตกวันละ 1 หมื่นบาท แต่เช่ารถขับเองประมาณ 1 พันบาท (แตกต่างกันอย่างชัดเจน ชิมิ)

สภาพอากาศ โอมานหน้าร้อน (เม.ย.-ต.ค.) จะร้อนมากถึง 40 กว่าองศา เรียกได้ว่าร้อนจนแทบจะละลาย ส่วนหน้าหนาว (พ.ย.-มี.ค.) อากาศจะอยู่ที่ 20 องศาต้นๆ เหมาะแก่การไปพักผ่อนท่ามกลางทะเลทรายที่สุด

ค่าเงิน หน่วยเงินของโอมานมี 2 หน่วย คือ Baiza (ไบซา) และ Rial (เรียล) 1,000 ไบซา เท่ากับ 1 เรียล (1 เรียล เท่ากับ 92 บาทไทย)

สายการบิน เที่ยวบินตรงที่จะพาคุณไปเที่ยวโอมานได้แบบสะดวก ได้แก่ แอร์เอเชีย, การบินไทย และโอมานแอร์ ราคาเริ่มต้นที่ 5,000 บาทขึ้นไป

ทำความรู้จักโอมานกันไปบ้างแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่า 6 ที่เที่ยวในโอมานแบบเด็ดๆ ที่ไปแล้วต้องอึ้งทึ่งในความสวยงามและแปลกตามีที่ไหน บรรยากาศเป็นอย่างไร ตามไปดูกันเลยค่ะ

1. Sultan Qaboos Grand Mosque (มัสยิดสุลต่านกาบูส)

มัสยิดสุลต่านกาบูส (Sultan Qaboos Grand Mosque) แห่งนี้ได้รับการการันตีว่าเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรอาหรับ ภายนอกก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบมัสยิดอิสลาม มีลักษณะเป็นโดมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมที่มั่นคง ยิ่งใหญ่ โอ่งโถง และสวยงาม โดยรอบปลูกต้นไม้ และดอกไม้ประดับอย่างรมรื่น ภายในโถงกลางมีพรมทอมือไร้รอยต่อ ลวดลายวิจิตรงดงามที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก โดยใช้เวลาทอกว่า 4 ปี และแชนเดอเลีย (โคมไฟระย้า) ความสูง 14 เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประดับอยู่กลางโถงละหมาด เชื่อว่าใครได้ก้าวเข้ามายังมัสยิดกาบูสแห่งนี้ต้องร้อง “หูววววววว” เพราะความยิ่งใหญ่อลังการล้านแปด และความสวยงามแบบนี้ที่หาที่ไหนได้ยากจริงๆ

Sultan Qaboos Grand Mosque
บรรยากาศภายนอกมัสยิด
Sultan Qaboos Grand Mosque
แชนเดอเลียภายในโถงละหมาด

ไปเที่ยวชมที่มัสยิดสุลต่านกาบูสต้องตื่นเช้าหน่อยนะคะ เพราะเปิดช่วงเช้าเท่านั้น หลังจากนั้นจะปิดเพื่อทำพิธีละหมาด ส่วนเรื่องการแต่งตัว ผู้หญิงจะต้องแต่งตัวมิดชิด ใส่กระโปรงยาวคลุมเท้า เสื้อแขนยาว คลุมผ้าโพกหัวให้เรียบร้อย หากไม่ได้เตรียมไปใส่ ที่มัสยิดมีบริการให้เช่าชุดอาบายะห์ (ชุดยาวสีดำล้วนของอิสลามของผู้หญิง) และชุดโต๊บ (ชุดยาวสีขาวแขนยาวของผู้ชาย) ในราคาชุดละ 5 เรียล หรือประมาณเกือบ 500 บาทไทย

[info-t””] เสาร์ – พฤหัส เวลา 8:00 – 11:00 น. (ปิดวันศุกร์)
[info-p””] ฟรี

2. Bimmah Sink Hole (บิมมาซิงก์โฮล)

หลุมน้ำบิมมาซิงก์โฮล (Bimmah Sinkhole) หรือ Dibab Sinkhole ตั้งอยู่ในสวน Hawiyat Najm Park ซึ่งอยู่ติดกับถนนที่เชื่อมต่อระหว่างเมือง Bimmah และเมือง Dibab นั่นเอง หลุมน้ำแห่งนี้เคยถูกเชื่อว่าเป็นหลุมที่ถูกอุกกาบาตตกลงมาทำให้เป็นหลุมกว้าง แต่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเกิดจากการที่แผ่นดินทรุดจนทำให้เกิดหลุม และพื้นที่นี้ใกล้กับทะเล จึงทำให้น้ำทะเลซึมเข้ามา แถมน้ำในหลุมนี้ยังมีสีเขียวใสสวยงาม มองลงมาจากปากหลุมดูอลังการแล้ว ลงมายิ่งฟิน เพราะคุณสามารถทำสปาปลา นั่งห้อยเท้าลงไปในน้ำเพื่อให้ปลามาตอดเท้า จั๊กกะจี้ดีนะ ^_^

หลุมน้ำ Bimmah Sinkhole (Dibab Sinkhole)
Bimmah Sinkhole หรือ Dibab Sinkhole หลุมน้ำยักษ์สีเขียวใส มาเที่ยวโอมานทั้งที ไม่ควรพลาด!
หลุมน้ำ Bimmah Sinkhole (Dibab Sinkhole) ที่โอมาน
หลุมน้ำบิมมาซิงก์โฮล (Bimmah Sinkhole) ที่นี่เราสามารถลงมาเล่นน้ำได้ค่ะ

ส่วนใครที่เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนก็สามารถลงเล่นน้ำกันได้เย็นๆ ด้านล่างนี้บรรยากาศสวนทางกับด้านบนอย่างแรง เพราะในหลุมน้ำนี้ลมเย็น ลงเล่นน้ำยิ่งเย็นสบาย แอบเหลือบไปเห็นนักท่องเที่ยวพกที่นอนเป่าลมมานอนลอยเล่นในน้ำ โอ้ย อิจฉา! ไว้รอบหน้าไม่พลาดแน่

[info-t””] ตลอด 24 ชม. (ควรไปช่วงกลางวันดีกว่า)
[info-p””] ฟรี

3. Wadi Shab (วาดิชาบ)

วาดิชาบ (Wadi Shab) หรือ โอเอซิสวาดิ สถานที่เที่ยวตามธรรมชาติยอดฮิตอีกหนึ่งแห่งที่ไม่ไกลจากเมืองมัสกัต เดินทางด้วยรถประมาณ 2 ชั่วโมง เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวขาลุย ชอบผจญภัย นึกภาพง่ายๆเหมือนเรากำลังเข้าไปสู่ป่ายุคจูราสิค มีหาดทราย โขดหิน หน้าผา ต้นอินทผลัม สายน้ำ และแสงแดด มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปมากมาย

โอเอซิส Wadi Shab (วาดิชาบ) ที่โอมาน
โอเอซิส Wadi Shab (วาดิชาบ) มีครบ ภูเขา ป่า หิน ดิน น้ำ ใครชอบแนวลุยๆ แอดเวนเจอร์ จะต้องปิ๊งที่นี่แน่นอน

โอเอซิส Wadi Shab (วาดิชาบ) ที่โอมาน

การเริ่มผจญภัยต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดใต้สะพาน แล้วนั่งเรือข้ามฟาก (ค่าข้ามเรือ 200 Baiza) ไปอีกฝั่งน้ำ จากนั้นต้องเดินเท้าเข้าไป ซึ่งจะค่อนข้างไกล ทางเดินเป็นหินกรวดจึงควรหารองเท้าที่รัดกุม ไม่เช่นนั้นอาจเจ็บเท้าได้ นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะเตรียมตัวมากระโดดว่ายน้ำทะลุช่องเขา เข้าไปเล่นบริเวณน้ำตกที่อยู่ด้านใน การเตรียมผ้าขนหนูและเสื้อผ้าสำรองมาเปลี่ยนจึงเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาด

[info-t””] ตลอด 24 ชม. (ควรไปช่วงกลางวันดีกว่า)
[info-p””] ค่าเรือข้ามฟาก 200 Baiza/คน

4. Bahla Fort (ป้อมบาห์ลา)

ป้อมบาห์ลา (Bahla Fort) เป็นหนึ่งในป้อมปราการที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของโอมาน ถูกสร้างเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นป้อมหนึ่งเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 1987  กำแพงป้อมแห่งนี้มีความยาวถึง 12 กิโลเมตร ลักษณะภายนอกมองปุ๊บก็รู้ว่าเป็นศิลปะแบบตะวันออกกลาง ก่อสร้างด้วยปูนและดินสีน้ำตาลอ่อน เข้ากับลักษณะภูมิประเทศแบบทะเลทราย ถูกบูรณะมาหลายครั้ง สมัยก่อนใช้เป็นปราการป้องกันศัตรูที่มารุกราน มีโซนสำหรับป้อมปืนใหญ่คอยระวังภัย ห้องเก็บเสบียง ห้องละหมาด ห้องประชุม และห้องสำหรับทำกิจกรรมต่างๆมากมาย แต่ที่เด่นที่สุดก็เห็นเป็นหอคอยลักษณะทรงกลมที่สูงเด่น นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมวิวเมืองนิซวาจากด้านบนได้ นับได้ว่าเป็นป้อมที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่ๆ มีคนแวะเวียนเข้าเยี่ยมชมเป็นอันดับต้นๆ จากบรรดาป้อมที่มีอยู่ทั่วโอมาน

ป้อมปราการบาห์ลา (Bahla Fort) แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในโอมาน

ด้านในป้อมปราการบาห์ลา (Bahla Fort) ที่โอมาน
ด้านในป้อมปราการบาห์ลา (Bahla Fort) มีสิ่งก่อสร้างเป็นอาคารและห้องเล็กๆ สำหรับใช้สอยในสมัยโบราณ ยิบย่อยซับซ้อนรอให้เราเข้าไปค้นหา

การเดินทางจากมัสกัตประมาณ 2 ชั่วโมง มุ่งหน้าสู่เมือง Nizwa (นิซวา) แล้วมองหาป้ายเมือง Bahla ซึ่งการเที่ยวชมป้อมแห่งนี้สามารถเดินสำรวจได้ทุกซอกทุกมุม ไม่มีที่กำบังแดดมากนัก นอกจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร เพราะฉะนั้นควรเตรียมหมวกและแว่นตากันแดดไปด้วยจะดีมาก

[info-t””] เสาร์-พฤหัส 08:30-16:00 น., ศุกร์ 08:00-11:00 น.
[info-p””] 500 Baiza/คน

5. Wahiba Sands (ทะเลทรายวาฮิบา)

ทะเลทรายวาฮิบา (Wahiba Sands) แหล่งท่องเที่ยวที่จะทำให้คุณได้เปิดประสบการณ์ในการท่องทะเลทรายที่สวยงาม นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวทะเลทรายแห่งนี้มักจะไปพักแคมป์ หรือโรงแรมกลางทะเลทรายนั่นเอง นอกจากนี้ทางแคมป์ก็จะมีอูฐให้ได้ขี่ชมทะเลทราย ถ่ายรูปบนเนินทราย เข้ากับบรรยากาศการใช้ชีวิตในทะเลทรายที่สุดแล้ว

การเดินทางในทะเลทรายวาฮิบา (Wahiba Sands) ในโอมาน
การเดินทางในทะเลทราย Wahiba Sands โดยใช้รถ 4WD – ภาพ: Wikipedia
ทะเลทรายวาฮิบา (Wahiba Sands) ที่โอมาน แหล่งท่องเที่ยวที่จะทำให้คุณได้เปิดประสบการณ์ในการท่องทะเลทรายที่สวยงาม
บรรยากาศแคมป์ Al Areesh Camp ที่พักกลางทะเลทราย Wahiba Sands – ภาพ: wikivoyage

การเดินทางไปยังทะเลทรายแห่งนี้ต้องใช้รถแบบ 4WD หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อนั่นเอง ซึ่งรถที่เราเช่าขับเที่ยวตามปกติแล้วจะเป็นรถเล็กปกติ แต่ถ้าไปพักยังแคมป์กลางทะเลทรายจะมีบริการมารับยังจุดบริการจอดฟรีเพื่อพาคุณเดินทางไปยังแคมป์กลางทะเลทรายได้อย่างสะดวก ไม่ต้องขับเอง ชมวิว ถ่ายรูปได้สบายด้วย

6. Sur (เมืองซู)

เมืองซู (Sur) เมืองแห่งมนต์เสน่ห์ชายทะเลที่มีชื่อเสียงในเรื่องอู่ต่อเรือ (Dhow) แบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีประวัติการเดินเรือและการค้ามาอย่างยาวนาน สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศโอมาน เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้มาถ่ายรูป ชมวิวสวยๆของเมืองนี้แล้ว ก็ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองโอมานพากันมาปิกนิก เพลิดเพลินกับชายหาด ชมนกนางนวล และไฮไลท์การชมเต่าขึ้นมาทำรังในทุกๆปี เรียกได้ว่ามาที่นี่จะได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่ไม่เคยได้พบเจอที่เมืองไทยกันได้แบบเต็มอิ่มทีเดียว

เมืองซู (Sur) มนต์เสน่ห์แห่งชายทะเลโอมาน
วิวมุมสูงเมือง Sur – ภาพ: Wikitravel
เที่ยวเมืองซู (Sur) มนต์เสน่ห์แห่งชายทะเลโอมาน
เรือต่อแบบโบราณ (Dhow) ของชาวพื้นถิ่น – ภาพ: Wikivoyage

นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวในโอมานอีกมากมายที่น่าตื่นตาตื่นใจ รอคอยให้ได้ไปสัมผัสกันในมุมมองที่แตกต่างไปจากที่เคยเจอ รับรองว่าใครไปโอมานจะต้องหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของภูมิประเทศ และความน่ารักของคนพื้นถิ่นที่มีน้ำใจ คอยต้อนรับช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกันแบบอบอุ่นเลยทีเดียว

เรื่องและภาพ : @ipookpui DPlus Guide Team

จะนำแบตเตอรี่สำรองขึ้นเครื่องบินได้ถึงขนาดเท่าไหร่?

แบตเตอรี่สำรองหรือพาวเวอร์แบงก์ (Power bank) เป็นอุปกรณ์จำเป็นชิ้นหนึ่งที่ใครๆ ก็มักพกติดตัวเวลาเดินทาง โดยเฉพาะถ้าไปต่างประเทศหรือนั่งเครื่องบินนานๆ แต่ทั้งนี้ก็มีข้อจำกัดในการพกพาไปด้วยพอสมควร

ข้อกำหนดของการบินไทยเรื่อง power bank
ข้อกำหนดของการบินไทยเรื่องการนำ Power Bank ขึ้นเครื่อง

คือเรื่องการพกพาติดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีขึ้นเครื่องบิน ซึ่งทุกสายการบินบังคับไว้ตรงกันคือ ต้องพกพาติดตัวเท่านั้น (Carry-on Baggage) ห้ามโหลดในกระเป๋าใต้ท้องเครื่อง (Checked Baggage) ทั้งนี้เพราะอาจเกิดความร้อนขึ้นที่ตัวแบตเตอรี่จนเกิดไฟใหม้ลุกลามขึ้น ซึ่งหากอยู่ใต้ท้องเครื่องจะรู้ได้ช้าและไม่สามารถเข้าไปดับไฟได้ แต่ถ้าอยู่ในห้องโดยสาร ลูกเรือและผู้โดยสารจะสังเกตเห็นและช่วยกันดับไฟได้ทันก่อนจะลุกลาม

ข้อกำหนดเรื่องแบตสำรองของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ข้อกำหนดเรื่องแบตสำรองของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดขนาดความจุพลังงานสูงสุดของพาวเวอร์แบงก์ไว้อีกว่าพกได้ไม่เกินคนละเท่าไหร่ ซึ่งแต่ละสนามบินหรือสายการบินอาจกำหนดแตกต่างกันไป แต่จะใกล้เคียงกัน เช่น

  • ขนาดไม่เกิน 20,000 mAh (ไม่เกิน 100 Wh) การบินไทยให้นำไปได้ไม่เกินคนละ 20 ก้อน ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้จำกัดจำนวนไว้
  • ขนาด 20,000 – 32,000 mAh (100- 160 Wh) ทั้งการบินไทยและสนามบินสุวรรณภูมิให้นำไปได้ไม่เกินคนละ 2 ก้อน
  • ขนาดเกิน 32,000 mAh (เกิน 160 Wh) ห้ามนำขึ้นเครื่องทุกกรณี

บางท่านอาจะงงกับการระบุขนาดที่มีทั้ง mAh บ้าง Wh บ้าง ก็ขออธิบายดังนี้ครับ

  • หน่วย mAh (milliAmperec hour) วัดปริมาณพลังงานเป็นกระแสไฟฟ้าที่จ่ายได้ต่อชั่วโมง ถ้าจ่ายได้มากก็แสดงว่ามีพลังงานเก็บไว้ได้มาก เช่น 2,000 mAh คือสามารถจ่ายไฟ 2,000 milliampere ต่อเนื่องได้นาน 1 ชั่วโมง)
  • หน่วย Wh (Watt hour) คือคำนวณจากว่า Power Bank ทั่วไปจะจ่ายไฟที่แรงดัน 5 โวลต์ (V = Volt) คำนวณเป็นค่า “กำลังไฟฟ้า” ที่จ่ายได้ต่อชั่วโมงโดยเอา 5 Volt x milliAmpere hour /1000) = Watt hour
    ดังนั้น 10,000 mAh จึงเท่ากับ 5 x 10000/1000 = 50 Watt hour หรือ 50 Wh
ฉลากเลอะเลือนแทบอ่านไม่ออกแบบนี้แหละครับ เกือบจะโดนเจ้าหน้าที่เอาไปโยนทิ้งสะแล้ว :-(
ฉลากเลอะเลือนแทบอ่านไม่ออกแบบนี้แหละครับ เกือบจะโดนเจ้าหน้าที่เอาไปโยนทิ้งเสียแล้ว :-(

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแบตสำรองหรือ Power Bank ก้อนนั้นๆ มีความจุเท่าไหร่? อันนี้ก็ต้องดูที่ฉลากบนตัวก้อนเป็นหลัก ซึ่งสำหรับสนามบินที่เข้มงวดบางแห่ง หากฉลากไม่ระบุให้ชัดหรือลบเลือนอ่านไม่ออก ก็ต้องเอาชื่อรุ่นของ Power Bank ยี่ห้อนั้นๆ ไปค้นในอินเทอร์เน็ต เพื่อยืนยันว่ามีความจุเท่าไหร่ ถ้าค้นไม่ได้เจ้าหน้าที่ก็จะยึดไว้เลย (ผมเกือบโดนมาแล้วที่สนามบินเซี่ยงไฮ้ เพราะเจ้าก้อนในรูปนี่แหละ!)

เรื่อง : วศิน เพิ่มทรัพย์ DPlus Guide Team

10 ที่เที่ยวฮอกไกโด เที่ยวตามรอยหนัง “แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว”

10 ที่เที่ยวฮอกไกโด เที่ยวตามรอยหนัง

ใครที่ได้ไปดูภาพยนตร์เรื่อง “แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว” คงจะเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของหลายๆ เมืองในฮอกไกโด เกาะเหนือสุดหนาวสุดของญี่ปุ่นกันไปบ้างแล้ว สำหรับใครที่อยากจะไปเที่ยวตามรอยแฟนเดย์ หรืออยากจะรู้ว่าสถานที่ที่ เด่นชัย (เต๋อ – ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) กับ นุ้ย (มิว – นิษฐา จิรยั่งยืน) พระเอกนางเอกของเราไปเที่ยวฮอกไกโดสวีทกันนั้นอยู่ส่วนไหนในฮอกไกโดกันบ้าง และจะไปเที่ยวตามได้ยังไง ตามมาเลย! DPlus Guide จัดให้จ้า!

**อ๊ะอ๊ะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าบทความนี้มีสปอยล์หนังเรื่อง “แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว” เบาๆ นะจ๊ะ ในบทความจะมีภาพเทียบสกรีนช็อตจากคลิปโปรโมตหนังให้ดูแบบช็อตต่อช็อตด้วย**

เริ่มจาก เมืองโอตารุ (Otaru) >> โนโบริเบทสึ (Noboribetsu) >> ฮาโกดาเตะ (Hakodate) >> แล้วมาจบที่ ซัปโปโร (Sapporo)

เส้นทางตามเรื่องแฟนเดย์จาก Kiroro Resort > Sapporo > Noboribetsu > Hakodate
เส้นทางตามเรื่อง (โดยประมาณ) จาก Kiroro Resort > Sapporo > Noboribetsu > Hakodate ระยะทางกว่า 400 กม. – ภาพ: Google map

[เมืองโอตารุ – Otaru]

เมืองเล็กๆ ที่มีคลองโอตารุเป็นจุดเด่น คลองนี้เป็นคลองขนสินค้าโบราณและโกดังเก่าซึ่งคนไทยรู้จักกันดี นั่งรถไฟจากซัปโปโรไปประมาณ 40 นาทีเท่านั้น ใครจะไปโอตารุจากซัปโปโร แนะนำอย่าลืมซื้อตั๋ว Otaru Welcome Pass ด้วย เพราะมีทั้งตั๋วแบบ 1 วันของรถไฟไปโอตารุและรถใต้ดินในซัปโปโรแพ็กมาด้วยกัน (แบ่งใช้คนละวันได้) ใช้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็แทบจะคุ้มค่าตั๋วทั้งหมดแล้ว

1. Kiroro Resort

ระฆังอธิษฐานที่เด่นขอเป็นแฟนนุ้ยแค่วันเดียวก็พอ
จุดเริ่มต้นของเรื่องแฟนเดย์ที่ระฆังอธิษฐานใน Kiroro Resort เด่นชัยอธิษฐานขอเป็นแฟนนุ้ยแค่วันเดียวก็พอ – ภาพ: GDH
ฉากหน้า Kiroro Resort ตอนต้นเรื่องแฟนเดย์
ฉากหน้า Kiroro Resort ตอนต้นเรื่องแฟนเดย์ที่เด่นชัยไม่ยอมกลับไปพร้อมกลุ่มออฟฟิศ เพราะเป็นห่วงนุ้ยที่ต้องอยู่ต่อคนเดียวทั้งๆที่กำลังเศร้า – ภาพ: GDH

Kiroro Resort รีสอร์ทกลางหุบเขาที่มีหิมะขาวโพลนสุดไฮโซโรแมนติก อันนี้จัดว่าเป็นสกีรีสอร์ทที่มีขนาดใหญ่และอยู่ใกล้ซัปโปโร เมืองหลวงของเกาะฮอกไกโดที่สุด แต่ทว่าทางเข้าซึ่งมีทางเดียวจะเป็นถนนที่ค่อนข้างคดเคี้ยวข้ามเขาเข้าไปจากถนนใหญ่ลึกพอสมควร (ประมาณ 30 กม. แน่ะ!) แถมต้องไปเริ่มต้นจากทางเมืองโอตารุอีกต่างหาก ตอนนี้ใครๆ ก็คงนึกภาพซุ้มที่เด่นชัยไปตีระฆังอธิษฐานกันออกละนะ ^_^

แต่รีสอร์ทแถวนี้จะมีหน้าตาแบบในหนังก็เฉพาะหน้าหนาวนะคร้าบ พอหน้าร้อนผ่านไปก็จะเหลือแต่ไม้ยืนต้นโตๆ ที่ยังรอดอยู่ใต้หิมะที่ทับถม ส่วนมากแล้วก็มักจะต้องปลูกต้นไม้ใบหญ้ากันใหม่หมดจนกลายเป็นสวนและทุ่งเขียวๆ แทน

อ้อ! ลืมบอกไป ว่าตอนนี้ที่นี่เป็นกิจการในเครือของ Property Perfect บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่เพิ่งไปซื้อมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง น่าจะมีราคาพิเศษสำหรับคนไทยนะ

Kiroro Resort ในหน้าร้อนก็เขียวชอุ่มแบบเนี้ย :-) ภาพ: wikipedia
ในหนังเป็นตอนหน้าหนาว มีหิมะ แต่ถ้ามาหน้าร้อนจะเป็นบรรยากาศอีกแบบ Kiroro Resort ในหน้าร้อนก็เขียวชอุ่มแบบเนี้ย :-) ภาพ: wikipedia

Kiroro Resort
[info-w] www.kiroro.co.jp
[info-g] 43.060164, 141.005666

 

2. พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี – Otaru Orgel Museum

ตามรอยหนังแฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำร้านเครื่องแก้วโอตารุ
ฉากช็อกโลกที่เด่นชัยเดินเกี่ยวผ้าจนทำให้สินค้าในร้านเครื่องแก้วตกลงมาแตก ทั้งเด่นชัย นุ้ย และคนในร้านตอนนั้นเหวอนิ่งสงัดไปกันหลายวิฯ เลยทีเดียว – ภาพ: GDH
ตามรอยภาพยนตร์แฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำฉากหอนาฬิกาไอน้ำ
ฉากพ่อมดเสกไอน้ำ ที่ท้อปแฟนของนุ้ยเคยเสกไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากหอนาฬิกาให้นุ้ยเคยประทับใจ แต่พอเด่นเลียนแบบมุกนี้บ้างกลับแป้กแบบไม่เข้าท่า – ภาพ: GDH
ตามรอยสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์แฟนเดย์ ที่ข้างประตูทางเข้าด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Orgel Museum) จะเห็นนาฬิกาไอน้ำตั้งอยู่
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ข้างประตูทางเข้าด้านหน้าจะเห็นนาฬิกาไอน้ำตั้งอยู่

ที่ที่คุณก็รู้ว่าต้องไป นั่นละ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Orgel Museum) หรืออีกชื่อคือ Otaru Music Box Museum ตึกที่มีนาฬิกาไอน้ำเรือนโตตั้งอยู่หน้าทางเข้า คอยพ่นควันขาวบอกเวลาทุกๆ 15 นาที และส่งเสียงดนตรีทุกชั่วโมง

ส่วนข้างในพิพิธภัณฑ์ก็ใหญ่โตหลายอาคารหลายชั้น ก็มีทั้งกล่องดนตรีไขลานเล็กๆ แบบกุ๊กกิ๊กน่ารัก สำหรับซื้อไปฝากแฟน หรือกล่องดนตรีอันเบ้อเริ่มแบบโบราณที่จัดแสดงให้ชม (ถ้าใครจะซื้อเค้าก็คงขายมั้ง เพราะเห็นติดราคาไว้แค่เหยียบแสนหรือเฉียดล้านบาทเอง!) ที่นี่คนไทยตรึมทุกวันและจัดเป็นแหล่งละลายทรัพย์อันดับหนึ่งของโอตารุเลย เดินดูแล้วอย่าไปทำของเค้าคว่ำทั้งโต๊ะแบบในหนังล่ะ หลายตังค์เชียวนะ

ที่นี่ตั้งอยู่บน ถนนซาไกมาชิ (Sakaimachi) ใกล้กลุ่มร้านขนมหวานดังเช่น LeTAO (ชีสเค้ก) หรือ Kitakaro (ชูว์ครีม) แต่ค่อนข้างไกลจากสถานี JR Otaru ที่เป็นสถานีรถไฟหลักของเมือง (ตรงนั้นเหมาะจะเดินไปดูคลองโอตารุมากกว่า) เลยขอแนะนำให้เดินจากสถานีสุดท้ายก่อนถึงโอตารุคือ JR Minami Otaru แล้วเดินลงเนินประมาณ 5 – 10 นาทีก็ถึง ใกล้กว่ากันเยอะเลย

พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Orgel Museum)
[info-t] เวลาเปิด-ปิด: เวลาทำการปกติ 09:00 – 18:00 น.
(วันศุกร์ เสาร์ และวันก่อนวันนักขัตฤกษ์ในช่วงฤดูร้อนเปิด 09:00 – 19:00 น.)
(วันศุกร์ เสาร์ และวันก่อนวันนักขัตฤกษ์ในเดือนกันยายน เปิด 09:00 – 18:30 น.)
[info-w] www.otaru-orgel.co.jp
[info-g] 43.190581, 141.007739

 

[เมืองโนโบริเบ็ตสึ – Noboribetsu]

นั่งรถไฟจากโอตารุ (ต้องต่อรถที่ซัปโปโร) แล้วมุ่งลงใต้ผ่านทางเดียวกับ สนามบินชิโตเสะ (แต่ไม่แยกเข้าสนามบิน)ใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมง (รวมต่อรถไฟด้วย) ก็จะถึงสถานี JR Noboribetsu ซึ่งอยู่ริมทะเล

แต่ยังก่อน! ยังไม่ถึงบ่อน้ำพุร้อนและหุบเขานรก เพราะอันนั้นอยู่ที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Noboribetsu Onsen ซึ่งจะต้องต่อรถบัสจากเมือง Noboribetsu (เฉยๆ ไม่มีคำว่า Onsen) เข้าไปอีกทอดหนึ่ง นั่งรถประมาณ 15 นาที (7 กม.) ถึงสถานีรถบัส Noboribetsu Onsen จากที่นั่นจะต้องเดินต่อไปยังบริเวณหุบเขานรกอีก 10-15 นาที หรือ 700 ม. (รวมเวลาเดินทางจากโอตารุราวๆ 3 ชั่วโมง)

3. หุบเขานรก – Jigokudani

ตามรอยภาพยนตร์แฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำฉากหุบเขานรกพ่นควัน
ฉากพระเอกนางเอกไปเที่ยวที่หุบเขานรกกับวิวอันสุดแสนจะโรแมนติก – ภาพ: GDH
เที่ยวฮอกไกโดตามรอยภาพยนตร์แฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำฉากหุบเขานรกพ่นควัน
ฉากพีคสุดที่หยุดหัวใจคนดูจากหนังเรื่องแฟนเดย์ ที่นุ้ยบังคับให้เด่นมองตา โดยห้ามหลบสายตาเป็นเวลา 1 นาที – ภาพ: GDH
เที่ยวฮอกไกโดตามรอยแฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำฉากหุบเขานรกพ่นควัน ที่โนโบริเบ็ทสึ
ฉากพีคสุดที่หยุดหัวใจคนดูจากหนังเรื่องแฟนเดย์ ที่นุ้ยบังคับให้เด่นมองตา โดยห้ามหลบสายตาเป็นเวลา 1 นาที – ภาพ: GDH
เที่ยวฮอกไกโด หุบเขานรก (Jigokudani) ที่เมือง Noboribetsu Onsen
หุบเขานรก (Jigokudani) ที่เมือง Noboribetsu Onsen (สุดสะพานไม้คือบ่อ Tessen Ike)

หุบเขานรก Jigokudani (Jigoku = นรก, Dani = หุบเขา แปลตรงๆ เลยว่าหุบเขานรกนั่นเอง) เป็นที่ท่องเที่ยวหลักของเมือง Noboribetsu Onsen ซึ่งเป็นเมืองอาบน้ำแร่ที่ดังที่สุดของฮอกไกโดและอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ที่นี่มีบ่อน้ำแร่ที่แตกต่างกันถึง 11 ชนิด มีโรงแรมที่พักที่ให้บริการอาบน้ำแร่นับสิบแห่งทั่วเมือง

บริเวณหุบเขานรกนั้นแม้แต่พื้นดินรอบๆ ก็ร้อนจนมีควันพวยพุ่งตลอดเวลา แถมกลิ่นกำมะถันคละคลุ้งไปทั่ว จากทางเข้ามีทางเดินไม้มีราวกั้นตลอดทอดเข้าไปสุดที่บ่อน้ำร้อน Tessen Ike ที่มีรั้วล้อมอยู่ตรงกลางหุบเขา น้ำในบ่อจะเดือดปุดๆ มีควันขึ้นอยู่ตลอด แต่จะเดือดพล่านรุนแรงเป็นระยะ ไม่ค่อยแน่นอน เวลาไปจึงมักจะเห็นคนยืนรอดู แล้วพอได้เห็นน้ำเดือดพล่านจนหยุดก็เดินกลับพร้อมกันเป็นชุดๆ ไป ถ้าหน้าหนาวก็อาจมีหิมะปกคลุมเป็นหย่อมๆ ตรงที่ร้อนน้อยหน่อยแบบในหนัง แต่ตรงที่ร้อนมากๆ หิมะก็ละลายหมด แถมไม่มีต้นไม้ขึ้นด้วยซ้ำ

หุบเขานรก Jigokudani
[info-t] พ.ค. – ต.ค. 10:00 – 15:00 น. (ปิดทางเดิน Walking trails ในช่วงฤดูหนาว)
[info-g] 42.497415, 141.147094

ใครมาที่นี่แล้วถ้ามีเวลาเหลือแนะนำให้เดินต่อไปชมทะเลสาบ โอนุยุมะ (Onuyuma Lake) ชึ่งเป็นทะเลสาบน้ำร้อนที่ใหญ่ที่สุดด้วย โดยนั่งรถหรือเดินต่อขึ้นเขาไปตามถนนลาดยางอีกราว 1.5 กม. จะเห็นทะเลสาบขนาดเล็กที่เป็นน้ำแร่สีเทาขุ่นๆ ร้อนจัดจนควันขึ้น ความร้อนที่ผิวหน้า 40-50 องศาเซลเซียสแต่ลึกลงไปจะสูงเกิน 100 องศาได้!

 

[เมืองฮาโกดาเตะ – Hakodate]

เมืองท่าใหญ่ตอนปลายสุดทางใต้ของฮอกไกโด จากที่นี่ข้ามทะเลตรงช่องแคบสึงะรุ (Tsugaru) ไปยังเมืองอาโอโมริ (Aomori) เหนือสุดของเกาะฮอนชูเป็นระยะทางกว่า 50 กม. แต่ก็เพิ่งจะมีบริการรถไฟความเร็วสูง Shinkansen วิ่งลอดอุโมงค์ใต้ทะเลมาถึงเมื่อเดือนมีนาคม 2016 ที่ผ่านมานี่เอง ถ้านั่งรถไฟจากโตเกียวจะใช้เวลาราวๆ 5 ชั่วโมง ส่วนกรณีนั่งรถไฟจากซัปโปโรลงมาก็ 4 ชั่วโมง หรือถ้านั่งรถไฟจากโอตารุก็เกือบ 5 ชั่วโมงเท่ากัน

4. ภูเขาฮาโกดาเตะ – Mt. Hakodate

เที่ยวฮาโกดาเตะ ตามรอยแฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำในเมืองฮาโกดาเตะ
ฉากโรแมนติกอีกฉากจากเรื่องแฟนเดย์ ที่เด่นชัยพานุ้ยไปดูวิวมุมสูงที่เห็นอ่าวโดยรอบเมืองท่าฮาโกดาเตะ – ภาพ: GDH
เที่ยวฮอกไกโด จุดชมวิวยอดเขา Hakodate ช่วงเย็นคนจะเริ่มเยอะถึงเยอะมากตอนค่ำๆ
จุดชมวิวยอดเขา Hakodate ช่วงเย็นคนจะเริ่มเยอะถึงเยอะมากตอนค่ำๆ

มาต่อกันที่ จุดชมวิวและสถานีรถกระเช้าที่ยอดเขาฮาโกดาเตะ ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในสามวิวที่สวยที่สุดของฮอกไกโด เพราะภูเขาไปอยู่ปลายแหลม เวลามองลงมาจะเห็นเมืองใหม่อยู่ตรงโคนแหลม แล้วมีทะเลขนาบสองข้าง สวยแปลกกว่าวิวเมืองไหนๆ ส่วนเมืองเก่าที่สร้างมาแต่เดิมจริงๆ ก็คืออยู่เชิงเขาตรงปลายแหลมนั่นเองแหละ ภายหลังความเจริญได้ค่อยๆ ไหลลึกเข้าไปในแผ่นดินจนกลายเป็นเมืองใหม่

ที่นี่สวยสุดๆ แต่คนก็แน่นสุดๆ ไปเลยเช่นกัน โดยเฉพาะตอนจวนค่ำ ซึ่งใครๆ ก็อยากมาดูแสงไฟพราวจากตัวเมืองกันทั้งนั้น ถ้าจะมาเพื่อถ่ายรูป ก็ต้องมาจองทำเลกับตั้งแต่เนิ่นๆ เลยทีเดียว!

การไปที่สถานีรถกระเช้า จากสถานีรถไฟ JR Hakodate ต่อรถรางไปอีก 3 ป้าย ลงป้ายรถราง Jujigai (ได้ทั้งสาย 2 และสาย 5) แล้วต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 600 เมตร รถกระเช้าปิดแค่สามทุ่มในหน้าหนาว หน้าร้อนเพิ่มเป็นสี่ทุ่ม ใครจะไปต้องเผื่อเวลาให้ดี

Mt. Hakodate Ropeway รถกระเช้าขึ้นยอดเขาฮาโกดาเตะ
[info-t] 10:00 – 22:00 น. (ฤดูหนาวปิดเร็วกว่าปกติ 21:00 น.)
[info-f] เที่ยวเดียว 680 เยน, ไป-กลับ 1,160 เยน
[info-g] 41.760901, 140.714309

 

5. โกดังอิฐแดง – Kanemori Red Brick Warehouse

เที่ยวโกดังอิฐแดงตามรอยหนังแฟนเดย์ ที่ฮาโกดาเตะ
ฉากพัฒนาความสัมพันธ์ของเด่นชัยและนุ้ยที่มายืนกินไอศกรีมกันอยู่หน้าโกดังอิฐแดงในแฟนเดย์ – ภาพ: GDH
เที่ยวฮอกไกโดตามรอยหนังแฟนเดย์ โกดังอิฐแดง ฮาโกดาเตะ ฉากทายคำถามหน้าโกดังอิฐแดง
ต่อด้วยฉากที่นุ้ยให้เด่นทายคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวเอกซ์คลูซีฟของตัวเอง ถ้าตอบผิดจะโดนขว้างหิมะใส่ สุดท้ายเด่นตอบคำถามผิด โดนขว้างหิมะใส่ มุ้งมิ้งกันสุดๆ – ภาพ: GDH
เที่ยวฮอกไกโด โกดังอิฐแดงกับต้นคริสต์มาสยักษ์ เมืองฮาโกดาเตะ
เทศกาล Hakodate Christmas Fantasy ที่โกดังอิฐแดงจะมีประดับไฟสวยงามริมน้ำกันเลยทีเดียว

โกดังอิฐแดง Kanemori Red Brick Warehouse ที่นี่เคยเป็นโกดังสินค้าเก่าติดท่าเรือริมทะเล 3-4 หลังเรียงกัน ด้วยความที่รูปทรงภายนอกดูเก๋ไก๋ มีเถาวัลย์ปกคลุม เลยถูกเอามาดัดแปลงเป็นห้างย่อมๆ ภายในมีร้านอาหาร ขนมหวาน และร้านขายของที่ระลึกกระจุกกระจิก ฯลฯ หลายสิบร้าน มีสะพานข้ามคลองที่ให้เรือลอดเข้าไปเทียบขนสินค้าข้างๆ โกดัง ใช้เวลาเดินชิลๆ ได้สักชั่วโมง แล้วแต่ว่าจะช้อปมากหรือน้อย ช่วงเย็นวันที่ 1-24 ธันวาคมของทุกปีจะตั้งต้นคริสมาสต์ยักษ์ที่นี่ มีการประดับไฟพราวโดยเริ่มตั้งแต่หกโมงเย็นทุกวัน

การเดินทาง เดินจากป้ายรถราง Jujigai ไปอีกทางหนึ่งคือเดินเข้าหาทะเล ระยะทางประมาณ 400 เมตร

Kanemori Red Brick Warehouse
[info-t] ร้านค้าเปิดประมาณ 10:00 -20:00 น. ช่วงเทศกาลอาจเปิดถึง 22:00 น. (วันธรรมดาฤดูหนาวปิดเร็วกว่าปกติ)
[info-g] 41.766775, 140.716622

 

6. เนินฮาจิมัน – Hachimansaka (slope)

เที่ยวตามรอยหนังแฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำ เนินฮาจิมัน (Hachimansaka) ในเมืองฮาโกดาเตะ
ฉากที่เด่นชัยและนุ้ยเดินจีบกันกะหนุงกะหนิงบนถนนที่ทอดยาวมองไปเห็นทะเลเบื้องหลังกับสองข้างทางที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะที่ปกคลุม – ภาพ: GDH
ถนน Hachimansaka ลาดจากเนินเขาลงสู่ท่าเรือเมือง Hakodate - ภาพ: wikipedia
ถนน Hachimansaka ลาดจากเนินเขาลงสู่ท่าเรือเมือง Hakodate – ภาพ: wikipedia

เนินฮาจิมัน Hachimansaka ฉากที่พระเอกนางเอกของเราเดินคุยความในใจกันนั่นเอง ความจริงถนนตามเนินเขาที่ทอดยาวจาก Mt. Hakodate ลาดลงไปสู่ทะเลนั้นมีหลายสาย แต่เส้นที่สวยที่สุดคือเส้น Hachimansaka Dori นี้แหละ (dori = ถนน) เพราะความที่เป็นเนิน (slope) ลาดชันลงไป เลยจะมองลงไปเห็นท่าเรือ เวิ้งอ่าว และตัวเมืองพร้อมๆ กัน เมื่อเดินลงไปสุดทางก็จะถึงท่าเรือ เลี้ยวขวาไปจะเจอโกดังอิฐแดงพอดี

ถนนลงเนินเส้นนี้เดินจากป้ายรถราง Jujigai ก็ได้เช่นกัน ราว 500 ม. แต่ถ้าลงป้ายถัดไป (สาย 5) จะเดินใกล้กว่านิดหน่อยคือราว 300 ม. เท่านั้น

เนินฮาจิมัน Hachimansaka
[info-g] 41.765047, 140.713073

 

7. แหลมทาชิมาจิ – Tachimachi

เที่ยวตามรอยสถานที่ถ่ายทำหนังแฟนเดย์ แหลมทาชิมาจิ (Tachimachi)
แหลมทาชิมาจิ (Tachimachi) แหลมใต้สุดของฮาโกดาเตะ อยู่เชิงเขา Mt. Hakodate

เที่ยวตามรอยสถานที่ถ่ายทำแฟนเดย์ ที่แหลมทาชิมาจิ (Tachimachi)

แหลมทาชิมาจิ (Tachimachi) เป็นแหลมใต้สุดของฮาโกดาเตะ คือเชิงเขา Mt. Hakodate ลูกเดิมนั่นแหละ แต่เป็นปลายสุดของแหลมหรือคาบสมุทรที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าอากาศดีก็อาจจะมองเห็นเกาะฮอนชู (เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น) ที่อยู่ห่างไปทางใต้ราว 30 กม. ได้ ปลายแหลมเป็นหน้าผาสูง ปรับเรียบเป็นลานจอดรถชมวิวได้ มีร้านอาหารเล็กๆ ให้นั่งชิมไปชิลไป (ถ้ายังเปิดให้บริการอยู่นะ)
การเดินทาง ต้องเดินต่อจากป้ายสุดท้ายของรถรางสาย 2 คือ Yashigashira ไปอีกประมาณ 1.1 กม. หรือเช่าจักรยานจากในเมืองขี่ไปหรือถ้าขับรถไปก็สะดวกดี

ปล. ระหว่างทางก่อนถึงแหลม สองข้างทางจะเป็นสุสานขนาดใหญ่มาก สำหรับคนขวัญอ่อนไม่แนะนำให้ผ่านไปตอนจวนพลบค่ำนะครัช บรื๋อว์ :-(

แหลมทาชิมาจิ (Tachimachi)
[info-g] 41.745424, 140.721259

 

8. บ่อออนเซ็นลิง – Tropical Botanical Garden

Tropical Botanical Garden บ่อออนเซ็นลิงจากภาพยนตร์แฟนเดย์
ฉากที่เด่นชัยและนุ้ยเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นและพากันไปเที่ยวดูลิงแช่ออนเซ็นกัน – ภาพ: GDH
ลิงแช่ออนเซ็นในหน้าหนาวที่ Tropical Botanical Garden - Yunokawa Onsen ใกล้ Hakodate ภาพ: wikipedia
ลิงแช่ออนเซ็นในหน้าหนาวที่ Tropical Botanical Garden – Yunokawa Onsen ใกล้ Hakodate เราจะได้เห็นลิงมาแช่ออนเซ็นแบบนี้แค่ในหน้าหนาวเท่านั้นนะ – ภาพ: wikipedia

บ่อออนเซ็นลิง ที่ สวนพฤกศาสตร์เขตร้อน Tropical Botanical Garden อันนี้ห่างเมืองฮาโกดาเตะออกมาพอสมควร คือสุดสายรถรางสาย 2 หรือสาย 5 อีกปลายหนึ่งเลย ซึ่งจะเป็นเมืองอาบน้ำแร่ Yunokawa Onsen อยู่ทางตะวันออกของฮาโกดาเตะประมาณ 5 กม. ตามถนนที่เลียบทะเลไปทางเดียวกับสนามบิน Hakodate นั่นเอง แต่ถึงก่อนสนามบิน 1-2 กม.

ถ้านั่งรถรางจะมาสุดที่ป้าย Yunokawa (ถัดจากป้าย Yunokawa Onsen มาอีก 1 ป้าย) ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปห่างชายฝั่ง จะต้องเดินต่อมายังสวนพฤกศาสตร์เขตร้อน Tropical Botanical Garden ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อออนเซ็นที่ลิงมาแช่กันเป็นฝูงในหน้าหนาว (หน้าร้อนไม่มีลิงให้ดูนะครัช) ที่อยู่ริมทะเล เป็นระยะทางประมาณ 1.2 กม.

สวนพฤกศาสตร์เขตร้อน Tropical Botanical Garden (เมือง Yunokawa Onsen)
[info-t] เม.ย. – ต.ค. 09:30 – 18:00 น. / พ.ย. – มี.ค. 09:30 – 16:30 น.
[info-p] 300 เยน
[info-w] www.hako-eco.com/english_leaflet.pdf
[info-g] 41.77403, 140.78968

 

[เมืองซัปโปโร – Sapporo]

ย้อนจากเมืองฮาโกดาเตะกลับมาที่ซัปโปโร ใช้เวลานั่งรถไฟราว 4 ชั่วโมงเต็มๆ รถไฟมีถึงดึก แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวต้องไม่ลืมว่าแค่สี่โมงเย็นก็มืดสนิทเหมือนทุ่มนึงบ้านเราแล้ว (ส่วนหน้าร้อนพระอาทิตย์ขึ้นตั้งกะตีสี่ตีห้ายันสองทุ่มครับผม)

9. ถนนคนเดิน ทะนุกิโคจิ – Tanuki Koji

ภาพยนตร์แฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำ ทะนุกิโคจิ
ฉากช่วงต้นๆของเรื่องที่ทั้งออฟฟิศมาเดินเล่นที่ถนนทะนุกิโคจิกัน – ภาพ GDH
ภาพยนตร์แฟนเดย์ สถานที่ถ่ายทำ ทะนุกิโคจิ ฉากตามหากาชาปอง
ฉากที่นุ้ยและท้อปตามหาตู้หยอดเหรียญตุ๊กตา “กาชาปอง” แกะขอบแก้วที่เธอต้องการตัวซีเคร็ตตัวสุดท้ายซึ่งยังไม่เคยมี และเป็นตัวหายากมากๆ ซึ่งในตอนท้ายของเรื่องเป็นนุ้ยกับเด่นชัยที่ไปตามหาเจ้าตัวซีเคร็ตนี้จนเจอ – ภาพ GDH
เที่ยวญี่ปุ่น บล็อก 1 ของถนนคนเดิน Tanuki Koji เมืองซัปโปโร
บล็อก 1 ของถนนคนเดิน Tanuki Koji เมืองซัปโปโร

ย่านถนนร้านค้าที่มีหลังคาคลุมแบบนี้มีมากมายหลายเมืองในญี่ปุ่น ทั้งนี้เพื่อให้ค้าขายได้ทั้งปีไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือหิมะตกหนักก็ตาม ถนนคนเดิน ทะนุกิโคจิ (Tanuki Koji) เส้นนี้เป็นตลาดเก่าอายุกว่า 130 ปี ตั้งอยู่กลางเมืองซัปโปโร ทางใต้ของสวนโอโดริอันเป็นที่จัดเทศกาลหิมะลงมาราว 400 ม. มีความยาวถึง 8 บล็อคหรือราว 1 กม. ตามแนวขวางตะวันออก-ตะวันตก เรียกว่ามีร้านเพียบเป็นร้อยๆ ให้เลือกกินดื่ม หรือช้อปละลายทรัพย์กันได้ตามอัธยาศัย

หรือถ้าช้อปบนดินยังไม่จุใจพอยังมีถนนช้อปปิ้งใต้ดิน Pole Town และ Aurora Town ที่เชื่อมต่อตั้งแต่สวนโอโดริไปจนถึงย่านซูซูกิโนะ (ย่านบันเทิงกลางคืน) และพาดผ่านถนน Tanuki Koji นี้ด้วย ซึ่งทางใต้ดินนี้ชาวเมืองนี้เค้าไว้ใช้เป็นทางสัญจรระหว่างย่านหลักๆ ของเมืองกับสถานีรถไฟ JR Sapporo เวลาที่หิมะตกหนักอีกด้วย

ถนนคนเดิน ทะนุกิโคจิ (Tanuki Koji)
[info-g] 43.056628, 141.352488

 

10. สวนโอโดริ และเทศกาลหิมะซัปโปโร – Odori Garden & Sapporo Snow Festival

ภาพวิวสวนโอโดริในหนังแฟนเดย์ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ - ภาพ GDH
ภาพวิวสวนโอโดริในหนังแฟนเดย์ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ – ภาพ GDH
เที่ยวฮอกไกโด สวนโอโดริดูเขียวขจีในหน้าร้อน
สวนโอโดริดูเขียวขจีในหน้าร้อน

ท้ายสุดของสุดท้ายก็คือ สวนโอโดริ (Odori) สวนสาธารณะยาวเหยียดที่พาดผ่านใจกลางเมือง และเป็นที่จัดงาน เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งจัดต่อเนื่องกันมานานเกือบ 70 ปีแล้วในอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ และมีคนเข้าชมราว 2 ล้านคนต่อปี

สวนนี้แคบแต่ยาวเกือบ 2 กม. เป็นพื้นที่สีเขียวที่แบ่งเมืองฝั่งเหนือและใต้ออกจากกัน เพื่อกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ลุกลามทั้งเมืองได้ พอเอาสถานที่มาใช้จัดงานเทศกาลก็เลยได้ความหลากหลายให้เดินตามไปเรื่อยๆ เกือบตลอดความยาวสวน ตั้งแต่ หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ (Sapporo TV Tower) ที่ปลายสวนด้านตะวันออกไปจนเกือบสุดอีกด้านหนึ่ง

ในงาน เทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) เราจะได้เห็นงานปั้นหิมะสารพัดแบบ ตั้งแต่ขนาดใหญ่ยักษ์สุดอลังการบนเวทีสำหรับแขกเกียรติยศประจำปีนั้นๆ งานปั้นแบบประกอบแสงสีเสียงโดยสปอนเซอร์ภาคเอกชน เวทีการแสดงของศิลปินดัง ไปจนถึงงานปั้นประกวดของทีมจากชาติต่างๆ ผลงานของชมรมหรือสมาคมในท้องถิ่น ฯลฯ

งานเทศกาลหิมะที่สวนโอโดริจะจัดขึ้นแค่ ปีละ 7 วัน ช่วงต้นเดือน ก.พ. เท่านั้น งานเปิดตั้งแต่สายๆ แต่แนะนำให้ไปช่วงพลบค่ำคือหลังสี่โมงเย็น (ย้ำอีกทีว่าฮอกไกโดหน้าหนาวแค่ 16:00 น. ก็มืดแล้วนะครับ) จะได้เดินดูการประดับไฟเล่นกับหิมะ ซึ่งสวยกว่าดูกลางวัน เดินยาวไปจนถึงสามสี่ทุ่มงานถึงจะเริ่มปิดไฟ (…ถ้าทนหนาวไหวจนถึงเวลาปิดไฟนะ เตือนไว้ก่อนว่าอุณหภูมิช่วงนั้นของปี ตอนค่ำๆ ปกติจะอยู่ประมาณ 0 ถึง -5 องศา!) ถ้าไปช่วงอื่นอาจจะเจองานอื่นแทนหรือไม่ก็เป็นสวนเปล่าๆ แล้วแต่ช่วงเวลาครับผม

รูปปั้นหิมะขนาดยักษ์บนเวที - มีทุกปีในเทศกาลหิมะซัปโปโร
รูปปั้นหิมะขนาดยักษ์บนเวที – มีทุกปีในเทศกาลหิมะซัปโปโร

การเดินทางไปง่ายมากที่สุด เพราะรถใต้ดินทุกสายของซัปโปโรผ่านใต้สวนนี้ ลงสถานีโอโดริ (Odori) แล้วเดินขึ้นมาก็เจอเลย ถ้านั่งรถใต้ดินจากสถานีรถไฟ JR Sapporo มาสวน Odori ก็แค่ 1 ป้ายเท่านั้น หรือเดินทางเชื่อมใต้ดินระยะทางราว 700 ม. แทนก็ได้

สวนโอโดริ และเทศกาลหิมะซัปโปโร (Odori Garden & Sapporo Snow Festival)
[info-f] ฟรี
[info-g] 43.059858, 141.348031

 

ถ้าจะไปตามนี้จริงๆจะใช้เวลาประมาณสักเท่าไหร่? 

เป็นอันว่าเราได้รีวิวสถานที่ทั้ง 10 แห่งตามรอยหนัง แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ยังสงสัยอย่างเดียวหลังจากดูหนังจบคือ สองคนนั้นเค้าเอาเวลาที่ไหนมาเดินทางไปทุกแห่งได้ภายในวันเดียว เพราะแค่นั่งรถไฟไปๆ มาๆ ระหว่างโอตารุ โนโบริเบ็ตสึ ฮาโกดาเตะ และซัปโปโร ไม่รวมแวะเที่ยวก็ปาเข้าไปเกือบสิบชั่วโมงแล้ว? อันนี้ใครรู้ช่วยมาตอบทีเถอะนะครัช :-)

แล้วถ้าจะไปเที่ยวตามรอยหนังแฟนเดย์จริงๆ ควรจะเตรียมเวลาเอาไว้ประมาณสักเท่าไหร่? เอาเป็นว่าสัก 2-3 วันน่าจะพอไหวครับ (ขึ้นอยู่กับฤดูด้วย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวนี่มืดเร็วอย่างที่บอก รถบัสต่างๆ จะน้อยกว่าปกติ เช่นนั่งรถไฟมาถึง Noboribetsu รอกว่าจะมีรถเข้าไป Jigokudani น่าจะใช้เวลาพอสมควร และที่ฮาโกดาเตะเองสถานที่ที่ไปแต่ละแห่งก็อยู่คนละทิศกันเลย แถมแต่ละป้ายรถรางก็ห่างกันเป็นกิโลฯ ถ้าไม่เดินขาลากก็ต้องเรียกแท็กซี่ช่วย (ราคาไม่โหดแบบแท็กซี่โตเกียวครับ แพงแต่พอรับได้) อย่าลืมว่าต้องเดินฝ่าหิมะนี่น่าจะใช้เวลานานขึ้นเท่าตัว ไหนจะค่อยๆ เดินไม่ให้ลื่น ไหนจะเสื้อกันหนาวหนักขึ้นอีก 1-2 กิโลกรัม ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น วันแรกเที่ยวโอตารุ + โนโบริเบตสึ (ค้างโนโบริเบตสึ) วันที่สองไปฮาโกดาเตะ เที่ยวเท่าที่มีเวลาก่อนมืด (ค้างฮาโกดาเตะ) วันที่สามเช้าตื่นมาเที่ยวฮาโกดาเตะต่อ เสร็จแล้วค่อยนั่งรถไฟเข้าซัปโปโร อะไรประมาณนี้

เอาสั้นๆ พอเป็นไอเดียแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วถ้าใครอยากได้รายละเอียดลองคุยกันมาที่ เพจ D+Plus Guide ของพวกเรากันต่อได้ เที่ยวตามรอยให้สนุกนะครับ

อ้อ! อย่าลืมว่าถ้าจะไปให้ตรงช่วงเทศกาลหิมะ ต้องจองล่วงหน้านานๆ นะครับไม่งั้นหาที่พักในซัปโปโรไม่ง่ายเหมือนกัน อย่าลืมว่าแต่ละปีมีคนมาดูงานเทศกาลหิมะแค่ 7 วันนี้ ก็ปีละร่วม 2 ล้านคนเชียวนะ!

ดูฉากและเบื้องหลังการถ่ายทำเพิ่มเติมได้ที่ www.youtube.com/watch?v=7gqyEVPSrHE

เรื่องและภาพ : วศิน เพิ่มทรัพย์ DPlus Guide Team | ขอขอบคุณภาพสกรีนช็อต จากตัวอย่างภาพยนตร์ แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว (Fanday, One Day) จาก YouTube: GDH

กระเป๋าเดินทาง เลือกยังไงให้เบาๆ

กระเป๋าเดินทางที่ขายกันทั่วไป

เคยกันมั้ยเวลาลากกระเป๋าไปเช็กอินแล้วกุมขมับเพราะน้ำหนักเกิน เรารู้ว่าคุณเคยโดน! โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบินด้วยสารการบินโลว์คอสต์ ซึ่งหลายๆเจ้าเค้าทำราคาให้เราถูกได้ก็เพราะเค้าควบคุมน้ำหนักของผู้โดยสารและสัมภาระไง (คิดต้นทุนยิบย่อยยุบยับกันเลยทีเดียวกว่าจะทำราคาออกมาได้ต่ำเนี่ย) ถ้าเราแบกของไปเพิ่ม ทางสายการบินเขาก็อาจต้องเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นในการบินขึ้นและร่อนลง เลยมาคิดตังค์เพิ่ม (บวกกำไร) กับเราไง อ้าว!

ว่าแต่ว่าคุณรู้กันบ้างมั้ยว่ากระเป๋าคุณหนักเท่าไหร่? ไม่ช่าย! ไม่ใช่กระเป๋าตังค์! กระเป๋าเดินทางเปล่าๆ ก่อนที่จะใส่อะไรต่อมิอะไรลงไปน่ะ ใบของคุณมันหนักเท่าไหร่ 3 กิโล, 4 กิโล หรือ 5 กิโล? ถ้าหนัก 5 กิโลนี่ก็เท่ากับหนึ่งในสี่ของน้ำหนักที่สายการบินให้เอาขึ้นได้แล้วนะ (บางสายการบินให้ 20 กิโลกรัม บางสายการบินก็ 25 กิโลกรัม หรือบางทีก็ถึง 30 กิโลกรัม แล้วแต่เงื่อนไขในตอนซื้อตั๋วและระยะทางที่บิน บินไกลก็อาจยอมให้ขนมากหน่อย… แบบว่าพี่ไปหลายวันนะเอ้อ) อย่างนี้ก็แปลว่าคุณใส่ของลงไปได้อีกแค่ 15 กิโลเองนะ! แต่ถ้ากระเป๋าคุณลดน้ำหนักลงเหลือแค่ 3 กิโลกรัมล่ะ? คุณก็ใส่ของเพิ่มได้อีกตั้ง 2 กิโล ถูกมั้ย

ใช่แล้ว นี่คือเทคนิคที่จะช่วยให้คุณขนของไปได้มากขึ้นยังไงล่ะ! ด้วยกระเป๋าเดินทางที่เบาลง นอกจากอาจจะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำหนักเพิ่มแล้ว ยังช่วยให้ขนของได้มากขึ้น ลดโอกาสในการออกลูกออกหลานของกระเป๋าเดินทางในเที่ยวขากลับไปได้บ้าง และเวลายกขึ้นลงจากสายพานที่สนามบิน ยกขึ้นบนที่วาง ใส่หรือยกออกจากท้ายรถเช่าหรือรถแท็กซี่ ขนเข้าโรงแรม ฯลฯ มันจะยังช่วยประหยัดหลังของคุณไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรด้วยนะ!

ทีนี้ ถ้าพบว่ากระเป๋าของคุณมันค่อนข้างหนัก (ต้องบอกว่า “ค่อนข้าง” เพราะเส้นที่ว่า “หนักไปแล้วนะ” ในใจแต่ละคนคงไม่เท่ากัน) ก็อาจลองดูว่าคุ้มมั้ยที่จะหากระเป๋าเดินทางใบใหม่ที่เบาลง โดยเฉพาะใบใหญ่ที่ต้องรับบทหนัก กับใบเล็กที่ต้องลากหรือถือติดตัวขึ้นเครื่อง (อย่าลืมว่าเครื่องบินจอดไม่ได้เทียบงวงให้เราเดินลากกระเป๋าเชิดหน้าออกมาเสมอไปนะครับ ถึงแม้ในต่างประเทศก็เถอะ อย่าลืมนึกถึงโอกาสที่ต้องแบกมันขึ้นลงบันไดเครื่องเพื่อไปต่อรถบัสบ้างก็แล้วกัน) ซึ่งตอนนี้วัสดุเบาที่ทำกระเป๋าเดินทางก็มีให้เลือกหลายอย่าง ที่นิยมใช้กันมากก็เช่น

กระเป๋าทรงอ่อน (Soft Luggage)

ผ้าเป็นวัสดุที่ใช้ทำกระเป๋าเดินทางกันมาตั้งแต่นานแล้ว ที่จริงตัวผ้าเองถึงจะไม่เบาแต่ก็ไม่ได้หนักมาก หากด้วยความที่มันจำเป็นจะต้องมีโครงให้คงรูปร่างได้ จึงทำให้มีน้ำหนักรวมค่อนข้างมาก แต่ก็มีข้อดีที่ยัดของจนโป่งได้ ขณะเดียวกันก็เสียตรงที่ไม่คงรูปนักนี่แหละ ของที่เป็นกล่องๆ ใส่แล้วก็เลยอาจเสียรูปทรงจนบูบี้ได้ และความจริงที่เรียกรวมๆ ว่าผ้านี้ก็ยังมีแยกย่อยได้อีกหลายอย่างเช่น

  • Polyester เป็นผ้าใยสังเคราะห์ที่ใช้กันมานานแล้ว มีความแข็งแรงทนทานในระดับหนึ่ง บางครั้งที่เราเห็นผ้าเบอร์ต่างๆเช่น 600D ตัว D มาจาก Denier นั่นก็คือหน่วยวัดความหนาแน่นของผ้าประเภทนี้ดังนั้น ผ้า 1000D จึงมีความหนาแน่นมากกว่าผ้า 600D ที่ทำมาจาก Polyester ด้วยกัน
กระเป๋าที่ทำจากผ้า Nylon มีน้ำหนักเบา ผิวเรียบลื่นเป็นมัน - ภาพจาก Tumi.com
กระเป๋าที่ทำจากผ้า Nylon มีน้ำหนักเบา ผิวเรียบลื่นเป็นมัน – ภาพจาก Tumi.com
  • Nylon ไนลอนเป็นผ้าใยสังเคราะห์ชนิดแรกๆที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ ปัจจุบันกระบวนการผลิตทำให้ได้ผ้าไนลอนที่นุ่มและเหนียวทนทานกว่า polyester ทั้งนี้ผ้าไนลอนมีหน่วยวัดความหนาแน่นเป็น Denier เหมือนกัน (แต่จะใช้เปรียบเทียบกับ polyester ที่ค่าเดียวกันไม่ได้) นอกจากนี้ยังมีผ้าใยสังเคราะห์พิเศษที่อาจมีไนลอนเป็นส่วนประกอบอีกเช่น
    • Ballistic Nylon ซึ่งเป็นไนลอนที่ทนทานเป็นพิเศษ มีที่มาว่าในสมัยสงครามโลกมันได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อใช้ป้องกันหรือลดความรุนแรงของเศษวัสดุจากการแตกกระจายของกระสุนปืนหรือวัตถุระเบิด (แต่ไม่ถึงขั้นกันกระสุนได้แต่อย่างใด) เมื่อนำมาทำกระเป๋าก็เลยทนต่อการขีดข่วนฉีกขาดมากกว่าไนลอนธรรมดา
    • Cordura เป็นยี่ห้อหรือชื่อการค้าของผ้าไนลอนชนิดพิเศษที่ทนทานต่อการกัดกรอนหรือฉีกขาดได้ดีกว่าปกติ และอาจผลิตโดยผสมกับเส้นใยธรรมชาติอื่นๆ เข้าไปด้วยก็ได้
กระเป๋าที่ทำจาก Ballistic Nylon - ภาพจาก Tumi.com
กระเป๋าที่ทำจาก Ballistic Nylon – ภาพจาก Tumi.com

นอกจากนั้นยังมีวัสดุอื่นๆ ที่ทำกระเป๋าแบบอ่อนได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนัก เช่น หนังแท้ (ทนทาน แต่หนัก แพง และดูแลยาก) กับ หนังเทียม หรือ หนัง PU (ที่เบาและดูคล้ายหนังแต่ไม่ทนทานเท่าที่ควร)

กระเป๋าทรงแข็ง (Hard Luggage)

พลาสนิกที่นิยมนำมาใช้ทำกระเป๋าทรงแข็งก็มีหลายเกรด มีความแข็งแรง น้ำหนัก และราคาต่างๆกัน เช่น

  • ABS เป็นชื่อของพลาสติกสังเคราะห์ชนิดหนึ่ง มีการนำมาทำกระเป๋าเดินทางกันพอสมควร เพราะมีความแข็งแรงทนทานและน้ำหนักไม่มากนัก กระเป๋าทรงแข็งทั่วๆ ไปที่ราคาไม่สูงนักมักจะเป็นวัสดุนี้
กระเป๋าเดินทางที่ขายกันทั่วไปในปัจจุบัน ถ้าเป็นแบบแข็งมักจะทำจาก ABS หรือไม่ก็ Polycarbonate
กระเป๋าเดินทางที่ขายกันทั่วไปในปัจจุบัน ถ้าเป็นแบบแข็งมักจะทำจาก ABS หรือไม่ก็ Polycarbonate
  • PC (Polycarbonate) นี่ก็เป็นวัสดุสังเคราะอีกพวกหนึ่งซึ่งมีความแข็งแรงและมีน้ำหนักเบากว่า ABS จึงมีการใช้กันแพร่หลายในงานทำป้ายขนาดใหญ่ หลังคา และรวมถึงนิยมนำมาใช้ทำกระเป๋าเดินทางที่เบาและแพงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งด้วย ซึ่งวัสดุนี้มีทั้งแบบธรรมดา และแบบที่มีโครงสร้างหรือกรรมวิธีผลิตให้แข็งแรงและเบาเป็นพิเศษ โดยมีชื่อการค้าที่ต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อที่ผู้ผลิตวัสดุจะตั้ง ที่นิยมนำมาทำกระเป๋าเดินทางก็เช่น Makrolon, Hyzog, Lexan, Texin และอื่นๆอีกมากมาย บางตัวก็มีคุณสมบัติพิเศษผ่านมาตรฐานการกันไฟและอื่นๆ ด้วย
PC-Polycarbonate
วัสดุ PC หรือ Polycarbonate มักจะทำเป็นแผรนแบบไม่เรียบ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง

นอกจากนี้ยังมีวัสดุอื่นๆที่ใช้ทำกระเป๋าทรงแข็งเช่น อลูมิเนียม (Aluminum) ซึ่งมีน้ำหนักเบาและแข็งแรงทนทานต่อการกระทบกระแทก แต่ราคาสูงและน้ำหนักมากกว่า PC มีใช้ในกระเป๋าราคาแพงบางแบบที่ต้องการความทนทานเป็นหลัก เช่นใช้ขนเครื่อวงมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ หรือบางยี่ห้อก็ใช้พลาสติกสังเคราะห์แบบผสม (composite) อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Polycarbonate ล้วน ซึ่งมีชื่อการค้าต่างออกไป เช่น Tegris, Curv เป็นต้น

กระเป๋าที่ทำจากวัสดุ Tegris ที่เป็นพลาสติกแบบ composite - ภาพจาก Tumi.com
กระเป๋าที่ทำจากวัสดุ Tegris ที่เป็นพลาสติกแบบ composite – ภาพจาก Tumi.com
กระเป๋าที่ทำจากพลาสติกสังเคราะห์ Curv -ภาพจาก Samsonite.com
กระเป๋าที่ทำจากพลาสติกสังเคราะห์ Curv -ภาพจาก Samsonite.com

พอรู้แล้วว่ามีวัสดุแบบใดบ้าง ก่อนจะซื้อกระเป๋าใหม่ก็ลองถามคนขายหรือดูฉลากที่บอกว่ามันทำมาจากวัสดุอะไรดูก็ได้นะครับ แต่ว่าของฟรีไม่มีในโลก โดยมากวัสดุยิ่งเบา กระเป๋าก็จะราคาสูงเป็นส่วนกลับกัน แม้แต่วัสดุประเภทเดียวกันอย่าง PC ก็ยังอาจมีเกรดต่างๆ กันได้อีก และตามเคย ยิ่งเบาแต่แข็งแรง ก็ยิ่งแพงและเป็นภาระกระเป๋า(สตางค์) มากขึ้น :-(

เทคนิค – วิธีชั่งน้ำหนักกระเป๋า

แถมให้อีกนิด ก่อนจะเลือกซื้อกระเป๋าเบาๆ คุณควรรู้ก่อนว่าใบที่ใช้อยู่ตอนนี้มันหนักเท่าไหร่ ซึ่งก็ทำได้ตั้งแต่ลงทุนไปซื้อตาชั่งน้ำหนักกระเป๋าโดยเฉพาะ (แบบดิจิตอลก็มีนะ ตามรูป) ถ้าคิดว่าใช้บ่อยและเดินทางกันหลายคนก็น่าจะคุ้ม

เครื่องชั่งน้ำหนักกระเป๋าแบบพกพา ราคาไม่แพง - ภาพจาก wikipedia
เครื่องชั่งน้ำหนักกระเป๋าแบบพกพา ราคาไม่แพง – ภาพจาก wikipedia

หรืออีกวิธีประหยัด ก็เอาขึ้นตาชั่งแบบที่ใช้ชั่งน้ำหนักตัวนี่แหละ (ซึ่งน้ำหนักแค่ 3-4 กิโลบางทีมันก็ดูยากหรือไม่ยอมขยับ) แนะนำให้ยกกระเป๋าเปล่าแล้วเดินขึ้นไปยืนบนตาชั่ง จากนั้นวางกระเป๋าลงแล้วชั่งน้ำหนักตัวเปล่าๆ ดูว่าน้ำหนักลดไปเท่าไหร่ แค่นี้คุณก็พอมีไอเดียคร่าวๆ แล้วว่ากระเป๋าใบเก่งของคุณหนักกี่กิโลกัน :-)

เรื่อง : วศิน เพิ่มทรัพย์ DPlus Guide Team

เมื่อคนจีนแห่ใช้ “เงินดิจิตอล” ไม่ง้อธนบัตร

เซี่ยงไฮ้เมืองเก่า (บน) และเมืองใหม่ (ล่าง) สองฝั่งแม่น้ำหวงผู่

เดือนที่แล้วผมเพิ่งกลับมาจากเซี่ยงไฮ้ มหานครศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของจีน หลังจากไม่ได้ไปมาหกปี และพบว่ามันเปลี่ยนไปพอสมควร นอกจากพวกตึกระฟ้า Landmark ใหม่ๆ ที่เปิดหลังงาน Expo 2010 อย่าง ตึกจินเม่า ตึก SWFC และตึก Shanghai Tower รวมถึงรถใต้ดินที่เสร็จเพิ่มอีกหลายสาย ห้างสรรพสินค้าที่เปิดกันเยอะมากจนสงสัยว่าใครกันจะมาเดินจนทั่ว (และหลายห้างก็น่าจะร้างคนจริงๆ จนดูเหมือนว่าฟองสบู่อสังหาฯ จะเกิดขึ้นที่นี่เหมือนกัน)

แต่ที่น่าสังเกตคือเรื่องของการจ่ายเงินของคนจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เงินอิเล็กทรอนิคส์” ที่จ่ายผ่านแอพชนิดต่างๆ ในมือถือ ซึ่งมีหลากหลายแบบให้เลือกใช้ ถึงขนาดที่ว่าเวลาจะจ่ายเงินแต่ละครั้งตามร้านค้า ร้านอาหาร จะมีตัวเลือกมากมายจนงงทีเดียวว่าจะจ่ายด้วย Wechat, Alipay, Apple Pay (ที่เพิ่งจะเข้ามาเปิดบริการ) บัตรเครดิต หรือสุดท้ายคือ เงินสด

แม้แต่ร้านขายผักในตลาดก็รับ Alipay
แม้แต่ร้านขายผักในตลาดก็รับ Alipay

ที่น่าสนใจคือ ดูเหมือนชาวจีนจะใช้เงินสดกันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ธนบัตรกลายเป็นตัวเลือกที่ยุ่งยากและต้นทุนการรับแพง เพราะทุกที่ที่รับเงินสดจะต้องมีเครื่องนับเงิน ไม่ใช่เพื่อนับจำนวนเท่านั้น แต่เครื่องนับเงินที่นี่จะสแกนแบงก์ปลอมไปด้วยในตัวเลย ดังนั้นต่อให้ส่งธนบัตรให้เพียงใบเดียวก็ต้องใส่เข้าเครื่องนับเพื่อสแกนดูก่อน

นอกจากนี้คนส่วนใหญ่มีสมาร์ทโฟน (ไม่ว่าจะเป็นรุ่นถูกหรือรุ่นแพงก็ตาม แต่ก็สามารถต่อเน็ตและมีความสามารถพอใช้ในการจ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชั่นได้) ถึงแม้จะมีคนเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ใช้แอพฯ ต่างๆ ในการจ่ายเงินเป็นหรือคล่อง แต่ถ้าเป็นแล้วก็ช่วยให้ชีวิตสบายขึ้นอย่างมาก เพราะความที่จีนมีผู้คนมากมายมหาศาล การทำธุรกรรมหรือซื้อของหลายๆอย่าง เช่น ซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงไปต่างเมืองไม่กี่ร้อยกิโลเมตร กลายเป็นเรื่องโกลาหลที่ต้องต่อคิวรอหน้าเคาน์เตอร์ไม่น้อยกว่าครึ่งค่อนชั่วโมง และก็อย่างที่รู้กันว่าคนจีนอีกไม่น้อยที่เคยชินกับระบบไม่เข้าคิว :-( การต่อแถวแบบนี้จึงสร้างความยุ่งยากและเสียเวลามาก

เมื่อเทียบระหว่างคนที่ยอมเสียเวลามาต่อคิวซื้อตั๋วจากพนักงานที่เคาน์เตอร์ กับคนที่ไปใช้เครื่องออกตั๋วอัตโนมัติ ซึ่งต้องซื้อล่วงหน้ามาจากแอพฯ ในมือถือ และต้องมีการแปะบัตรประชาชนที่เครื่องให้สแกนเพื่อพิมพ์ชื่อลงในตั๋วด้วย (ระบบรถไฟความเร็วสูงที่นี่เหมือนตั๋วเครื่องบิน คือต้องระบุชื่อในตั๋วและมีการสแกนกระเป๋าก่อนเข้าขบวนรถด้วย) กะด้วยสายตาคร่าวๆ แล้วน่าจะมีจำนวนมากพอๆ กัน คือครึ่งต่อครึ่งเห็นจะได้

หน้าจอ Wallet ของ WeChat - by Ged Carroll from Flickr CC BY 2.0
หน้าจอ Wallet ของ WeChat – by Ged Carroll from Flickr CC BY 2.0

กลับมาที่การจ่ายเงินด้วยแอพฯ อีกที จะเห็นว่าที่ไหนๆก็รับ WeChat (เจ้าของเดียวกับ Tencent บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของจีน ที่เคยมีแอพ QQ ซึ่งใช้แชทกันแพร่หลายบนคอมพิวเตอร์มาแล้วในยุคก่อนนี้ และตอนนี้ก็เป็นเจ้าของเว็บ portal ใหญ่สุดของไทยอย่าง Sanook.com ด้วย) ส่วนที่รองลงมาก็จะเป็น Alipay ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจีนนำมาใช้ในเมืองไทยมากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชียงใหม่ ส่วน Apple Pay ก็เพิ่งจะเปิดตัวให้ใช้กัน

คนที่นี่เล่ากันว่านอกเหนือจากการคุยแล้วยังสามารถใช้ WeChat ทำได้แทบจะทุกอย่างตั้งแต่ฟังเพลง อ่านข่าว ซื้อตั๋วรถไฟ ตั๋วหนัง ฯลฯ รวมไปถึงมีหน้าที่เป็น timeline ให้โพสต์ข้อมูลถึงเพื่อนๆ แบบเดียวกับที่เราเล่น Facebook กันได้ด้วย ดูแล้วก็น่าจะใกล้เคียงหรือมาในโมเดลเดียวกับที่ LINE พยายามจะทำในบ้านเรา หรือที่ Facebook + Messenger ก็กำลังจะทำอยู่นั่นเอง (ต้องไม่ลืมว่าที่จีนนี่เค้าบล็อกไม่ให้คนทั่วไปใช้ได้ทั้ง Facebook และบริการทุกอย่างของ Google ทั้ง Google Search, Google Maps และอื่นๆนะครับ คนที่ใช้ได้มีแต่ชาวต่างชาติที่เปิดบริการ roaming เบอร์มือถือมา หรือต่อผ่าน VPN ออกไปเท่านั้น)

ที่จริงต้องบอกว่าสามารถใช้ WeChat ได้แม้กระทั่งซื้อผักผลไม้ในร้านที่ตลาด และใช้แทนการใส่ซองให้คู่บ่าวสาวในพิธีแต่งงานด้วยซ้ำไป!?! ลองนึกดูนะครับว่าในงานแต่ง ไม่ต้องหาญาติสนิทที่ไว้ใจได้มานั่งเฝ้ากล่องใส่ซอง ไม่ต้องมานั่งนับเงินแล้วหอบไปเข้าธนาคารหลังพิธีเลิก (หรือยังมีบ้างก็น้อยลงกว่าเดิมเยอะ) แต่เงินโอนผ่านบัญชีไปรออยู่ในธนาคารเรียบร้อย เท่านี้คู่แต่งงานก็แฮปปี้ขึ้นและเหนื่อยน้อยลงไปเรื่องนึงแล้ว

ในเมื่อคนใช้ธนบัตรน้อยลง ก็เป็นไปได้ที่จะเห็นตู้ ATM น้อยลง และรัฐบาลก็อาจใช้งบในการพิมพ์แบงก์ใหม่ออกมาน้อยลงไปด้วย การซื้อข้าวของต่างๆ ถ้าไม่สั่งออนไลน์ก็ทำผ่านเครื่องอัตโนมัติได้มากขึ้น ซึ่งทำให้สังคมจีนสามารถจัดสรรทรัพยากรมาบริการประชากรกว่า 1,400 ล้านคนได้มากขึ้น เพราะถ้าไม่มีทางออกประเภทนี้เลยการใช้ชีวิตคงจะวุ่นวายยิ่งกว่านี้

แต่ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ทั้งหมดนี้เป็นบริการจากฝั่งผู้ประกอบการด้านอินเทอร์เน็ต ไอที หรือ e-commerce ทั้งสิ้น ไม่ได้มีสถาบันการเงินอย่างธนาคารมาออกหน้าเลย อย่างมากก็น่าจะอยู่หลังฉากคอยเชื่อมระหว่างบัญชีเงินฝากของผู้ใช้กับบัญชีในแอพ แล้วแต่ว่าอย่างไหนจะมีเงินมากกว่ากัน เพราะถ้าใครค้าขายโดยรับเงินผ่านแอพฯ ได้ ก็ย่อมมีเงินค้างอยู่ในแอพฯ ได้มากพอให้นำไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน จนอาจจะไม่ต้องเติมเงินเข้าไปอีกด้วยซ้ำไป มีแต่เอาออกมาฝากแบงก์เสียบ้างเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยเท่านั้น งานนี้เรียกว่าสถาบันการเงินดูเหมือนจะถูก disrupted หรือเปลี่ยนแปลงล้มล้างระบบไปจนตั้งรับแทบไม่ทันทีเดียว

ในบางประเทศอย่างอเมริกา มีคนสำรวจกันออกมาว่าน่าจะมีคนเติมเงินทิ้งไว้ในระบบบัตรหรือแอพฯ บางตัว อย่างกาแฟยี่ห้อที่มีโลโก้เป็นนางเงือกเขียว จะเป็นบัตรเติมเงินหรือแอพฯ ก็ได้ คิดแล้วมากกว่าเงินฝากของบางธนาคารเสียอีก ที่จริงต้องเล่าเพิ่มว่าที่เมืองใหญ่ของจีนอย่างเซี่ยงไฮ้ หรือเมืองใหญ่รองลงไปอย่าง หังโจว (Hangzhou) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 150 กม. และกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติ G20 นี่หาร้านกาแฟสตาร์บัคส์ง่ายกว่าร้านสะดวกซื้อเสียอีก เทียบกับร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven, Family Mart ยังมีสาขาไม่ถี่ยิบเท่าร้านกาแฟดังเจ้านี้ด้วยซ้ำไป หรือแม้แต่การเช่าจักรยานในเมืองก็ใช้ระบบอิเล็กทรอนิคส์กันแล้ว

จุดให้เช่าจักรยานในเมืองหังโจว (Hangzhou)
จุดให้เช่าจักรยานในเมืองหังโจว (Hangzhou)
เช่าจักรยานแบบไฮเทค
เช่าจักรยานแบบไฮเทค

กลับมาที่เมืองไทยของเราบ้าง ระบบ “พร้อมเพย์” (PromptPay) อี-เพย์เมนต์ของรัฐบาลที่กำลังจะเริ่มใช้จริงในครึ่งปีหลังนี้ น่าจะทำให้เกิดภาพคล้ายๆกันขึ้นในบ้านเรา ยิ่งรัฐบาลออกข่าวว่าจะใช้ “ยาแรง” ในการบังคับ เช่นให้คิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เท่าเดิมสำหรับการจ่ายผ่านระบบนี้ ส่วนใครใช้เงินสดก็คิด 10% ไป (ตามที่ว่าจะขึ้น VAT มาหลายปีแล้ว) หรือการบังคับให้รับจ่ายเงินกับหน่วยงานของรัฐ เช่นการคืนภาษีผ่านระบบนี้ คงจะจูงใจให้คนหันมาใช้ระบบดังกล่าวได้มากพอสมควร

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเงินๆ ทองๆ เข้ามา ก็ต้องดูเรื่องความปลอดภัยของระบบให้รัดกุมแน่นหนาด้วย ควบคู่กันไปกับการทำความเข้าใจถึงความปลอดภัยและความเสี่ยงในแง่ผู้ใช้ จะได้ไม่เกิดดราม่าแบบที่แชร์กันบนโลกออนไลน์ว่า บางแบงก์เขียนเงื่อนไขการลงทะเบียนผูกบัญชีไว้กับระบบนี้ทำนองว่าไม่รับผิดชอบกรณีถูกแฮกหรืออะไรทำนองนั้น ทำให้คนตกใจกลัวกันไปพักหนึ่ง

ร้านไอศกรีมเล็กๆ ก็รับเงินอิเล็คทรอนิคส์ผ่านแอพฯ ได้
ร้านไอศกรีมเล็กๆ ก็รับเงินอิเล็คทรอนิคส์ผ่านแอพฯ ได้

ที่จริงความเห็นส่วนตัวผมว่ามันก็พอๆกับตอนที่เราเอาเครื่องเอทีเอ็มเข้ามาใช้ในยุคแรกๆ นั่นแหละครับ คือมันสะดวกขึ้นมาก ถึงจะไม่ได้ปลอดภัย 100% แต่หากเลือกจำกัดเงินในบัญชีที่ใช้ และเพิ่มความระมัดระวังในการใช้งานตามสมควร ก็น่าจะจำกัดความเสียหายผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นให้อยู่ในระดับที่พอรับได้ ซึ่งก็อาจจะไม่แตกต่างหรือปลอดภัยกว่าจากการพกเงินสดทีละมากๆ ไปไหนมาไหนแล้วทำหล่นหายหรือถูกขโมยจี้ปล้นไปด้วยซ้ำ

ที่ต้องคำนึงถึงอีกอย่างก็คือเมื่อเป็นการรับจ่ายด้วยมือถือ คงยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ใช้ไม่เป็นหรือไม่คล่อง ซึ่งทำให้การใช้เงินสดยังคงมีความจำเป็นอยู่ ดังที่เห็นได้จากตัวอย่างในเมืองจีนแล้วว่าคนอีกไม่น้อยยังตามไม่ทัน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าขนาดคนรุ่นคุณพ่อคุณแม่เราที่เกษียณไปแล้ว เดี๋ยวนี้ยังสามารถหัดเล่น LINE จนคุยกันได้เป็นเรื่องเป็นราว ส่งดอกไม้ให้กันได้ทุกเช้าเป็นแถว ^_^ ดังนั้นเทคโนโลยีจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหากมีแรงจูงใจให้ใช้มากพอ และสามารถอ่านออกเขียนได้ในระดับหนึ่ง

ซึ่งหน้าที่ของรัฐและผู้ให้บริการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือใครๆ ก็ตาม ก็คือทำให้ระบบมันใช้ง่าย ปลอดภัย มีแรงจูงใจมากพอนี่แหละครับ แล้วเราจะได้เป็น “Less cash society” (สังคมใช้เงินสดน้อย) เข้าไปอีกนิดนึง โดยยังไม่ต้องไปถึงขั้น cashless society ที่ไม่ใช้เงินสดกันเลยก็ได้ :-)

เรื่องและภาพ: วศิน เพิ่มทรัพย์ DPlus Guide Team

รวม 5 รถกระเช้าวิวภูเขาสวยสุดยอดในฮอกไกโด

เที่ยวฮอกไกโด รวม 5 รถกระเช้าวิวภูเขาสวยสุดยอดในฮอกไกโด
วิวกลางคืนของเมืองฮาโกดาเตะ มองจากยอดเขา Mt. Hakodate

ใครไปเที่ยวฮอกไกโด ก็ต้องไปเที่ยวภูเขาให้ได้ ไม่ควรพลาด ซึ่งทั่วเกาะฮอกไกโดนี้ก็มีอยู่หลายสิบภูเขาให้เลือกชมเลือกเที่ยว แต่ละภูเขาก็มี “รถกระเช้า” หรือ Ropeway สำหรับขึ้นไปดูวิวบนยอดเขาได้

ในเมื่อมีหลายภูเขาให้เลือกเที่ยวในฮอกไกโดขนาดนี้ จะขึ้นรถกระเช้าไปชมภูเขาไหนดีล่ะ??? วันนี้เลยจะขอแนะนำแหล่งเที่ยวฮอกไกโดชมวิวภูเขา 5 แห่งที่มีวิวสวยคุ้มค่าแก่การขึ้นไปดูกัน!

1. ภูเขา Hakodate

ภูเขาฮาโกดาเตะ (Mt. Hakodate) เมืองฮาโกดาเตะ ว่ากันว่าเป็นสุดยอดจุดชมวิวบนยอดเขาหนึ่งในสามของญี่ปุ่น เพราะเป็นที่เดียวที่มีภูเขาอยู่ปลายแหลมแล้วมองกลับมาเห็นเมืองโดยมีน้ำขนาบอยู่สองข้าง กลางวันก็สวย กลางคืนยิ่งสวยกว่า แต่ขอแนะนำให้ไปจองที่แต่เนิ่นๆ ถ้าจะหามุมถ่ายรูปเป็นเรื่องเป็นราว เพราะช่วงเย็นถึงค่ำคนจะเยอะมากกกก (ก.ไก่สิบตัว!) อีกอย่าง อากาศเย็นและลมแรงตลอดปี ต่อให้ไปหน้าร้อนก็อย่าลืมติดเสื้อหนาวกันลมไปด้วย

เที่ยวฮอกไกโด จุดชมวิวยอดเขา Hakodate ช่วงเย็นคนจะเริ่มเยอะถึงเยอะมากตอนค่ำๆ
จุดชมวิวยอดเขา Hakodate ช่วงเย็นคนจะเริ่มเยอะถึงเยอะมากตอนค่ำๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม ภูเขาฮาโกดาเตะ (Mt. Hakodate) คลิก

 

2. ภูเขา Moiwa

ภูเขาโมอิวะ (Mt. Moiwa) อันนี้เป็นภูเขาใกล้เมืองซัปโปโร (Sapporo) เมืองหลวงของเกาะฮอกไกโด ใกล้เมืองชนิดที่ว่าสามารถนั่งรถรางไปลงป้ายใกล้ๆ เดินนิดหน่อยแล้วขึ้นรถกระเช้าได้เลย ภูเขานี้สูงไม่มากคือประมาณ 600 เมตร แต่ต้องต่อรถกระเช้าสองทอด บนยอดเขามีจุดชมวิว พื้นที่ไม่กว้างนักแต่สามารถมองเห็นตัวเมืองซัปโปโรทั้งหมด ยาวไปจนถึงที่ราบลุ่มน้ำอิชิกาวะทางเหนือ

ตัวเมืองซัปโปโร มองจากยอดเขาโมอิวะ ดูขาวโพลนไปหมดในฤดูหนาว
ตัวเมืองซัปโปโร มองจากยอดเขาโมอิวะ ดูขาวโพลนไปหมดในฤดูหนาว

ข้อมูลเพิ่มเติม ภูเขาโมอิวะ (Mt. Moiwa) คลิก

 

3. ภูเขา Tengu (Tenguyama)

ภูเขาเทงงุ (Mt. Tenguyama) เป็นเป็นภูเขาประจำเมืองโอตารุ (Otaru) ตั้งอยู่ชานเมืองเช่นกัน โดยนั่งรถบัสประมาณ 10 กว่านาที จากบนยอดเขาจะเห็นเมืองและท่าเรือโอตารุทั้งหมด รวมถึงอ่าวอิชิกาวะ บนยอดเขามีร้านอาหารและพิพิธภัณฑ์เล็กๆ เกี่ยวกับภูตเทงงุ (ภูตประจำถิ่น) รวมทั้งสวนให้เดินเล่นได้

เที่ยวฮอกไกโด รถกระเช้าภูเขาเทงงุ (Tenguyama) เมืองโอตารุ สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองและท่าเรือโอตารุได้
เที่ยวฮอกไกโด รถกระเช้าภูเขาเทงงุ (Tenguyama) เมืองโอตารุ

 

4. ภูเขา Asahidake

ภูเขาอาซาฮิดาเกะ (Mt. Asahidake) ตั้งอยู่ที่เมืองอาซาฮิดาเกะออนเซ็น (Asahidake Onsen) อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอาซาฮิกาวะ (Asahikawa) เมืองใหญ่อันดับสองของเกาะฮอกไกโด ไปประมาณ 45 กม. ที่นี่เมื่อขึ้นรถกระเช้าไปถึงสถานีด้านบนแล้วจะเป็นที่ราบให้เดินชมวิวต่อได้อีกเป็นชั่วโมง ระยะทางเป็นวงรอบที่ราบประมาณ 2 กิโลเมตร มีทางแยกไปอีกต่างหากสำหรับคนที่อยากจะเดินไปใกล้ๆ ยอดเขา ทางเดินปูแผ่นหินไว้ตลอด มีขึ้นลงตามเนินสูงต่ำแต่ไม่ชันถึงกับต้องปีนป่าย ตลอดทางมีบึงน้ำและพืชพันธุ์ธรรมชาติให้ดูเพลินได้ตลอด

ที่ราบบนภูเขา อาซาฮิดาเกะ (Asahidake) ในอุทยานไดเซ็ตสึซัง (Daisetsuzan)
ที่ราบบนภูเขา อาซาฮิดาเกะ (Asahidake) จุดชมวิวสำหรับคนชอบป่าเขาในฮอกไกโด

ข้อมูลเพิ่มเติม ภูเขาอาซาฮิดาเกะ (Mt. Asahidake) คลิก

5. ภูเขา Kurodake

ภูเขาคุโรดาเกะ (Mt. Kurodake) อยู่ที่เมืองโซอุนเคียว (Sounkyo) ทางตะวันออกของเมืองอาซาฮิกาวะไปประมาณ 72 กม. (และเป็นทางเดียวกับที่จะไปยังจุดชมใบไม้แดงยอดฮิตอย่าง Ginsendai ด้วย) ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่บนเขาในระดับสูงพอที่จะหนาวเย็นจนจัด เทศกาลปราสาทน้ำแข็ง (Sounkyo Ice Festival) ได้ยาวต่อเนื่องถึงกว่าสองเดือน รถกระเช้าที่นี่เมื่อขึ้นไปถึงสถานีด้านบนแล้วถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวจะมีบริการแชร์ลิฟท์ต่อไปอีกช่วงหนึ่ง (หน้าหนาวปิด) และมีทางเดินให้ trekking ขึ้นไปถึงยอดเขาได้

สถานียอดเขา ภูเขา Kurodake
สถานียอดเขา ภูเขา Kurodake

ข้อมูลเพิ่มเติม ภูเขาคุโรดาเกะ (Mt. Kurodake) คลิก

ในบรรดา 5 รถกระเช้าวิวภูเขาสวยสุดยอดในฮอกไกโด ที่แนะนำมา สถานที่เที่ยวฮอกไกโด 3 แห่งแรก ได้แก่ ภูเขาฮาโกดาเตะ (Mt. Hakodate), ภูเขาโมอิวะ (Mt. Moiwa) และ ภูเขาเทงงุ (Mt. Tenguyama) จัดเป็นประเภทรถกระเช้าชมวิวภูเขาใกล้เมือง เดินทางสะดวก ใช้รถไฟ รถราง หรือรถบัสไปได้ อาจต้องเดินต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงสถานีเชิงเขา ส่วนสถานที่เที่ยวฮอกไกโดอีก 2 แห่งหลังคือ ภูเขาอาซาฮิดาเกะ (Mt. Asahidake) กับ ภูเขาคุโรดาเกะ (Mt. Kurodake) จะเป็นประเภทที่อยู่ไกลเมืองใหญ่ คืออยู่ที่เมืองเล็กๆ ในอุทยานแห่งชาติ Daisetsuzan ต้องขับรถไปราวชั่วโมงเศษๆ จากเมือง Asahikawa

นอกจากนี้รถกระเช้าที่อื่นๆ ที่น่าสนใจในฮอกไกโดที่น่าเที่ยวก็ยังมีอีก เช่น

  • ภูเขา Usuzan ใกล้ทะเลสาบ Toya ที่นี่เมื่อขึ้นรถกระเช้าไปแล้วจะได้เห็นวิวของ ทะเลสาบโทยะ, เกาะกลางทะเลสาบ, ภูเขาโยเท (Mt. Yotei) ที่มีฉายาว่า “ฟูจิน้อยแห่งฮอกไกโด”, และภูเขาเกิดใหม่ Showa-Shinzan รวมถึงบริเวณรอบๆ สวยงามมาก!
ทะเลสาบโทยะ มองจากสถานีรถกระเช้ายอดเขา Usuzan
ทะเลสาบโทยะ มองจากสถานีรถกระเช้ายอดเขา Usuzan
  • ภูเขา Furano (Furano Ropeway) อยู่ที่สกีรีสอร์ทใกล้โรงแรม New Furano Prince มองลงมาเห็นตัวเมืองฟุระโนะทั้งหมด
จุดขึ้นรถกระเช้า ขึ้นไปชมวิวที่ภูเขา Furano (Furano Ropeway)
สถานีรถกระเช้าฟุระโนะ (Furano Ropeway)

ใครมีโอกาสไปฮอกไกโดแนะนำว่าไม่ควรพลาด 3 ที่แรกเพราะเดินทางสะดวก ส่วนที่อื่นๆ อาจต้องใช้ความพยายามในการเดินทางมากหน่อย แต่ก็สวยคุ้มค่าไม่แพ้กันเลยนะ :-)

เรื่องและภาพ: วศิน เพิ่มทรัพย์ DPlus Guide Team