Home Blog Page 127

รู้จักกับคันไซ (Kansai)

คันไซ (関西) หรือ คิงกิ (近畿) เป็นชื่อเรียกของภูมิภาคที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ ประกอบไปด้วย 6 จังหวัดที่สำคัญ ได้แก่ โอซาก้า (Osaka), เฮียวโงะ (Hyogo), นารา (Nara), เกียวโต (Kyoto), ชิงะ (Shiga) และวากายามา (Wakayama) (บางแห่งอาจนับรวมจังหวัดมิเอะเข้าไปในภูมิภาคคันไซนี้ด้วย)

japan-map_kansai_web-869x1024

 

คันไซเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญมาตั้งแต่โบราณ เมืองหลวงของญี่ปุ่นเคยตั้งอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้ คือที่นาราและเกียวโตซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์กลางในการบริหารปกครองประเทศมาต่อเนื่องยาวนานนับพันปี ภูมิภาคแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของมหานครโอซาก้า เมืองที่มีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจและมีความเจริญเป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่นรองจากโตเกียว  ความสำคัญของคันไซไม่ได้มีแค่เรื่องของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเท่านั้น ในแง่ของการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ภูมิภาคนี้ก็ไม่น้อยหน้าเพราะเป็นที่ตั้งของเมืองท่องเที่ยวชื่อดังมากมาย   คันไซจึงเป็นจุดหมายที่เหมาะกับการเที่ยวญี่ปุ่นแทบจะทุกสไตล์ ไม่ว่าจะชอบความทันสมัยไฮโซของเมืองใหญ่ ชอบผจญภัยแบบลุยๆ ตัวคนเดียว หรือมาเป็นครอบครัวก็มีสถานที่เที่ยวให้เลือกตรงตามแนวที่ชอบ

kansai_map_web1

เมืองสำคัญของภูมิภาคคันไซ

โอซาก้า (Osaka)

โอซาก้า เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมของภูมิภาคคันไซ มีประชากรอยู่อาศัยราว 2 ล้านกว่าคน ถือเป็นเมืองที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่นรองจากโตเกียว สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของโอซาก้า ได้แก่ ปราสาทโอซาก้า ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ย่านช้อปปิ้งนัมบะ พิพิธภัณฑ์สัตว์นํ้าไคยูคัง เป็นต้น

โกเบ (Kobe)

โกเบเป็นเมืองท่าและเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญของภูมิภาคคันไซแล้วยังเป็นเมืองที่มีความหลากหลายของวัฒนธรรมอีกด้วย สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ เทือกเขาร็อคโค (Mt.Rokko) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามติดอันดับของประเทศญี่ปุ่น ฟาร์มปศุสัตว์ ร็อคโค พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ลานสกี และอาบน้ำแร่เช่ออนเซ็น

เกียวโต (Kyoto)

เมืองท่องเที่ยวชื่อดังติดอันดับหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เกียวโตเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่นเมื่อพันกว่าปีก่อน สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ อาราชิยามา ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ หอคอยเกียวโต (Kyoto Tower) พระราชวังเกียวโต ตลาดนิชิกิ วัดปราสาททองคินคะคุจิ วัดเรียวอันจิ วัดนินนาจิ ศาลเจ้าคาโมะ

นารา (Nara)

อดีตเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 1,300 กว่าปีก่อน ในอดีตนาราเคยเป็นที่ตั้งของเมืองเฮโจเคียว (Heijo-kyo) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 710 และเจริญรุ่งเรืองจนถึงปี ค.ศ. 784 ก่อนจะถูกย้ายไปยังนางาโอกะ (Nagaoka) ในช่วงสมัยนั้นถือได้ว่าเป็นช่วงที่พุทธศาสนาเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ วัดโทไดจิ (Todai-ji) วัดโคฟุคุจิ (Kofuku-ji) วัดโทโชไดจิ (Toshodai-ji) สวนสาธารณะนารา

วากายามา (Wakayama)

เมืองเกษตรกรรมและแหล่งประมงที่สำคัญของภูมิภาคคันไซ ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ชายฝั่งที่ทอดยาวเหมาะกับการทำประมงผืนดินอันอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผักและผลไม้ที่ขึ้นชื่อจังหวัดวาคายามา สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ เทือกเขาศักดิ์สิทธิ์โคยะซัง (Koyasan) ต้นกำเนิดพุทธศาสนานิกาย Shingon ปราสาทวาคายามา นายสถานีแมวเหมียวทามะหนึ่งเดียวของญี่ปุ่น ฟาร์มสตอร์เบอรี่ในเมืองคิโนกาวา

ชิงะ (Shiga)

จังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของคันไซ มีเมืองหลวงชื่อโอทสึ (Otsu) เป็นจังหวัดที่ตั้งของทะเลสาบบิวะโกะ ทะเลสาบนํ้าจืดที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ในอดีตเคยเป็นเมืองที่สำคัญ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ ทะเลสาบบิวะโกะ ทะเลสาบนํ้าจืดที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ปราสาทฮิโคเนะ (Hikone Castle)

ตะลุย “ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์” เที่ยวให้คุ้มอย่างมีกึ๋น!

การไปเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) เป็นความฝันของใครหลายๆ คนที่ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต ดินแดนแห่งความสุขที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย แต่!! การจะเล่นเข้าไปสนุกให้คุ้มค่าบัตรนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเข้าไปแล้วจะมีทั้งเครื่องเล่นมากมาย แถมยังแบ่งโซนหลากหลายไปหมด การจะเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ ให้สนุกเต็มที่จึงต้องอาศัยชั้นเชิงและการวางแผนสักเล็กน้อย

ตะลุย “ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์” เที่ยวให้คุ้มอย่างมีกึ๋น!

 

ตะลุย “ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์” เที่ยวให้คุ้มอย่างมีกึ๋น!

 

ตะลุย “ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์” เที่ยวให้คุ้มอย่างมีกึ๋น!

ก่อนอื่นมาทราบข้อมูลเบื้องต้นกัน สวนสนุกที่นี่จะเปิดตั้งแต่ 10:00-20:00 น. ราคาค่าเข้า ผู้ใหญ่ 450 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 1,800 บาท) เด็ก 320 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 1,400 บาท) การเดินทางมาก็แสนจะง่ายดาย เพียงนั่งรถไฟใต้ดิน (MTR) สายสีส้ม ลงสถานี Sunny Bay ก็จะถึง “ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์” เลย
อ้อ…ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าใครหวังว่าอยากเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว ที่นี่ไม่มีนะจ๊ะ เพราะเกือบ 100% เป็นเครื่องเล่นที่นี่เป็นแนวครอบครัวสุขสรรค์ (ถ้าอยากเล่นแนวหวาดเสียวแนะนำให้ไป โอเชี่ยนปาร์คแทนครับ)

 

มีอะไรในดิสนีย์แลนด์ ฮ่องกง

ภายใน ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ จะแบ่งเป็น 5 โซน ได้แก่
1. Main Street USA เต็มไปด้วยบ้านเรือนในแนวคันทรี พร้อมร้านขายของที่ระลึก และรถไฟวนรอบสวนสนุก
2. Tomorrowland โซนเครื่องเล่นแห่งอนาคต เครื่องเล่นส่วนใหญ่จะเน้นไปในแนวตื่นเต้น
3. Fantasyland ดินแดนแห่งเทพนิยาย เครื่องเล่นเบาๆเหมาะกับคุณหนูและเป็นที่ตั้งของปราสาท
4. Adventureland โซนที่เน้นความตื่นเต้นลึกลับ เสมือนเรากำลังผจญภัยในป่าอะเมซอน
5. โซนใหม่ประกอบด้วย Toy Story Land, Grizzly Gulch, Mystic Point

 

เ(ค)รื่องเล่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

มาดูเรื่องเครื่องเล่นกัน เนื่องจากการต่อคิวเครื่องเล่นที่นี่ถือว่าโหดร้ายนัก เพราะต้องยืนรอกันเป็นครึ่งชั่วโมง ฉะนั้นเราต้องวางแผนดีๆ คำนวณเวลาให้แม่น เผื่อคิวสำหรับเครื่องเล่นที่เราอยากเล่นเอาไว้เลย จะได้ไม่พลาด

สิ่งแรกเลยที่ต้องรู้ คือ “Fast Pass” ฟาสต์พาส คือ บัตรนัด ใบจองเครื่องเล่น เมื่อถึงเวลาแล้วเราก็ค่อยมาที่เครื่องเล่นโดยไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวให้เสียเวลา

วิธีการแลกบัตรก็ง่ายดาย โดยไปที่ตู้แลกบัตรหน้าเครื่องเล่น เอาบัตรผ่านเข้าประตูดิสนีย์เสียบใส่ เราจะได้บัตรนัดออกมา ฟาสต์พาสไม่ได้มีทุกเครื่องเล่น จะมีเพียง 3 เครื่องเล่นเท่านั้นที่ให้บริการ คือ Space Mountain, Buzz Lightyear Astro Blasters และ The Many Adventures of Winnie the Pooh ถ้าให้ผมแนะนำ เมื่อไปถึงควรมุ่งหน้าไป เอา Fast Pass ของ Space Mountain ก่อนเลย เพราะเป็นเครื่องเล่นที่คนเล่นเยอะมาก ต่อคิวนานสุด

ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

พอเรารู้เรื่อง Fast Pass คราวนี้ถึงเวลาต้องมาวางแผนว่าจะเล่นเครื่องเล่นอะไร เพราะถ้าไปจะไปครบทุกเครื่องเล่นบอกไว้ก่อนเลยว่า วันเดียวไม่พอ ยิ่งของเล่นดังๆ ล้วนต้องต่อคิวไม่ต่ำกว่า 40-50 นาที ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่ามีเครื่องไหนบ้างที่ไม่ควรพลาด

 

ชอบหวาดเสียว ตื่นเต้น มันส์ๆ

  • Space Mountain (โซน Tomorrowland) รถไฟตะลุยจักรวาล (รถไฟเหาะในที่มืด) เครื่องเล่นอันดับต้นๆของที่นี่ ถ้าใครถามว่าเป็นอย่างไรก็คงต้องบอกว่าอารมณ์คล้ายๆ กับ Dream World บ้านเราแต่พวกเทคนิคแสงสีเสียงที่นี่เขาเริ่ดเว่อร์

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

 

  • Runaway Mine Cars (โซน Grizzly Gulch) นั่งรถไฟตะลุยเหมืองในเทือกเขาบิ๊กกริซลี อาจจะดูเป็นแค่รถไฟเหาะธรรมดาแต่จริงๆแล้วมีลูกเล่นที่แอบเอาไว้มากมาย เช่น ถอยหลังวิ่ง พุ่งไปข้างหน้าแบบความเร็วสูง ส่วนตัวผมว่าเครื่องเล่นนี้เด็ดไม่ควรพลาด แม้แถวจะยาวไปเสียหน่อย แต่อย่างไรก็ต้องเล่น!

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

  • RC Racer (โซน Toy Story Land) ลองนึกภาพรางรถไฟเหาะรูปตัว U สูง 27 เมตร ขึ้นลงไปมาดูซิว่ามันจะมันส์ขนาดไหน ดูไปดูมามันคือ “ไวกิ้ง” ดีๆนี่เอง

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

  • Toy Soldier Parachute Drop (โซน Toy Story Land) ร่วมกระโดดร่มไปกับกองทำลังทหารของ “Andy” (หนุ่มน้อยเจ้าของของเล่นทั้งหลายจากเรื่อง Toy Story) เครื่องเล่นนี้ถือว่าเสียวใช้ได้แต่ไม่ได้แรงมากเพราะจังหวะลงจะรั้งๆ เอาไว้ไม่ตกลงทีเดียว เด็กๆ ก็สามารถเล่นได้นะครับ

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

 

เล่นได้ทั้งครอบครัว

  • Jungle River Cruise (โซน Adventureland) นั่งเรือผจญภัยในป่าลึกลับ พบเจอกับบรรดาสัตว์ป่า ชาวป่า ภูเขาไฟระเบิด ระหว่างทางจะมีผู้บรรยาย บิ้วอารมณ์เราตลอดทาง เล่นเสร็จแล้วก็อย่าลืมไปเยี่ยมบ้านต้นไม้ของทาร์ซาน ด้วยละ

 

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

 

  • Mystic Manor (โซน Mystic Point) ของเล่นใหม่แกะกล่องที่จะพาคุณนั่งรถชมของสะสมสุดมหัศจรรย์จากทั่วทุกมุมโลกของคุณปู่ พร้อมสเปเชียลเอฟเฟ็คต์สุดตระการตา

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

 

  • Buzz Lightyear Astro Blasters (โซน Tomorrowland) ร่วมพิทักษ์จักรวาลไปกับ Buzz Lightyear โดยการนั่งยานอวกาศเข้าไปยิงปืนเลเซอร์ใส่เหล่าร้ายเพื่อเก็บคะแนน ซึ่งเป็นเครื่องเล่นที่ได้รับความนิยมจากเด็กๆ

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

 

  • Mickey’s Philharmagic (โซน Fantasyland) ภาพยนต์ 4 มิติ ที่รวมเอาเหล่าซุป’ตาร์ มาครบทุกเรื่อง

การแสดงโชว์

เหนื่อยกับการเล่นเครื่องเล่น มาพักดูโชว์ดีๆ กัน เริ่มต้นจากโชว์ Festival of The Lion King (โซน Adventureland) รอบโชว์ 12.00, 14.00, 16.30 และ 18.00 , The Golden Mickeys (โซน Fantasyland) รอบโชว์ 12:45, 13:45, 16:00, 17:00 และ 18:15 อย่างไรควรเช็กรอบกันก่อนที่ไปหน่อยนะครับเพราะเวลาโชว์อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน

 

พาเหรดการ์ตูนดิสนีย์ ของดีที่ไม่ควรพลาด!

และอีกหนึ่งไฮไลท์เด็ดของการมาเยือนดิสนีย์แลนด์ คือการชมขบวนพาเหรดของเหล่าซุป’ตาร์เหล่าตัวการ์ตูน โดยจะมีอยู่ 2 ช่วง คือเวลา 13:00 น. และ 16:00 น. ซึ่งถ้าใกล้ๆ วลาแล้วคนจะมารออยู่ข้างถนนเยอะมาก ถ้ามีเวลาแนะนำให้มาจองที่ก่อน และบริหารเวลาดีๆ นะครับ

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

 

จริงๆ แล้วแทบทุกจุดที่พาเหรดผ่านเราก็สามารถชมได้แบบใกล้ชิด แต่ถ้าจะเอาแบบสวยสุดๆ คงจะเป็นที่ วงเวียนหน้าปราสาท เพราะเราจะเห็นขบวนพาเหรดพร้อมกับฉากหลังที่เป็นปราสาท  แต่ว่ากันจริงๆ แล้วผมว่าแทบทุกจุดก็ชมได้สวยหมดล่ะ

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

 


เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่งเคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

เคล็ดลับเที่ยวฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) วางยุทธศาสตร์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

 

สุดท้ายก่อนกลับที่พัก ในช่วง 20:00 น. จะมีพลุ “Disney in the Stars” ที่ปราสาทให้ชม การแสดงจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที  ซึ่งใกล้เวลาคนจะแห่มาจับจองพื้นที่หน้าปราสาทชมพลุกันเยอะมาก ใครพอมีเวลาเหลือก็รีบไปจองที่ด้วยละ

ตะลุย “ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์” เที่ยวให้คุ้มอย่างมีกึ๋น!
[info-t] ทุกวัน 10:00-20:00 น.
[info-f] ผู้ใหญ่ 450 HKD, เด็ก 320 HKD
[info-d] สถานี Sunny Bay มาเปลี่ยนสายรถไฟสายสีส้มที่สถานี Central หรือ Hong Kong นั่งไปถึงสถานี Sunny Bay จากนั้นเปลี่ยนขบวนมาสายสีชมพู ลงที่สถานี Disneyland Resort

เรื่องและภาพ : ทีมงาน DPlus Guide

เที่ยวฮอกไกโด ตะลุย 9 สวนสวย เหนือจรดใต้

เที่ยวฮอกไกโด ตะลุย 9 สวนสวย เหนือจรดใต้

ขอเอาใจคนรักธรรมชาติและพรรณไม้ด้วยการพาไปชมสวนต่างๆ ในแหล่งท่องเที่ยวฮอกไกโดกันบ้าง

เนื่องจากเกาะฮอกไกโดเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์และมีสภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้สามารถปลูกพืชพรรณเมืองหนาวได้ดี จึงทำให้มีสวนสวยอยู่มากมายเหนือจดใต้เกาะ เอาให้คนรักธรรมชาติ “ฟิน” กันไปเลย!

เที่ยวฮอกไกโด ตะลุย 9 สวนสวย เหนือจรดใต้

 

1. สวน Odori Park เมือง Sapporo

เริ่มต้นกันที่เมืองซัปโปโรซึ่งเป็นดั่งหัวใจของฮอกไกโด ที่นี่มี สวน Odori Park หรือ Odori Koen เป็นสวนขนาดใหญ่ใจกลางเมืองซัปโปโร แม้จะมีความกว้างแค่ราวๆ 100 เมตร แต่ด้วยความยาวถึง 1.5 กม. ขนานไปกับถนน Odori จึงทำให้สังเกตได้ง่ายและเป็นแลนด์มาร์คสำคัญอันดับต้นๆ ของซัปโปโร

สวนสีเขียวขจีแห่งนี้มีทั้งน้ำพุและรูปปั้นประติมากรรมต่างๆ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่จัดงานเทศกาลสำคัญต่างๆ ในเมืองซัปโปโรด้วย อาทิ เทศกาลหิมะเมืองซัปโปโร เทศกาล White Illumination ที่จะประดับไฟรับช่วงคริสต์มาสตลอดทั้งสวน รวมไปถึงการประดับสวนด้วยพรรณไม้หน้าร้อนในช่วงฤดูร้อนของฮอกไกโดให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองมาเที่ยวชม เป็นต้น

สวนดอกไม้ใน Odori Park จัดตกแต่งไว้อย่างสวยสดงดงาม รอให้นักท่องเที่ยวไปแชะรูปกัน
สวนดอกไม้ใน Odori Park จัดตกแต่งไว้อย่างสวยสดงดงาม รอให้นักท่องเที่ยวไปแชะรูปกัน
สวนโอโดริกลางเมืองซัปโปโรจากมุมมองบน Sapporo TV Tower สามารถเห็นสวนยาวๆ ได้ทั้งหมด
สวนโอโดริกลางเมืองซัปโปโรจากมุมมองบน Sapporo TV Tower สามารถเห็นสวนยาวๆ ได้ทั้งหมด

นอกจากนี้สวน Odori Park นี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง Sapporo TV Tower อีกทั้งบริเวณสุดปลายอีกฝั่งหนึ่งของสวน (ห่างออกไปประมาณ 1.5 กม. ตามความยาวสวน) ยังมีพิพิธภัณฑ์เมืองซัปโปโรที่เป็นแหล่งข้อมูลความเป็นมาของเมือง รวมทั้งศาลจำลองจัดแสดงด้วย

ยังไม่พอ บริเวณใต้สวน Odori Park แห่งนี้ยังมีห้างสรรพสินค้าใต้ดิน Aurora Town และทางเดินใต้ดินที่เชื่อมต่อไปยังสถานี JR Sapporo ได้อีกต่างหาก!

 

2. สวน Nakajima เมือง Sapporo

อีกสวนในซัปโปโร สวน Nakajima หรือ Nakajima Koen อยู่บริเวณกลางค่อนทางใต้ของเมืองซัปโปโร เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมือง มีแม่น้ำ Kamokamo ไหลผ่าน มีสระน้ำขนาดใหญ่บรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจ

นอกจากนี้ ที่นี่มีอาคารสถาปัตยกรรมทันสมัย Sapporo Concert Hall (Kitara) สำหรับจัดแสดงดนตรีโดยเฉพาะ ภายในมีออร์แกนแบบท่อลมขนาดนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส, อาคาร Hoheikan ซึ่งเป็นอาคารไม้สีขาว-ฟ้า ดูน่ารัก เป็นอาคารเก่าแก่ที่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน

ปัจจุบันเป็นอาคารไม้โบราณแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่เปิดใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานอยู่ และหอดูดาวซัปโปโรที่เปิดให้เข้าใช้การดูดาวได้จริงในตอนกลางคืนด้วย

สวน Nakajima Koen บรรยากาศร่มรื่น มีสระน้ำกว้างใหญ่ และอาคารที่น่าสนใจอีกมากมาย จึงทำให้ผู้คนนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ
สวน Nakajima Koen บรรยากาศร่มรื่น มีสระน้ำกว้างใหญ่ และอาคารที่น่าสนใจอีกมากมาย จึงทำให้ผู้คนนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ

 

3. สวน Onuma เมือง Hakodate

สวน Onuma แห่งนี้อยู่ไกลออกมาจากเมือง Hakodate อีกหน่อย ใช้เวลานั่งรถไฟประมาณ 20 นาที ลงที่สถานี Onumakoen แล้วจะเดินหรือเช่าจักรยานปั่น ปั่น กันก็จะสบายน่องหน่อย เพราะที่นี่เป็นสวนที่ใหญ่ตั้งอยู่อีกฝั่งของทะเลสาป Onuma มีเสน่ห์ ตรงจุดชมวิวที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบทั้งสองฝั่ง ซึ่งในยามใบไม้ร่วงเป็นจุดถ่ายภาพที่เหล่าตากล้องทั้งหลายไม่ควรพลาด ได้ภาพโทนส้มๆอมแดงตัดกับน้ำสีฟ้าใสๆ แจ่มเลยหละ

สวน Onuma เด่นที่จุดชมวิวริมทะเลสาบ มองไปเห็นภูเขาไฟ Komagatake
สวน Onuma เด่นที่จุดชมวิวริมทะเลสาบ มองไปเห็นภูเขาไฟ Komagatake

 

4. สวน Tomita Farm เมือง Furano

Tomita Farm เทียบได้เป็นสาวงามแห่งเมือง Furano เลยก็ว่าได้ สวนแห่งนี้เป็นแลนด์มาร์คที่ใครมาฮอกไกโดแล้วไม่ได้มาก็ถือว่ามาไม่ถึง ด้วยภาพที่คนส่วนใหญ่เห็นกันจนชินสายตา นั่นก็คือ ทุ่งดอกไม้ห้าสี และทุ่งลาเวนเดอร์ที่เบ่งบานในยามหน้าร้อน ถ้ามาฤดูอื่นก็ยังพอมีลาเวนเดอร์ให้ดูนะ เพียงแต่จะอยู่ในเรือนกระจกไม่เล็กไม่ใหญ่…แค่พอรับแขกว่างั้น

ในฤดูอื่นๆก็มีดอกไม้ชนิดอื่นหมุนเวียนให้ได้ชื่นชม แชะรูปงามๆกัน ยกเว้นหน้าหนาวเพราะที่นี่จะขาวโพลนเต็มไปด้วยหิมะ อ้อ ที่สำคัญ มาที่นี่อย่าพลาดไอศกรีมกลิ่นลาเวนเดอร์เด็ดขาด ของดีของฟาร์ม Tomita เขาเลย

สวนสวยแห่งเมือง Furano กับดอกไม้สีม่วงนามว่า Grape Hyacinth
สวนสวยแห่งเมือง Furano กับดอกไม้สีม่วงนามว่า Grape Hyacinth
โดดเด่นด้วยดอกไม้ 5 สีปลูกเรียงกันเป็นแถว เคียงข้างทุ่งลาเวนเดอร์ละลานตา
โดดเด่นด้วยดอกไม้ 5 สีปลูกเรียงกันเป็นแถว เคียงข้างทุ่งลาเวนเดอร์ละลานตา
ภาพสวนดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์ของการท่องเที่ยวฮอกไกโด ก็คือ Tomita Farm เมือง Furano นี่ล่ะ
ภาพสวนดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์ของการท่องเที่ยวฮอกไกโด ก็คือ Tomita Farm เมือง Furano นี่ล่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม Tomita Farm

5. สวน Tokiwa เมือง Asahikawa

สวน Tokiwa หรือ Tokiwa Koen ปอดแห่งหนึ่งของชาวเมือง Asahikawa นอกจากเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และออกกำลังกายแล้ว ที่นี่ยังใช้จัดนิทรรศการรวมถึงอีเวนต์ต่างๆของเมืองอีกด้วย ภายในถูกจัดแต่งด้วยต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สวนดอกไม้ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล และบึงขนาดใหญ่ให้ได้พายเรือชมวิวเบาๆ

สวนสวยใจกลางเมือง Asahikawa ในยามฤดูใบไม้ผลิสวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกทิวลิปและซากุระ
สวนสวยใจกลางเมือง Asahikawa ในยามฤดูใบไม้ผลิสวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกทิวลิปและซากุระ

 

6. สวน Kamiyubetsu Tulip Park เมือง Monbetsu

สวน Kamiyubetsu Tulip Park ตั้งอยู่ในเมือง Yubetsu ซึ่งอยู่ในเขตเมือง Monbetsu อีกที ที่นี่เป็นสวนทิวลิปที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด มีทิวลิปนานาสายพันธุ์กว่า 1 ล้านต้นบนพื้นที่ 70,000 ตารางเมตร แต่จะมีให้ชมแค่เฉพาะในช่วงต้นเดือนพ.ค.-ต้นเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาล Kamiyubetsu Tulip Fair เท่านั้น

สวน Kamiyubetsu Tulip Park กับดอกทิวลิปมหาศาล วิวลมเย็นๆ แดดดีๆ ล้อมรอบอาคารสวยๆ
สวน Kamiyubetsu Tulip Park กับดอกทิวลิปมหาศาล วิวลมเย็นๆ แดดดีๆ ล้อมรอบอาคารสวยๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม สวน Kamiyubetsu Tulip Park

 

7. สวน Takinoue Park เมือง Monbetsu

นอกจากนี้สวนทิวลิปแล้ว ในเขตเมือง Monbetsu ยังมีทุ่งพิงค์มอส Takinoue Park ที่เมือง Takinoue ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองที่มีสวนทิวลิป ทั้งยังบานในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันด้วย หากมาเที่ยวก็สามารถรวบโปรแกรมให้ทั้งสองสวนนี้อยู่ในวันเดียวกันได้เลย

ที่ทุ่งพิงค์มอส Takinoue Park คุณจะได้พบกับดอกพิงค์มอส (Moss Phlox หรือ Shibazakura) ต้นเตี้ยๆ สีชมพูสดใสปกคลุมทั่วทั้งเนินจนทำให้เหมือนเดินบนพรมสีชมพู พิงค์มอสจะออกดอกในช่วงปลายเดือนพ.ค.-กลางเดือนมิ.ย.

ทุ่งพิงค์มอสต้นเรี่ยดินเป็นสีชมพูมากมาย มองแล้วเหมือนทั้งเนินเขาถูกปูด้วยพรมสีชมพูเลย!
ทุ่งพิงค์มอสต้นเรี่ยดินเป็นสีชมพูมากมาย มองแล้วเหมือนทั้งเนินเขาถูกปูด้วยพรมสีชมพูเลย!
ซูมกันให้ชัดๆ ให้รู้ว่าเป็นดอกไม้จริงๆ นะ ไม่ใช่พรม!
ซูมกันให้ชัดๆ ให้รู้ว่าเป็นดอกไม้จริงๆ นะ ไม่ใช่พรม!

ข้อมูลเพิ่มเติม ทุ่งพิงค์มอส Takinoue Park

8. สวน Hana Tento Flower Gardens เมือง Abashiri

ที่เมืองฟุระโนะมีทุ่งดอกไม้ 5 สีชื่อดัง ส่วนที่เมือง Abashiri ก็มี Hana Tento Flower Gardens ทุ่งดอกไม้หลากสี (เผลอๆ จะมากกว่า 5 สีด้วยซ้ำ!) อยู่ในสวนขนาดใหญ่ถึง 35,000 ตารางเมตรครอบคลุมพื้นที่ตลอดเนินเขาริมทะเลโอคอทสก์

ที่นี่ เพื่อนๆ จะสามารถขึ้นไปยังเนินเขาได้ มีหอคอยสูงสำหรับชมทิวทัศน์สวน เมือง Abashiri มองออกไปเห็นวิวทะเลชัดเจน ที่นี่ดอกไม้จะเริ่มบานในช่วงต้นเดือน สิงหาคม-กลางตุลาคม และเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว พื้นที่ทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นลานสกีแทน

สวนดอกไม้หลากสีสุดอลังการแผ่ปกคลุมทั้งเนินเขา Tento คนรักดอกไม้และสีสันสดใสไม่ควรพลาด
สวนดอกไม้หลากสีสุดอลังการแผ่ปกคลุมทั้งเนินเขา Tento คนรักดอกไม้และสีสันสดใสไม่ควรพลาด
ทุ่งดอกไม้สลับสีสุดอลังการ สวนงามไม่แพ้ที่ Furano
ทุ่งดอกไม้สลับสีสุดอลังการ สวนงามไม่แพ้ที่ Furano

 

9. สวน Tokachi Millenium Forest เมือง Obihiro

สวน Tokachi Millenium Forest จะมีลักษณะแตกต่างจากสวนอื่นๆ ที่ได้แนะนำมา เพราะจะไม่ใช่เพียงแค่สวนดอกไม้สวยงามเท่านั้น แต่บนพื้นที่ราว 2,500 ไร่กลางขุนเขาแห่งนี้ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายส่วนแตกต่างกัน ทั้งสวนป่าธรรมชาติ สวนดอกไม้ธรรมชาติจำลอง ฟาร์มพืชสวนทางการเกษตร ฟาร์มปศุสัตว์ ฟาร์มม้า ร้านอาหาร และแกลเลอรี่ด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่พักผ่อนสไตล์คนรักธรรมชาติที่รื่นรมย์ครบวงจรเลยจริงๆ

สวนป่าจำลองขนาดใหญ่ท่ามกลางขุนเขา มีพื้นที่กว้างขวาง ส่วนที่เห็นในภาพที่เห็นนี้คือลานสำหรับขับ Segway (อุปกรณ์เคลื่อนที่ 2 ล้อแบบยืน) สำหรับชมธรรมชาติ
สวนป่าจำลองขนาดใหญ่ท่ามกลางขุนเขา มีพื้นที่กว้างขวาง ส่วนที่เห็นในภาพที่เห็นนี้คือลานสำหรับขับ Segway (อุปกรณ์เคลื่อนที่ 2 ล้อแบบยืน) สำหรับชมธรรมชาติ
โซน Meadow ของที่นี่มีทางเดินชมสวนดอกไม้ที่ออกแบบโดยนักออกแบบสวนชื่อดังจากลอนดอนมีรางวัลการันตีความสวยงามจากการประกวดออกแบบสวนด้วย
โซน Meadow ของที่นี่มีทางเดินชมสวนดอกไม้ที่ออกแบบโดยนักออกแบบสวนชื่อดังจากลอนดอนมีรางวัลการันตีความสวยงามจากการประกวดออกแบบสวนด้วย

จะเห็นได้ว่าการเที่ยวฮอกไกโดนั้นมีสวนอยู่มากมายจุใจ แถมแต่ละที่ก็ล้วนมีเอกลักษณ์ที่ไม่น่าพลาดเลย ถ้าได้ลองไปสัมผัสคนที่ชอบธรรมชาติ – รักการทำสวน – เลิฟการพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศเย็นๆ เขียวชอุ่ม จะต้องเผลอใจหลงรักสวนสวยๆ ในฮอกไกโดอย่างแน่นอน

อ๊ะ ก่อนจะจบบทความไป ขอเตือนก่อนเล็กน้อยว่าฤดูกาลต่างๆ ในบทความนี้ เราจะอิงตามฤดูกาลของฮอกไกโดค่ะ ซึ่งจะไม่ตรงกับบ้านเรา แถมฤดูกาลยังเหลื่อมกับพื้นที่ส่วนอื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่นอยู่เล็กน้อยด้วย ก่อนจะไปเที่ยวควรศึกษาสภาพอากาศและฤดูกาลของเกาะฮอกไกโดให้ดีก่อนด้วยค่ะ ☆~(≧◡≦)ノ

หากยังงงๆ สับสนเกี่ยวกับฤดูกาล เราขอแนะนำอีกบทความเกี่ยวการแบ่งฤดูและการท่องเที่ยวฮอกไกโดในฤดูต่างๆ ค่ะ:

[icon wt] เที่ยวฮอกไกโด ฤดูไหนได้บ้าง? คลิก

ข้อมูลจาก : หนังสือ Hokkaido ฮอกไกโด เล่มเดียวเที่ยวได้ทั้งปี
ผู้เขียน : DPlus Guide Team

เที่ยวฮอกไกโด ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่อุทยานไดเซ็ตสึซัง ฝั่งภูเขาคุโรดาเกะ (Kurodake)

เที่ยวฮอกไกโด ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่อุทยานไดเซ็ตสึซัง ฝั่งภูเขาคุโรดาเกะ (Kurodake)
เที่ยวฮอกไกโด ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่อุทยานไดเซ็ตสึซัง ฝั่งภูเขาคุโรดาเกะ (Kurodake)

จากตอนที่แล้ว เราได้ไปเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีและชมปากปล่องภูเขาไฟบนยอดเขาที่สูงที่สุดในฮอกไกโดกันที่ “อุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง” ฝั่งภูเขาอาซาฮิดาเกะ” มาเรียบร้อยแล้ว ในบทความภาคต่อนี้จะพาไปเที่ยวยัง ฝั่งภูเขาคุโรดาเกะ (Kurodake) อีกด้านของอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในเกาะฮอกไกโด มีเสน่ห์ในแง่สถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายบนภูเขา ด้านล่างภูเขาก็มีหมู่บ้านออนเซ็นขึ้นชื่อท่ามกลางธรรมชาติ ชนิดที่ผู้มาเที่ยวฮอกไกโดไม่ควรพลาด

แช่ออนเซ็น-ชิมของอร่อย-ชมมหัศจรรย์ธรรมชาติที่คุโรดาเกะ

Kutodakeยอดเขาคุโรดาเกะที่จะต้องนั่งกระเช้าและ Chairlift ขึ้นไปถึงสองต่อ เพื่อพิชิตความสูง 1,984 เมตร

Sounkyoหมู่บ้านโซอุนเคียวตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาในเขตอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง จากหมู่บ้านเงยหน้าขึ้นไปก็เจอภูเขาตั้งอยู่ด้านหลังเลย

ฝั่งภูเขาคุโรดาเกะ (Kurodake) ฝั่งนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณรอบๆ ภูเขาหลากหลายกว่าฝั่งอาซาฮิดาเกะ นักท่องเที่ยวมักมาชมแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติใกล้ๆ ควบคู่กับการพักผ่อนหย่อนใจในหมู่บ้านโซอุนเคียวออนเซ็น (Sounkyo Onsen) ภายในหมู่บ้านเล็กๆ นี้มีที่พักให้เลือกใช้บริการครบ ไม่ว่าจะโรงแรม โฮสเทล หรือเรียวกัง (บ้านพักสไตล์ญี่ปุ่น) มีบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งท่ามกลางขุนเขา ร้านขนมหวานน่ารัก และร้านอาหารที่มีขายราเมงซอสถั่วเหลืองของขึ้นชื่อประจำถิ่นโซอุนเคียว นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดซุกซ่อนอยู่ ซึ่งก็คือมีขายไส้กรอกเนื้อกวางหอมอร่อยอีกด้วย!

Sounkyo-2ร้านราเมงบนเขา ขายราเมงขึ้นชื่อรสชาติอร่อยเด็ด และไม่ควรพลาดไส้กรอกเนื้อกวาง รสเค็มนิดๆ จิ้มกับมัสตาร์ดรสชาติเข้ากันพอดี

เส้นทางพิชิตยอดเขาคุโรดาเกะ

การขึ้นไปสู่ยอดเขาคุโรดาเกะ จะต้องขึ้นจากรถกระเช้าในหมู่บ้านโซอุนเคียวออนเซ็น โดยจะต้องขึ้นจากสถานีชั้นแรกไปยังสถานี Upper Station ซึ่งเป็นสถานีระหว่างทางในภูเขา จากนั้นก็นั่งเก้าอี้กระเช้า Chairlift ต่อไปยังบริเวณยอดเขาอีกที จากปลายทางสถานีบนสุดของ Chairlift จะเป็นเส้นทางพิชิตยอดเขาคุโรดาเกะที่แท้จริง ระหว่างทางจะพบกับดอกไม้ป่าชนิดต่างๆ หินภูเขาไฟ ใบไม้ที่เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองส้มในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และเมื่อขึ้นถึงยอดก็จะสามารถชมวิวบริเวณรอบหุบเขาได้ 360 องศา

เส้นทางพิชิตยอดเขาฝั่งคุโรดาเกะนี้จะค่อนข้างเดินยากกว่าฝั่งอาซาฮิดาเกะ มีบางจุดที่ต้องปีนป่าย มีทั้งบันไดไม้และบันไดหินที่อาจจะทำให้เดินยาก จึงควรเตรียมชุดที่ทะมัดทะแมงและรองเท้าที่เหมาะกับการเดินเขาอย่างสมบุกสมบันมาด้วย

sounkyo4การจะขึ้นไปบนยอดเขาคุโรดาเกะนั้นจะต้องนั่งกระเช้า “Kurodake Ropeway”
หน้าตาน่ารักอันนี้ขึ้นไปจนถึงชั้น 5 จากนั้นก็นั่ง Chairlift ไปต่อ

Kurodake-trail2Chairlift หน้าตาเป็นแบบนี้ ขึ้นได้จากชั้น 6 เพื่อไปยังชั้น 7 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของภูเขา
แล้วเดินต่อไปยังเส้นทางชมธรรมชาติเพื่อพิชิตยอดเขา

Kurodake4เส้นทางชมธรรมชาติบนยอดเขาคุโรดาเกะ มีป่าไม้ธรรมชาติหลากสีตัดกับพื้นหินภูเขาไฟสีเข้มในบรรยากาศเย็นๆ ร่มรื่น ให้ชมตลอดทาง

หลากที่เที่ยวรอบหมู่บ้านโซอุนเคียว

ช้าก่อน! มาขึ้นเขาคุโรดาเกะเสร็จแล้วยังอย่าเพิ่งรีบกลับ บริเวณรอบๆ ภูเขาคุโรดาเกะและหมู่บ้านโซอุนเคียว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย แต่ละที่ล้วนเป็นสถานที่ยอดนิยมที่หากพลาดไปคงน่าเสียดายแย่

น้ำตก Ryusei และน้ำตก Ginga น้ำตกสองสายที่ไหลจากบนภูเขาลงมาจากผาเป็นริ้วสวยงาม น้ำตกทั้งสองสายตั้งอยู่ห่างกันเพียง 300 เมตร สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย น้ำตก Ryusei ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “น้ำตกแห่งดาวตก” เพราะสายน้ำเส้นใหญ่ไหลลงมาจากซอกผา เวลาถูกแสงอาทิตย์จะแลดูคล้ายดาวตก สายน้ำของน้ำตก Ryusei  มีลักษณะไหลแรง ดูแข็งแรงจึงเทียบได้เป็นตัวแทนของเพศชาย เคียงคู่กับน้ำตก Ginga หรือ “น้ำตกแห่งแม่น้ำสีเงิน” ที่ในฤดูร้อนจะเห็นสายน้ำเป็นริ้วเล็กๆ ไขว้กันไปมา แลดูชดช้อย เป็นดั่งตัวแทนของผู้หญิง น้ำตกทั้งสองเส้นนี้ในฤดูหนาวจะเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง น่าชมไปอีกแบบ

น้ำตกทั้งสองนี้จะอยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้านโซอุนเคียว สามารถไปได้โดยแท็กซี่ จุดชมน้ำตกจะอยู่บนถนนที่เบี่ยงไปทางขวาบริเวณใกล้กับอุโมงค์ลอดภูเขา

Ginga-horzน้ำตก Ryusei (ซ้าย) และน้ำตก Ginga (ขวา) สายน้ำที่ไหลจากผาสูงลงมาให้เห็นเป็นริ้วสวยงามยามต้องประกายแดด

หินลาวา Obako เป็นก้อนหินลาวาขนาดยักษ์ที่เกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไป ลักษณะก้อนหินก้อนใหญ่มโหฬารเป็นเหลี่ยมเป็นซอก มีแม่น้ำ Ishikari ไหลผ่าน ก่อให้เกิดเป็นวิวตามธรรมชาติที่สวยงาม และกลายเป็นจุดชมวิวยอดนิยมแห่งหนึ่งของฝั่งคุโรดาเกะ

การเดินทางมาชมหิน Obako มาทางเดียวกับน้ำตก Ryusei และน้ำตก Ginga โดยขับรถเลยจากจุดชมน้ำตกมา ลอดใต้อุโมงค์ 2 อุโมงค์ พอพ้นอุโมงค์ที่ 2 จะมีป้ายบอกทาง (ภาษาญี่ปุ่น) ให้เลี้ยวซ้าย

Obakoหินลาวา Obako มองออกไปเห็นร่องชั้นตามธรรมชาติที่มีลักษณะเหมือน “แนวแตกเหลี่ยมเสา”

เส้นทางเดินชมธรรมชาติหุบเขา Momijidani เป็นเส้นทางยาว 700 เมตร อยู่ในหมู่บ้านโซอุนเคียว เส้นทางเริ่มต้นจากสะพานไม้ข้ามแม่น้ำบริเวณถนนเส้นหลักของหมู่บ้าน ในเส้นทางเดินชมธรรมชาติ Momijidani จะมีลานตั้งแคมป์ และทางเดินเลียบแม่น้ำเส้นยาวที่รายล้อมไปด้วยต้นต้นแปะก๊วยและต้นเมเปิ้ลนานาพันธุ์ ช่วงใบไม้ผลิใบไม้ใบไม้จะเป็นสีเขียวร่มรื่น พอเข้าสู่ช่วงใบไม้ร่วง ใบของต้นแปะก๊วยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และต้นเมเปิ้ลทั้งหลายจะเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มสลับกันสวยงาม กลายเป็นเส้นทางชมธรรมชาติสุดโรแมนติกท่ามกลางหุบเขา

โดยปกติเส้นทางนี้จะไปสุดที่น้ำตกโมมิจิ ที่สามารถชมผาหินที่มีลักษณะรอยแตกเหลี่ยมเสาเป็นร่องชั้นสวยงาม แต่ในบางฤดู เช่น ฤดูหนาว หรือช่วงที่มีฝนตกหนัก เส้นทางไปยังน้ำตกจะถูกปิดไม่ให้ใช้การ

momijidani1สะพานไม้ จุดเริ่มต้นเส้นทางเดินชมธรรมชาติ Momijidani

Momijidani2_อุทยานไดเซ็ตสึซัง (Daisetsuzan)

นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ภูเขาคุโรดาเกะและหมู่บ้านโซอุนเคียวยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น ทะเลสาบและเขื่อนไดเซ็ตสึซึ่งเป็นต้นทางของแม่น้ำ Ishikari ที่ไหลผ่านหมู่บ้านโซอุนเคียว, จุดชมวิวกิงเซนไดบนเชิงเขา Akadake ที่มีวิวเนินสโลปหลากสีในฤดูใบไม้ร่วง, Kamikawa Ice Pavilion พิพิธภัณฑ์หิมะและคริสตัลของเมือง Kamikawa (เขตเมืองที่หมู่บ้านโซอุนเคียวตั้งอยู่)

และหากมาท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว (ปลายเดือนม.ค.-มี.ค.) ก็จะพบกับ “เทศกาลหิมะและน้ำแข็งเมืองโซอุนเคียว” หรือ  Sounkyo Ice Fall Festival ที่ทั้งเมืองจะประดับไปด้วยประติมากรรมน้ำแข็งและหิมะรูปทรงต่างๆ ประดับไฟตระการตา รวมถึงสร้างถ้ำน้ำแข็งจำลอง แบ่งเป็นห้องๆ เหมือนถ้ำจริง มีหินงอกหินย้อยให้นักท่องเที่ยวสัมผัสและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และมีแม้แต่บาร์เครื่องดื่มในถ้ำน้ำแข็งด้วย

Hyoubaku-Festival2-copy“Sounkyo Hyoubaku Festival” หรือ เทศกาลหิมะและน้ำแข็งโซอุนเคียวเป็นเทศกาลใหญ่สุดอลังการบริเวณริมแม่น้ำ Ishikari มีจัดโชว์ ประดับไฟ พลุ ครบเครื่อง

Hyoubaku-Festivalถ้ำน้ำแข็งและประติมากรรมตระการตา

Daisetsuzan ฝั่ง Kurodake
[info-g]43.7242,142.947
[info-d]ภูเขาคุโรดาเกะและหมู่บ้านโซอุนเคียว สามารถเดินทางมาจากเมืองอื่นได้โดยรถบัสจากสถานี JR Asahikawa มาลงที่ Sounkyo หรือนั่งรถบัสจากป้ายข้างสถานี JR Kamikawa มาลงที่ Sounkyo (เช็คตารางรถบัสได้ที่ : www.dohokubus.com)
[info-w] www.sounkyo.net/english

บทความตอนที่แล้ว: ไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่อุทยานไดเซ็ตสึซัง ฝั่งอาซาฮิดาเกะ (Asahidake) (1)

เรื่องและภาพ: DPlus Guide Team | ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ Hokkaido ฮอกไกโด เล่มเดียวเที่ยวได้ทั้งปี

เที่ยวฮอกไกโด ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่อุทยานไดเซ็ตสึซัง ฝั่งอาซาฮิดาเกะ (Asahidake)

เที่ยวฮอกไกโด ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่อุทยานไดเซ็ตสึซัง ฝั่งอาซาฮิดาเกะ (Asahidake)
เที่ยวฮอกไกโด ชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่อุทยานไดเซ็ตสึซัง ฝั่งอาซาฮิดาเกะ (Asahidake)

เที่ยวฮอกไกโด อุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง เป็นอุทยานขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะฮอกไกโด และกินอาณาบริเวณหลายเมืองบนเกาะ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวฮอกไกโดนิยมมาชมความงามของผืนป่าในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงและเหลืองสลับกับสีเขียวสวยงาม อุทยานไดเซ็ตสึซังไปอย่างไร มีอะไรให้ชม ติดตามได้ในบทความนี้เลยค่ะ

 

สองเส้นทางชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่ไดเซ็ตสึซัง

เส้นทางการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง สามารถแบ่งออกเป็น 2 เส้นทางใหญ่ ขึ้นจากคนละฝั่งของเขา ได้แก่ ฝั่งภูเขา อาซาฮิดาเกะ (Asahidake) ซึ่งเริ่มต้นที่หมู่บ้านอาซาฮิดาเกะออนเซ็น และฝั่งภูเขาคุโรดาเกะ (Kurodake) ซึ่งเริ่มต้นที่หมู่บ้านโซอุนเคียว

 

เดินป่า-เที่ยวเขา-ชมบึงในอาซาฮิดาเกะ

ฝั่งภูเขาอาซาฮิดาเกะ (Asahidake) มียอดเขาที่สูงที่สุดของฮอกไกโดที่ความสูงถึง 2,291 เมตร การเดินทางสะดวกสบาย เหมาะกับกิจกรรมเดินป่า ด้านล่างภูเขามีหมู่บ้านอาซาฮิดาเกะออนเซ็น ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่เงียบสงบ เปิดให้บริการที่พักและออนเซ็นชั้นดี ในฤดูหนาวจะให้บริการสกีด้วย มีรถประจำทางวิ่งเข้าออกหมู่บ้านตลอดปี

การขึ้นไปสู่ยอดเขาอาซาฮิดาเกะจะต้องขึ้นกระเช้า Asahidake Ropeway ที่สถานีในหมู่บ้านอาซาฮิดาเกะออนเซ็น เมื่อไปถึงปลายทางที่สถานี Sugatami แล้วจะต้องเดินต่อไปอีกจึงจะถึงยอดเขา

จากสถานีบนเขา เมื่อขึ้นมาถึงแล้วจะมีสองเส้นทางให้เลือกสัมผัสธรรมชาติ ได้แก่

1. เส้นทางที่จะเดินผ่าน 2 บึงสวยอันได้แก่บึง Kagami ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ และข้างๆ คือบึง Suribachi ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า มีเส้นทางเดินตัดผ่านระหว่างทั้งสองบึง เป็นจุดชมวิวที่สวยงามทีเดียว

บึงเล็กคือบึง Suribachi และยึงบึง Kagami ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ทั้งสองบึงสวยใสสะท้อนแดดตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวให้ภาพที่งดงามจนอดแชะไม่ได้
บึงเล็กคือบึง Suribachi และยึงบึง Kagami ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ทั้งสองบึงสวยใสสะท้อนแดดตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวให้ภาพที่งดงามจนอดแชะไม่ได้

2. อีกเส้นทางจะเน้นชมวิวธรรมชาติและลำธาร ที่บริเวณใกล้ๆ จะสุดเส้นทางจะมีบ้านหินริมบึง Sugatami เป็นแลนด์มาร์กสำคัญประจำเส้นทางนี้

บ้านหินริมบึง Sugatami แลนด์มาร์กสำคัญประจำเส้นทางนี้ มาถึงแล้วอย่าลืมแวะไปดูนะ จากบึงนี้สามารถเดินอ้อมต่อไปยังยอดภูเขาด้านหลังปล่องภูเขาไฟได้ด้วย
บ้านหินริมบึง Sugatami แลนด์มาร์กสำคัญประจำเส้นทางนี้ มาถึงแล้วอย่าลืมแวะไปดูนะ จากบึงนี้สามารถเดินอ้อมต่อไปยังยอดภูเขาด้านหลังปล่องภูเขาไฟได้ด้วย

ทั้งสองเส้นทางจะบรรจบกันที่ปากปล่องภูเขาไฟอาซาฮิดาเกะที่มีควันกำมะถันพวยพุ่งตลอดเวลา (ปริมาณกำมะถันที่นี่ไม่มากจนทำให้เป็นอันตราย) นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินย้อนกลับทางเดิม หรือเดินต่อไปอีกเส้นทางเป็นวงกลมเพื่อกลับไปยังสถานีก็ได้

นอกจากนี้ หากการเดินทางชมธรรมชาติในป่าเขายังไม่จุใจ ยังมีเส้นทางขึ้นไปสู่ยอดเขาอาซาฮิดาเกะ ซึ่งจะเป็นเส้นทางอ้อมปากปล่องภูเขาไฟไปยังจุดสูงสุดของภูเขาที่สูงที่สุดในฮอกไกโด โดยอ้อมไปทางด้านขวาของบึงแล้วเดินต่อไปอีก 15 นาที เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ขึ้นสูงพอสมควรจึงต้องอาศัยความทรหดเล็กน้อย เมื่อขึ้นไปจนถึงแล้วจะได้เห็นวิวเทือกเขาไดเซ็ตสึซังที่สลับซับซ้อน มองลงมาเห็นใบไม้เปลี่ยนสีทั่วทั้งหุบเขาละลานตาไปหมด

abstract backdrops
ปากปล่องภูเขาไฟที่มีควันพวยพุ่งตลอดเวลา ด้านหลังที่เห็นคือส่วนหนึ่งของยอดเขา หากจะไปยังจุดสูงสุดสามารถขึ้นได้จากทางเดินริมบึง Sugatami
photography backdrops
ระหว่างทางจากสถานีกระเช้าไปจนถึงยอดเขา เป็นทางเดินสำรวจธรรมชาติที่กั้นเอาไว้เรียบร้อย สามารถเดินได้โดยปลอดภัย

ทั้งนี้ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการ ขึ้นเขาเดินป่า (trekking) จะอยู่ในช่วง ก.ค.-ต.ค. เนื่องจากเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีพอดี และไม่ว่าจะมาเที่ยวในช่วงฤดูใด ก็ขอแนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆ พร้อมหมวกและถุงมือมาด้วย เพราะทั้งยอดเขาที่นี่เป็นจุดที่อยู่สูงมาก ส่งผลให้อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี รองเท้าก็ขอแนะนำให้ใช้รองเท้าผ้าใบเพื่อความสมบุกสมบัน สำหรับผู้สูงอายุก็แนะนำให้มีไม้เท้าพยุงเพื่อช่วยผ่อนแรงด้วย

Daisetsuzan ฝั่ง Asahidake
[info-g]43.662284,142.82517
[info-d]การเดินทางมายังหมู่บ้านอาซาฮิดาเกะ สามารถมาได้โดยรถบัส จากสถานี JR Asahikawa (1,320 เยน), จากสนามบิน Asahikawa (920 เยน) ลงที่ Asahidake Onsen รถบัสจะวิ่งเพียงแค่ 3 เที่ยวใน 1 วันเท่านั้น
[info-w] http://www.wakasaresort.com/eng/index.html

ในตอนต่อไปจะพาไปชมอีกฝั่งของอุทยานไดเซ็ตสึซัง ซึ่งก็คือฝั่งภูเขาคุโรดาเกะ (Kurodake) ที่สวยงามไม่แพ้กัน ทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย อีกฝั่งของภูเขาจะสวยงามต่างกันมากน้อยเพียงไร

สามารถติดตามต่อตอนต่อไปได้ที่: ไปชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่อุทยานไดเซ็ตสึซัง (2)

เรื่อง: DPlus Guide Team

ที่สุด…ที่สุดเต็มไปหมด กับ “หมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส”

หากลองหาข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านในฝรั่งเศส หรือกำลังวางแผนการไปเที่ยวฝรั่งเศสให้ตัวเองอยู่ดีๆ ก็พบกับคำโฆษณาว่าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งหมู่บ้านนี้ หมู่บ้านนั้น หมู่บ้านโน้นล้วนเป็น “หมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส” กันเต็มไปหมด จนเล่นเอาสับสนว่าหมู่บ้านไหนที่สวยที่สุดกันแน่ ก็อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เพราะที่นี่เขามี “หมู่บ้านที่สวยที่สุด” ได้หลายแห่งด้วยกัน แถมยังมีหน่วยงานคัดเลือกกันอย่างเป็นทางการด้วย ซึ่งในปัจจุบันหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศสมีมากถึง 157 แห่งเลยทีเดียว

องค์กรที่ดูแลคัดเลือกหมู่บ้านที่สวยที่สุดเหล่านี้คือ “องค์กรหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส” (Les Plus Beaux Villages de France) เป็นหน่วยงานอิสระที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1982 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม อนุรักษ์ และร่วมสร้างชุมชนที่ยั่งยืน โดยรักษาไว้ซึ่งตัวตนและแบบฉบับดั้งเดิมของหมู่บ้านเล็กๆ แต่ละแห่งที่มีทัศนียภาพงดงาม สถาปัตยกรรมสำคัญ และทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม ซึ่งอาจยังไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรนัก

ทั้งนี้ก่อนจะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศสได้ ก็ต้องผ่านเกณฑ์คัดเลือกมาตรฐานเหล่านี้เสียก่อน ได้แก่ จำนวนประชากรในหมู่บ้านไม่เกิน 2,000 ครัวเรือน มีสถานที่สำคัญควรค่าแก่การอนุรักษ์ (ซึ่งอาจเป็นทัศนียภาพอันงดงามตามธรรมชาติ หรือสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าทางศิลปะ วัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์) อย่างน้อยสองแห่ง และประชากรในหมู่บ้านตกลงเห็นชอบผ่านมติของหมู่บ้านให้ลงสมัคร และส่งเสริมความร่วมมือภายในหมู่บ้านเพื่อการอนุรักษ์และทำนุบำรุงแบบยั่งยืน ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังต้องผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิของทางองค์กรอีกด้วย และเมื่อคว้าตำแหน่งมาครองแล้ว ทางองค์กรยังต้องหมั่นตรวจตราและควบคุมแผนการพัฒนาหมู่บ้านให้เป็นไปตามทางที่เหมาะสมตามเจตนารมณ์ต่อไป

ปัจจุบันมีหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศสถึง 157 หมู่บ้านกระจายอยู่ทั่วประเทศฝรั่งเศส เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาสัมผัสกับวัฒนธรรมและบรรยากาศแบบดั้งเดิม ตัวอย่างเช่น หมู่บ้าน Moustiers-Sainte-Marie ในเขตเมือง Alpes-de-Haute-Provence ที่ยังคงรูปแบบถนนและบ้านเรือนแบบเก่าที่สร้างจากหิน และโดดเด่นด้วยเครื่องปั้นลงลายชื่อดัง

 

2Moustiers-Sainte-Marie หมู่บ้านที่ยังคงเป็นถนนและบ้านเรือนหินจุดสีเหลืองที่ลอยอยู่ด้านบนคือดาวสีเหลืองทองปริศนาที่ถูกนำมาแขวนไว้โดดเด่นดึงดูดสายตานักท่องเที่ยว

หมู่บ้าน Les Baux-de-Provence ในเขตเมือง Bouches-du-Rhône กลางขุนเขา Alpilles ที่เต็มไปด้วยสีสันและความคึกคักของชาวเมืองผู้รักศิลปะ

หมู่บ้าน Gordes และ Roussillon ในเขตเมือง Vaucluse ที่แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในเขา แต่ทั้งสองหมู่บ้านก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างกันไป Gordes เต็มไปด้วยปราสาทและบ้านเรือนตั้งเรียงบนเขาลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นสวยงาม อีกทั้งยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นร่องรอยทางวัฒนธรรมสำคัญของประเทศ

3บรรยากาศบ้านเรือนและร้านค้าสวยๆ ในหมู่บ้าน Gordes หมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส แห่งเขตเมือง Vaucluse

ส่วน Roussillon เป็นหมู่บ้านสีสดจากแร่ Ochre ก่อให้เกิดเป็นบ้านเรือนสีเหลือง-ส้ม-แดงแปลกตาดึงดูดนักท่องเที่ยว

4บ้านในหมู่บ้าน Roussillon ทั้งหมู่บ้านมีแต่สีเหลืองสีส้มโทนเดียวกันหมด

นอกจากนี้องค์กรหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศสยังเปิดรับพิจารณาหมู่บ้านเพิ่มอีกเรื่อยๆ ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะพบเห็นแต่หมู่บ้านสวยๆ ในสภาพสมบูรณ์ทั่วประเทศฝรั่งเศสนี้

หากสนใจจะไปเยี่ยมชม “หมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส” หรืออยากลองเช็กดูว่าในตารางทริปฝรั่งเศสครั้งหน้าจะมีหมู่บ้านเหล่านี้อยู่บ้างไหม ก็สามารถเข้าไปดูรายชื่อ 157 หมู่บ้านที่สวยที่สุด ได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ http://www.les-plus-beaux-villages-de-france.org/en/the-most-beautiful-villages-of-france

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ Provence (โพรวองซ์) ยกก๊วนชวนเพื่อนเที่ยว ฝรั่งเศสตอนใต้ โดย มิสกะโปโล

รู้จักกับบัตรผ่านตลอด เพื่อการเดินทางและท่องเที่ยวสิงคโปร์แบบหายห่วง

ประเทศสิงคโปร์เป็นเมืองที่ทันสมัย จึงมีการคมนาคมที่ค่อนข้างสะดวกรวดเร็ว ไม่ว่าจะด้วยรถไฟฟ้า MRT รถเมล์ หรือแท็กซี่ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ เดินทางได้สะดวกแล้ว ยังมาพร้อมกับบัตรโปรโมชั่นต่างๆ ที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวรอบเกาะสิงคโปร์ด้วย บัตรเพื่อการเดินทางและท่องเที่ยวเหล่านี้ก็มีหน้าตาหลากหลายแบบด้วยกัน เรามารู้จักกับบัตรผ่านตลอดเหล่านี้กันดีกว่าค่ะ

 

2

บัตร EZ Link

บัตร EZ-Link (Easy Link) บัตรสารพัดประโยชน์ ที่สามารถใช้ขึ้นรถไฟฟ้า MRT, ขึ้นรถเมล์, แท็กซี่ แถมยังใช้ชำระค่าสินค้าในรูปแบบบัตรเงินสดตามร้านสะดวกซื้อหรือร้านค้าที่มีสัญลักษณ์รับบัตร เรียกว่าบัตรเดียวก็เที่ยวได้สบายใจไม่ต้องพกเงินสด สะดวก รวดเร็ว และที่ยิ่งกว่านั้นคือมีส่วนลดค่าสินค้าและบริการอยู่ตลอดเวลาเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรด้วย โดยสามารถซื้อได้ที่ Passenger Service ตามสถานีรถไฟฟ้า (MRT) ราคาขายจะอยู่ที่ S$12 เป็นค่าบัตร S$5 และมูลค่าที่ใช้ได้อีก S$7 แต่ถ้าซื้อที่ร้าน 7Eleven จะมีราคาขายที่ S$10 เป็นค่าบัตร S$5 และมูลค่าที่ใช้ได้อีก S$5 ค่ะ

 

3

บัตร Standard Ticket

ตั๋วใช้รถไฟฟ้าแต่จะเป็นตั๋วแบบเที่ยวเดียว สามารถกดซื้อได้เองที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ เหมือน MRT บ้านเรา ราคาของตั๋วจะขึ้นอยู่กับสถานีปลายทางที่เราเลือก บวกกับค่าประกันบัตรอีก S$1 ซึ่งสามารถนำไปแลกคืนได้ที่ตู้ขายตั๋วเช่นกัน หลังจากที่เราเดินออกจากสถานีปลายทาง ทั้งนี้การแลกเงินคืนจะมีกำหนดให้แลกคืนได้ภายใน 1 เดือนเท่านั้น หากเกินจาก 1 เดือนไปแล้ว จะไม่สามารถแลกคืนได้

 

4

The Singapore Tourist Pass

บัตรแบบเหมาจ่ายที่รองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะขึ้นรถไฟฟ้า MRT, LRT หรือรถเมล์แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง ประเภทของบัตรมีให้เลือกแบบ 1 วัน (S$10) 2 วัน (S$16) และ 3 วัน (S$20) โดยจะมีค่ามัดจำบัตรเพิ่มอีก S$10 (เช่น ในตอนซื้อ ถ้าเลือกแบบ 1 วัน ก็จะต้องจ่าย S$20) เงินมัดจำนี้จะได้คืนถ้าหากมีการคืนบัตรภายใน 5 วันหลังจากที่เราซื้อ (ซื้อปุ๊บจะถูกเปิดใช้งานทันที) หากไม่คืนบัตรภายใน 5 วัน ค่ามัดจำนั้นจะถูกยึด แต่มูลค่าที่เหลือในบัตรยังคงอยู่ และด้วยความที่บัตรนี้เป็นบัตรเครือเดียวกับ EZ-Link มันจึงสามารถแปลงร่างเป็น EZ-Link หลังจากที่บัตรหมดอายุไปแล้วได้ด้วย สามารถซื้อและคืนบัตรได้จาก Ticket Office ตามสถานีรถไฟฟ้า

 

Sing 5

 

iVenture Card

บัตรเหมาตะลุยเที่ยวให้ขาลากกันไปข้างนึง บัตรใบนี้รวมสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตชนิดเป็นหน้าเป็นตาของสิงคโปร์ไว้หมด เรียกว่าได้ทุกอารมณ์ ทั้งธรรมชาติ และกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นและแสนโรแมนติก ไม่ว่าจะเป็น Night Safari, Jurong Bird Park, Singapore River Cruise,? Singapore Zoo, National Orchid Garden, Forest Adventure, The Original Singapore Walks,? MINT Museum of Toys, Snow City, Underwater World & Dolphin Lagoon, Singapore Flyer, The Changi Museum และอื่นๆ อีกเพียบ ค่าเข้าชมแบบปกติของแต่ละอย่างก็สูงๆทั้งนั้น ถ้าจะมาเที่ยวล่ะก็ ถือบัตรนี้ไว้คุ้มแน่นอน!

 

เมื่อรู้จักกับบัตรเหล่านี้แล้ว ก็เตรียมพร้อมวางแผนการตะลุยช้อป ตะลุยเที่ยวไว้ในใจได้เลย รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน

เที่ยวเกาหลีฤดูไหนดี?

เที่ยวเกาหลี หน้าไหนก็เที่ยวได้ แต่ถ้าจะให้ดีต้องเช็กสภาพอากาศกันก่อน จะฤดูใบไม้ผลิ – ร้อน – ร่วง – หนาว อุณหภูมิแค่ไหน? แต่งตัวยังไง? สภาพอากาศเป็นอย่างไร? แล้วจะเตรียมเสื้อผ้าการแต่งกายในแต่ละฤดูอย่างไรดี? เรามาดูกันดีกว่า!

ประเทศเกาหลีมีช่วงฤดูกาลที่แตกต่างจากประเทศไทย โดยมีถึง 4 ฤดูด้วยกัน ซึ่งบรรยากาศในแต่ละฤดูก็จะแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน ถ้าถามว่าไปฤดูไหนสวยที่สุดก็คงตอบฟันธงให้ไม่ได้ เพราะแต่ละฤดูจะให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากไปเห็นเกาหลีในช่วงไหนและต้องการบรรยากาศแบบใด แต่บอกได้อย่างเดียวว่าจะไปช่วงไหนก็ฟินได้ทู้กกกกกฤดูจ้า

ในภาพคือ Mt. Seonunsan ในช่วง “ใบไม้เปลี่ยนสี” ซึ่งจะเห็นภาพแบบนี้ได้เฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น
ในภาพคือ Mt. Seonunsan ในช่วง “ใบไม้เปลี่ยนสี” ซึ่งจะเห็นภาพแบบนี้ได้เฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น

ฤดูหนาว Winter

เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ? -5°C ถึง -20°C

อากาศจะแห้งและหนาวจัด บางครั้งมีฝนหรือหิมะตกด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าฤดูนี้เป็นฤดูที่โรแมนติกที่สุดของชาวเกาหลีเขาเลย ซึ่งถ้าจะไปเที่ยวหน้านี้ต้องเตรียมเครื่องกันหนาวที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เช่น ชุดลองจอห์น? เสื้อกันหนาว เสื้อโค้ท ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ ที่ปิดหู รองเท้า เรียกว่าต้องจัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้านั่นแหละ (ถึงแม้อาจจะเบียดเบียนพื้นที่ในกระเป๋าไปเกินครึ่งก็เถอะ! แต่ถ้าใครยังมีไม่ครบหรือไม่พอ แนะนำให้ไปซื้อที่เกาหลีจะได้ราคาถูกมากเลย หิ้วไปเยอะก็หนักนะ ไปซื้อเอาใหม่เลิศกว่า)

สถานที่เที่ยวเด็ดๆ ในฤดูนี้ ได้แก่ ลานไอซ์สเกต (ลานของเกาหลีจะเป็นแบบ outdoor กันเลย และมีอุปกรณ์ให้เช่าในราคาถูก) แหล่งเล่นหิมะ สกีรีสอร์ต รวมทั้งเทศกาลน้ำแข็ง และตกปลาเทร้าท์ภูเขาของเมืองฮวาซอง เทศกาลจับปลาน้ำแข็งที่อินเจ เป็นต้น

ว่าแล้วก็เป็นฤดูที่บ้านเราไม่มีนี่เนอะ …ไปลองสัมผัสหิมะดูสักทีก็โอเคนะ!

ช่วงหน้าหนาวของเกาหลีเขาหนาวจริง! มีกิจกรรมเกี่ยวกับหิมะให้เล่นมากมายเลยล่ะ!
ช่วงหน้าหนาวของเกาหลีเขาหนาวจริง! มีกิจกรรมเกี่ยวกับหิมะให้เล่นมากมายเลยล่ะ!
การเดินชมวิวหิมะตามธรรมชาติที่ Mt. Deogyusan ก็เป็นอีกกิจกรรมยอดนิยมในฤดูหนาวของเกาหลี
การเดินชมวิวหิมะตามธรรมชาติที่ Mt. Deogyusan ก็เป็นอีกกิจกรรมยอดนิยมในฤดูหนาวของเกาหลี

4

ฤดูใบไม้ผลิ Spring

เดือนมีนาคม – พฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 6°C ถึง 16°C

ช่วงนี้ดอกไม้จะเยอะ ต้นไม้จะผลิใบสะพรั่งเต็มต้น แดดสดใสตลอดทั้งวัน ช่วงเวลากลางวันก็จะยาวนานขึ้นด้วย ชาวเกาหลีจะถือว่าฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้น สถานที่ต่างๆจะเต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้หลากหลายพันธุ์ เกาหลีจัดเต็มในช่วงนี้ด้วยเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ

ไฮไลต์ของฤดูนี้ต้องยกให้ “เทศกาลชมดอกซากุระเกาหลี (Cherry Blossom)” นั่นเอง ซึ่งไม่ใช่แค่ชาวเกาหลีเท่านั้นที่ตั้งตารอ แต่นักท่องเที่ยวหลายคนก็อยากไปสัมผัสปรากฎการณ์สีชมพูของดอกซากุระเช่นกัน เทศกาลนี้จะเริ่มในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายน (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย ซึ่งต้องคอยเช็กใกล้ๆ วันเดินทางอีกทีว่าจะบานช่วงไหน) ซึ่งส่วนใหญ่ทางใต้ของประเทศจะบานก่อน และจะอยู่ให้ชื่นชมไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็จะร่วงหมด นอกจากนี้เราจะเริ่มเห็นดอกทิวลิปกันในฤดูกาลนี้เช่นกัน เริ่มมีให้เห็นได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นพฤษภาคมกันเลย

การแต่งกายไปเที่ยวช่วงนี้ ควรสวมเสื้อผ้าสบายๆ แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่มีแจ็คเก็ตทับก็ได้แล้ว เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะกับการไปเดินทอดน่อง แต่สิ่งที่ควรระวังคือ ช่วงเย็นอุณหภูมิจะลดลงเร็วมาก ดังนั้นหากมีแผนจะเดินเที่ยวจนเย็น ก็อาจพกผ้าพันคอเบาๆ ติดตัวไปด้วยก็ได้ ส่วนเทศกาลอื่นในช่วงนี้ก็เช่น เทศกาลทะเลแหวกที่ชินโด เทศกาลโคมไฟดอกบัว ฯลฯ แต่ถ้าใครชอบธรรมชาติแนะนำให้ขึ้นเขาเลย สวยน่าดูชมเพราะจะเต็มไปด้วยพรมดอกไม้

ฤดูแห่งการเริ่มต้นที่เริ่มต้นด้วยสีชมพูของดอกซากุระเกาหลี
ฤดูแห่งการเริ่มต้นที่เริ่มต้นด้วยสีชมพูของดอกซากุระเกาหลี
ฤดูนี้มีเทศกาล Jindo Sea Crossing Festival ที่คนจะ “เดิน” แหวกทะเลกันด้วยค่ะ
ฤดูใบไม้ผลินี้มีเทศกาล Jindo Sea Crossing Festival ที่คนจะ “เดิน” แหวกทะเลกันด้วยค่ะ

7

ฤดูร้อน Summer

เดือนมิถุนายน – สิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 22°C และอาจถึง 38°C ในช่วงที่ร้อนจัด

เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดในเกาหลี (ไม่ต่างกับบ้านเรา) และอาจมีฝนตกบ้าง ฤดูนี้ต้นไม้จะเขียวชอุ่มมองไปทางไหนก็จะเห็นสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ซึ่งถ้าอยากได้ตั๋วเครื่องบินหรือแพ็คเกจทัวร์ราคาถูกก็ช่วงนี้แหละ ให้รีบคว้าเลย

ในช่วงฤดูนี้จะมีเทศกาลฮิตๆ ประจำปีได้แก่ เทศกาลหมักโคลนโพเรียง เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติพูชน เทศกาลชมหิ่งห้อยมูจู เป็นต้น

ส่วนการแต่งตัวในช่วงนี้ก็จะไม่ต่างกับบ้านเรา แต่งเบาๆ เน้นใส่สบาย ระบายอากาศดี อาจเป็นกางเกงขาสั้น กับเสื้อแขนกุดสีสันจี๊ดๆ บวกแว่นตากันแดด กับหมวกเก๋ๆ ก็ได้ หรือหากกลัวผิวเสียก็ลองหาเสื้อคลุมบางๆ มาใส่ไว้ (ขอบอกว่าแดดที่นั่นทำให้ตัวดำขึ้นมาเป็นกอง) ที่สำคัญควรพกร่มไปด้วย เพราะโอกาสเจอฝนสูง

ฤดูร้อนของเกาหลีจะเขียวชอุ่มเพราะมีฝนตกมาก
ฤดูร้อนของเกาหลีจะเขียวชอุ่มเพราะมีฝนตกมาก
ถึงหน้านี้ เกาหลีก็มีเทศกาลเล่นโคลนกันให้หายร้อน!
ถึงหน้านี้ เกาหลีก็มีเทศกาลเล่นโคลนกันให้หายร้อน!

10

ฤดูใบไม้ร่วง – ใบไม้เปลี่ยนสี Autumn

เดือนกันยายน – พฤศจิกายน อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 5°C ถึง 25°C

อากาศสดชื่นเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส เป็นช่วงที่ถือได้ว่าสวยงามที่สุดของเกาหลีและเหมาะกับการท่องเที่ยวมากที่สุด นักท่องเที่ยวที่มาในช่วงนี้จะได้เห็นปรากฏการณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ใบเมเปิ้ลจะเปลี่ยนเป็นสีส้มและสีแดง ส่วนใบแปะก๊วยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่าม ซึ่งจะมีให้เห็นกันเต็มตาประมาณกลางเดือนตุลาคม-กลางพฤศจิกายน ช่วงเวลาดังกล่าวสถานที่ต่างๆ จะคึกคักเป็นพิเศษ โดยสถานที่ที่ถือเป็นแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดก็คือ “อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน” และ “เกาะนามิ”

ส่วนการแต่งกายแนะนำให้ใช้ ชุดลองจอห์น เสื้อกันหนาวที่ไม่หนามาก กางเกงขายาว เลกกิ้ง รองเท้าหุ้มส้น อาจมีผ้าพันคอกันลมด้วยก็ดี เพราะที่เกาหลีลมจะค่อนข้างแรง

สำหรับเทศกาลน่าสนใจในช่วงฤดูนี้ก็จะเป็น เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติพูซาน เทศกาลโคมจินจู นัมกัง เทศกาลระบำหน้ากากอันดง เป็นต้น

ฤดูใบไม้ร่วง นอกจากอากาศดีแล้วเรายังจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนเป็นสีส้มๆ แดงๆ สวยงามมากๆ!
ฤดูใบไม้ร่วง นอกจากอากาศดีแล้วเรายังจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนเป็นสีส้มๆ แดงๆ สวยงามมากๆ!
ระบำหน้ากาก เทศกาลประจำฤดูใบไม้ร่วงของเกาหลีเขาล่ะ
ระบำหน้ากาก เทศกาลประจำฤดูใบไม้ร่วงของเกาหลีเขาล่ะ

13

เอาล่ะ ว่ามาครบทุกฤดูแล้ว ชอบฤดูไหนก็เตรียมวันหยุดรอไว้เลย หรือจะค่อยๆ ไปทีละฤดูก็ไม่ว่ากัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ “เกาหลี ตะลอนเที่ยว เล่มเดียวเอาอยู่” | ภาพประกอบจาก : www.visitkorea.or.kr

5 สุดยอดร้านอาหาร ณ ฮ่องกง ที่คุณไม่ควรพลาด

ถ้าพูดถึงเที่ยวฮ่องกง ร้อยทั้งร้อยต้องบอกว่ามีดีที่ “อาหารอร่อย” แต่เอาเข้าจริงที่นี่ก็คล้ายๆ กับบ้านเรา คือ หากเดินไปในเมืองจะพบว่าร้านที่เจอตามทางก็ไม่ได้อร่อยไปเสียทุกร้าน ถึงแม้บางร้านดังๆ ได้รับการแนะนำแบบปากต่อปากมา บางทีก็ไม่ได้อร่อยอย่างที่คิดไว้ก็มี บางคนอาจปลอบใจตัวเองว่า “คงจะอร่อยสำหรับเขาแต่ไม่อร่อยสำหรับเรารึเปล่า” ขอบอกเลยครับ ว่าถ้ามันจะอร่อย ก็ต้องอร่อยสำหรับทุกคนสิคร้าบ!

ดังนั้นจึงรวบรวม 5 ร้านอาหาร ที่ยืนยันได้ว่า “อร่อยถูกปากที่สุดในฮ่องกง” มาให้คุณได้ลิ้มลองกัน

1. ห่านย่าง Yung Kee ภัตตาคารหย่งกี

31“ภัตตาคารหย่งกี” เคยถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 15 สุดยอดภัตตาคารโลกในปี 1968

ห่านย่างรสนุ่มลิ้น ทีเด็ดของร้านนี้ล่ะ

อันนี้เป็นเมนูก้ามปูในไข่ตุ๋นเนื้อเนียน หอม นุ่ม อร่อย

ถ้าเราเดินไปตามถนนต่างๆในฮ่องกงเราจะเจอร้านขาย เป็ด ห่าน ไก่ หมูแดง เต็มไปหมด แต่การจะหาร้านที่ขายห่านย่างอร่อยๆ นี่ถือว่าหายาก เพราะฉะนั้น เราขอแนะนำ “ภัตตาคารหย่งกี” (เคยถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 15 สุดยอดภัตตาคารโลกในปี 1968) เป็นหนึ่งในร้านที่ทำห่านย่างได้อร่อยที่สุดในฮ่องกง ด้วยเนื้อห่านที่นิ่มลิ้น กัดทีชุ่มฉ่ำไปทั้งปาก หนังกรอบนอก ชั้นไขมันไม่เลี่ยนไม่เละ ร้านนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ห่านย่างที่อร่อย เขายังมีพวกโจ๊ก ติ่มซำ ให้เลือกสั่งทานอีกด้วยนะ

9นอกจากห่านย่างแล้วเมนูอื่นๆ ของร้านหย่งกีก็น่าทานไม่แพ้กัน

[info-d””] จากสถานี Central ทางออก D2 เลี้ยวขวาเดินตรงไปจนถึงแยก จากนั้นเลี้ยวซ้ายแล้วข้ามแยกเข้าถนน D’Aguilar (ซอยที่มีร้าน Coach ใหญ่) ให้เดินผ่านไปอีก 1 บล็อกแล้วเดินเข้าถนน Wellington ไปอีกประมาณ 40 เมตร ร้านจะอยู่ซ้ายมือ

2. ปู Under Bridge Spicy Crab อันเดอร์ บริดจ์ สไปซี แครบ

12ร้าน Under Bridge Spicy Crab แห่งย่าน ย่าน Causeway Bay กับเมนูปูมากมาย

3“ปูผัดพริกกับเต้าซี่” ปูตัวโตๆ ทอดกับกระเทียมที่ให้มาแบบไม่อั้น อร่อยจุใจไปเลย!

51เมนูหอยลายผัด หน้าตาคล้ายๆ บ้านเรา แต่เป็นตำรับฮ่องกงล่ะ

ย่าน Causeway Bay เป็นย่านที่มีร้านซีฟู้ดเยอะมาก แต่ที่อยากแนะนำคือ ร้าน “อันเดอร์ บริดจ์ สไปซี แครบ” สังเกตได้จากผู้คนที่ยืนรอคิวโต๊ะที่หน้าร้าน เมนูดังคงจะหนีไม่พ้นปูยักษ์ ที่สามารถนำไปนึ่ง ผัดพริก ผัดต้นหอมกับขิง ฯลฯ มากมาย แต่เมนูขึ้นชื่อที่ไม่ลองไม่ได้ เห็นจะเป็น “Chilli and Black Bean Sauce” หรือ “ปูผัดพริกกับเต้าซี่” มาพร้อมภูเขากระเทียมทอด (จะเยอะไปไหน!) กับปูไซส์ยักษ์ รสชาติฟินมาก ราคาก็ตามน้ำหนักปู ตัวเล็กสุดประมาณ 1 กก. ราคาก็เอิ่ม………กินก่อนแล้วค่อยว่ากันเนอะ (แหะๆ)

41เนื้อปูเน้นๆ! ก้ามแน่นๆ! รับรองฟินแน่นอน แค่เห็นภาพกลิ่นปูหอมๆ ก็ลอยมาแล้วใช่ไหมล่ะ!

[info-d “”] จากสถานี Causeway Bay ทางออก C ข้าม4แยกไปบนถนน Lockhart ตรงไปอีกประมาณ 150 เมตร จะเจอสะพานข้ามแยก เลี้ยวขวาเดินขนานกับถนนยกระดับไปอีก 1 บล็อก จากนั้นข้ามถนนไปอีกฝั่งร้านจะอยู่หัวมุมถนน Jaffe พอดี

3. ผัดซีอิ๊วเนื้อ Ho Hung Kee โฮ ฮุง กี

1ร้านผัดซีอิ๊วเนื้อโฮ ฮุง กี สวยเรียบหรูด้วยการประดับไฟสว่างและโทนสีขาวสะอาดตา

เมนูผัดซีอิ๊วเนื้อ มีเนื้อมาเป็นชิ้นๆ เต็มๆ คำ

มาฮ่องกงมาให้กินผัดซีอิ๊ว ฟังๆ ดูอาจจะตลก แต่ผัดซีอิ๊วเนื้อของที่นี่เขาถูกยกย่องว่าผัดได้อร่อยที่สุดในฮ่องกง จนได้รางวัล Michelin One-Star Restaurant (ร้านอาหารที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง) ต้องบอกก่อนว่ารสชาติผัดซีอิ๊วที่นี่ไม่ได้เหมือนบ้านเรา จะออกจืดๆ แต่กลมกล่อมกว่านะครับ

7ผัดซีอิ๊วเนื้อที่นี่รสชาติจะต่างจากที่ไทย เป็นของดีที่ไม่ลองไม่ได้จริงๆ!

[info-d””] สถานี Causeway Bay ทางออก F แล้วเดินลงทางลาดมาเล็กน้อย ให้สังเกตตึก Hysan Place จะมีบันไดเลื่อน ขึ้นไปชั้น 2 จากนั้นต่อลิฟท์ไปชั้น 12

4. ภัตตาคารจัมโบ้ Jumbo Kingdom

11ภัตตาคารบนเรือขนาดยักษ์! ประดับไฟอลังการงานสร้างอย่างกับในการ์ตูน!

71เมนูผัดแบบฉบับฮ่องกงแท้ๆ แบบเกรด A เห็นแล้วหิวเลยใช่ไหมล่ะ!

แค่แรกเห็นก็ทำเอาตื่นเต้นตื่นตากับภัตตาคารลอยน้ำสุดอลังการ แต่น้อยคนนักที่จะเข้าไปลิ้มลองความอร่อย เพราะคิดว่าน่าจะแพง ซึ่ง…จริงๆแล้วก็แพงเลยละ แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพ ความอร่อย อาจจะคุ้มค่าจนทำให้ลืมคำว่าแพงไปเลย

เรือลำนี้เสมือนห้องครัวของฮ่องกงที่คอยต้อนรับบรรดาแขกบ้านแขกเมืองที่โด่งดัง อาทิ ควีนเอลิซาเบธที่2, จอห์น เวย์น, มาริลิน มอนโร ถ้าใครคิดจะแวะมาถ่ายรูปแล้วก็กลับผมแนะนำว่าอย่าเสียเวลามาเลย แต่ถ้าจะมาทานอาหาร บอกได้เลยว่าไม่มีคำว่าเสียใจ

8แม้แต่การจัดจานก็เรียงไว้อย่างสวยงาม สมกับที่เคยต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองมากมาย ผักเขียวๆ บนจานก็สด รสถึงใจจริงๆ!

[info-d””] จาก Bus station ใต้ตึก Exchange Tower สาย 70 และสายอื่นๆที่ผ่าน 4B, 4C, 5, 27, 35M, 38, 39C, 39S, 52, 59, 59A, 59B, 63, 69, 69X ลงที่ป้ายรถเมล์ Aberdeen Promenade จากนั้นเดินไปอีกเล็กน้อยจะเจอทางลอดใต้ดิน เพื่อไปยังฝั่งท่าเรือ จากนั้นเดินเลียบท่าเรือไปเรื่อยๆ ผ่านสนามเด็กเล่นไปเล็กน้อยจะเป็นท่าเรือของ Jumbo Kingdom Restaurant

5.ติ่มซำ Lin Heung Tea House หลินเฮียง

12ร้านติ่มซำ หลินเฮียง เปิดบริการมากว่า 70 ปี รับประกันความอร่อยด้วยผู้คนแน่นร้าน!

6มาแล้วต้องไม่ลืมคว้าซาลาเปาไส้ไก่ เมนูเด็ดของที่นี่

5จะขนมจีบหรือติ่มซำ ก็มีให้เลือกทานร้อนๆ หยิบเลย! จากบนรถเข็นส่งตรงจากครัว

ร้านติ่มซำ ที่อร่อยที่สุดในฮ่องกง เปิดมาแล้วกว่า 70 ปี ร้านนี้ต้องหาที่นั่งเอง ไม่มีพนักงานหาที่นั่งให้ ไม่มีเมนู เพราะต้องไปหยิบที่รถเข็นที่อาม่าเอาเอง แต่ละรอบก็ต้องลุ้นทีเพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ารอบนี้จะมีเมนูอะไร

นี่แหละเสน่ห์ของร้านนี้ ติ่มซำมีให้เลือกทานหลากหลายมาก แต่ที่เด็ดสุด”ซาลาเปาไส้ไก่” ทำออกมาเพียงวันละ 100 ลูกเท่านั้น

42รถเข็นติ่มซำของอาม่าหน้าตาเป็นแบบนี้ มาส่งร้อนๆ ตั้งกลางร้านเลยครับผม

[info-d””] สถานี Central จากบันไดเลื่อน Mid Level ให้ลงที่ถนน Wellington จะเป็นถนนวันเวย์ ให้เดินไปตามทางที่รถวิ่ง อีกประมาณ 160 เมตร ร้านจะอยู่ซ้ายมือ ใกล้กับ 7-11

ทีนี้ก็มาร์กเอาไว้ในแผนที่ได้เลย ว่ามาฮ่องกงแล้วต้องไม่พลาดห้าร้านนี้ด้วยประการทั้งปวง รับรองว่า 5 ร้านที่คัดมานี้รสชาติถูกปากคนไทย (และชาวโลก) แน่นอน!

8 ข้อต้องรู้ ก่อนไปลุยสิงคโปร์

MerlionMerlion

ประเทศสิงคโปร์ เมืองเศรษฐกิจที่คึกคักไปด้วยตึกสูงระฟ้า และประชากรที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม อีกทั้งยังติดอันดับเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของเอเชีย การท่องเที่ยวสิงคโปร์จึงเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ที่สามารถไปเที่ยวสิงคโปร์ได้ง่าย เพียงนั่งเครื่องบินจากไทยเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ไปถึง ในค่าใช้จ่ายที่ควบคุมได้และไม่ทำร้ายกระเป๋านัก

Dplus Giude Team ก็มี “8 ข้อที่ต้องรู้” ก่อนจะไปเที่ยวสิงคโปร์ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่ามาฝากค่ะ

thai-passport

1. พาสปอร์ต

สำหรับการเข้าประเทศสิงคโปร์นั้นคนไทยอย่างเราไม่ต้องขอวีซ่าค่ะ เพราะประเทศไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มอาเซียนที่มีสนธิสัญญาทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคี อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในประเทศอาเซียนเดินทางติดต่อหากันได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นมีแค่พาสปอร์ตก็สามารถเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ได้สบายๆ แต่ต้องอยู่ไม่เกิน 30 วัน (นับจากวันที่เดินทางจริง) และมีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน หากต้องการอยู่นานกว่าที่กำหนดสามารถติดต่อขอทำวีซ่าได้ที่ สถานเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ ประจำประเทศไทย หรือสอบถามได้ที่ 02-286-2111 หรือ 02-286-1434

 

2.เวลา

เวลาที่ประเทศสิงคโปร์เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง (UTC +08:00 อยู่ใน Time Zone เดียวกับ Brunei Malaysia และ Philippines) เมื่อถึงสนามบินชางฮีแล้วก็อย่าลืมปรับนาฬิกาด้วยนะ

 

3. อากาศ

ภูมิอากาศของสิงคโปร์เป็นแบบร้อนชื้นและฝนตกตลอดปี อุณหภูมิโดยเฉลี่ยเท่ากับ 23-33 องศาเซลเซียส

MG_7308-300x269

4. ไฟฟ้า

ระบบไฟฟ้าที่สิงคโปร์เหมือนกับไทยคือ 220-240 โวลต์ แต่ว่าเต้าเสียบปลั๊กไฟของสิงคโปร์จะมีลักษณะเป็น 3 ขาแบบเหลี่ยมดังนั้นต้องเตรียม หัวปลั๊ก หรืออะแดปเตอร์ซึ่งเป็นแบบหัวใหญ่ (Travel Universal Adaptor) ที่มีขายอยู่ตามร้านอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปค่ะ

 

5. ภาษาที่ใช้

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีหลากหลายวัฒนธรรมและชนชาติ ดังนั้นภาษาทางการที่ใช้จึงมีทั้ง จีน มาเลย์ อินเดีย และอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่คนที่นั้นก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ กับเราได้อย่างสบาย

 

signpush
การข้ามถนนของสิงคโปร์ ต้องไม่ลืม
กดสัญญาณไฟนะคะ ถ้าไม่กดล่ะก็ต้องรอกันยาวแน่

6. การข้ามถนน

การข้ามถนนที่สิงคโปร์บางเส้นทางที่มีรถเคลื่อนตัวอยู่ตลอดจะมีสัญญาณปุ่มกดเพื่อเรียกไฟเขียวให้ข้ามถนนได้ หากไม่กดอาจต้องยืนคอยจนขาแข็งนะคะ

 

7. เดินชิดซ้าย

ไม่ว่าจะเดินขึ้นหรือลงบันไดและบันไดเลื่อนจะต้องชิดซ้ายเท่านั้น ใครรีบก็สามารถแซงทางขวาได้ ต่างจากเมืองไทยที่ขึ้นขวาลงขวา เวลาใช้บันไดเลื่อนต้องระวังด้วยนะคะไม่งั้นอาจจะถูกชน หรือถูกบ่นได้

 

8. การให้ทิป

ถึงแม้ว่าคนไทยจะคุ้นเคยกับธรรมเนียมการให้ทิปแก่บริกร พนักงานโรงแรมก็ดี หรือพนักงานขายสินค้าก็ดี แต่อย่าเผลอไปใช้กับคนสิงคโปร์ล่ะ เพราะที่นี่เขาไม่รับทิปและถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งที่ไม่ควรกระทำ ทั้งนี้เนื่องจากราคาสินค้า อาหารและบริการ ส่วนหนึ่งได้รวมค่าภาษีหรือ GST 7% และค่าบริการอีก 10% ในบิลของลูกค้าไว้แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ “สองขาพาตะลุยสิงคโปร์” โดย ภวรัญชน์รัตน์ ภู่วิจิตร์

แนะนำ 10 สถานที่ แช่ออนเซนในญี่ปุ่น

แนะนำ 10 สถานที่ แช่ออนเซนในญี่ปุ่น

เที่ยวญี่ปุ่น ขอแนะนำ 10 สถานที่แช่ออนเซน (Onsen) ในญี่ปุ่น แร่ธาตุที่อยู่ในน้ำพุร้อนจะช่วยบำบัด ผ่อนคลาย รักษาอาการต่างๆ หรือแม้กระทั่งบำรุงผิวพรรณ