Home Blog

จุดชมวิวเป้าสือซาน – 報時山觀景台

ไต้หวันนั้นมีจุดชมวิวบนภูเขาหลายแห่งมาก หลายคนอาจจะเคยเห็นภาพทางเดินไม้ที่ไต่ขึ้นไปตามสันเขาที่เขียวชอุ่มกันอยู่บ้าง ซึ่งอาจจะมาจากเส้นทางได้หลายเส้นค่ะ “เป้าสือซาน” นั้น เป็นเส้นทางหนึ่งที่น่าจะสั้นที่สุดในบรรดาเส้นทางเขาที่เคยได้รู้จักมาเลย เพราะจากต้นทางไปจนถึงจุดชมวิว มีบันไดประมาณ 150 ขั้นเท่านั้นเอง เหมาะสำหรับคนแรงน้อยแต่อยากได้วิวอลังการพิชิตเขาสูงนะคะ แล้ววิวนี่ไม่ใช่ย่อยๆน้า อยากเห็นภูเขาหรือทะเล หมุนเลยค่ะหมุน มีให้ครบ โดยเฉพาะวิวทะเล คือสวยมากเลย มองลงไปเห็นจุดที่เป็นทะเลสองสีด้วยนะคะ 

ถ้ามาจากพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ทองคำ พอข้ามสะพานข้างๆ ตึก Gold Building มาแล้ว ก็เดินไปตามทางหลักที่มีรั้วไม้ค่ะ ไปได้ครึ่งทางจะไม่มีรั้วแล้ว แต่ก็คือไม่ได้หักเลี้ยวไปไหน โค้งๆไปตามเส้นทางหลัก จนมาทะลุลานจอดรถของวัดช่วนจีถัง (勸濟堂) ค่ะ ระยะทางรวมประมาณ 800 เมตรนะคะ ถึงลานจอดรถ มองไปข้างหน้าจะเห็นภูเขาลูกเล็กๆ เดินลัดสนามไปเลย ถึงทางขึ้นแล้วจ้า 

เวลาที่ใช้ : 30 นาที 

 

การเดินทาง : 

  1. เดินเท้าจาก พิพิธภัณฑ์ทองคำ 
  2. BUS 1062 ลงที่สุดสาย ป้ายช่วนจี้ถัง 勸濟堂- Quan Ji Temple แล้วเดินขึ้นเนินถนนไปที่ลานจอดรถ 200 เมตร 

หมู่บ้านแมวโหวถง – 猴硐貓村

Houtong Cat Village  

“โหวถง” ในอดีตนั้นเป็นบริเวณที่มีการทำเหมืองถ่านหิน ซึ่งตอนหลังถูกทิ้งร้างไป จากการเลิกเหมือง ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 2004 ทางรัฐบาลมีโครงการเข้ามาปรับปรุงพื้นที่ ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ โดยมีทั้งการปรับปรุงและสร้างขึ้นใหม่ในบางส่วน ซึ่งเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้เที่ยวชมกันในปี 2010 ค่ะ ส่วนหมู่บ้านแมวนั้น เริ่มมาจากเดิมที ที่นี่มีการเพิ่มอัตราของน้องแมวที่ไม่มีเจ้าของอย่างรวดเร็ว และมีการอยู่รวมกันเป็นชุมชนแมวที่อาจจะดูไม่สะอาดตา จึงทำให้มีคนรักแมวรวมกลุ่มกันเข้ามาช่วยดูแลสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของน้องแมวเหล่านี้ให้ดีขึ้น และสร้างโครงการให้คนมาเที่ยวชมแมวที่นี่ มาตั้งแต่ช่วงปี 2009 ต่อมาในปี 2013 ได้มีการพัฒนาสถานที่ให้ดียิ่งขึ้นและตกแต่งจุดต่างๆ ด้วยการ์ตูนน้องเหมียวแสนน่ารัก ทำให้สถานที่แห่งนี้มีผู้คนแวะมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ 

ฝั่งของตัวอาคารสถานีรถไฟ จะเป็นฝั่งเหมืองถ่านหินเก่า ซึ่งมีถนนเส้นเล็กๆ ตัดขวางอยู่ บนถนนมีร้านอาหารท้องถิ่นและร้านค้าของฝากอยู่เล็กน้อย เมื่อข้ามถนนไปจะเป็นพื้นที่เปิดกว้างๆ และมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ตั้งอยู่ เข้าชมฟรีนะคะ ภายในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเหมืองโหวถง (โหวต้ง) ในอดีตค่ะ ส่วน 

ด้านหลังพิพิธภัณฑ์จะเป็นริมแม่น้ำจีหลง ฝั่งนี้แมวก็มีไม่น้อยเลยนะคะ ทั้งในพิพิธภัณฑ์ แล้วก็ด้านนอกบริเวณศาลาริมน้ำ แต่ก็แล้วแต่จังหวะของแต่ละคนด้วยนะ บางคนไปก็เจอไม่เยอะค่ะ จากริมน้ำจะมองเห็นสะพาน ซึ่งสามารถข้ามไปฝั่งเหมืองแร่เก่าได้ ตรงนี้จะมีกิจกรรมนั่งรถรางเข้าไปชมเหมืองแร่เก่าด้วยนะคะ ราคาท่านละ 150NT ส่วนจำนวนรอบเขาจะปรับตามความเหมาะสม ตามจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละวันค่ะ 

ส่วนฝั่งหมู่บ้านแมว จากอาคารสถานีรถไฟจะต้องขึ้นสะพานข้ามทางรถไฟไปอีกฝั่งค่ะ โดยสะพานอันนี้ จะเป็นหลังคาปิดเหมือนอุโมงค์นะคะ เพราะจะได้กันแดดกันฝนให้น้องแมวที่ชอบมาอยู่กันบนสะพานด้วย นอกจากนี้เขายังมีทำแท่นไล่ระดับและที่ให้อาหารแมวไว้บริเวณบนสะพานด้วยค่ะ พอข้ามมา ก็จะเป็นหมู่บ้านที่ผู้คนเขาพักอาศัยอยู่กันจริงๆนะคะ จะมีบ้างบ้านเปิดเป็นร้านอาหารหรือร้านค้าเล็กๆ แทรกตัวอยู่ ส่วนน้องแมวก็จะแฝงตัวอยู่ตามจุดต่างๆเช่นกันค่ะ 

เวลาที่ใช้  60 นาที 

ช่วงเวลา  (พิพิธภัณฑ์)  8:00-18:00 

การเดินทาง  รถไฟ TRA Houtong 

เวลาในการเดินทาง 60 นาที จากไทเปเมน 

หมู่บ้านเก่าซื่อซื่อหนันชุน – 四四南村

Four Four South Village   

ที่นี่เป็นหมู่บ้านแห่งแรกที่เกิดขึ้นในตัวเมืองไทเปค่ะ โดยที่ตั้งของหมู่บ้านจะอยู่ติดกับทางทิศใต้ของคลังแสงหมายเลข 44 ในอดีต จึงได้เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านว่า “ซื่อซื่อหนันซุน” (ซื่อ – เลขสี่ / หนัน-ใต้ / ชุน-หมู่บ้าน) และเมื่อวันเวลาผ่านไป คลังแสงไม่ได้ใช้งาน หมู่บ้านรกร้างไร้ผู้คน ที่นี่จึงมีโครงการจะโดนรื้อถอนกันอยู่หลายครั้ง จนมาถึงในปี ค.ศ.1999 ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่นี่ จึงทำให้ ได้มีการเข้ามาจัดการกับพื้นที่ตรงนี้อย่างเป็นรูปแบบ โดยมีการเก็บตัวอาคารบางส่วนไว้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ และมีการใช้อาคารบางส่วน จัดตั้งเป็นที่ทำการชุมชนเขตซิ่นอี้ รวมถึงใช้เป็นพื้นที่ในการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้ ให้ผู้คนได้เขาชมด้วยค่ะ ส่วนมุมสุดฮิตของที่นี่ก็คงหนีไม่พ้น มุมจากลานโล่งตรงกลางหมู่บ้านที่ถ่ายเห็นอาคารเก่าของหมู่บ้าน และมีตึกไทเป 101 อยู่ด้านหลังนะคะ เก่าใหม่ได้ใจจริงๆ  

ที่นี่จะมีตลาดนัด ที่ขายของทำมือ ของสุขภาพ ของมือสอง ชื่อว่า Simple Market ทุกวันอาทิตย์ และวันเสาร์ที่ตรงกับวันที่ ที่เป็นเลขคู่ (กำหนดการตั้งตลาด ฮิปแท้) ของเดือนด้วยนะคะ เวลาอยู่ที่ประมาณ 13:00 – 19:00 ค่ะ 

ได้รูปฮิปๆ แล้วก็อย่าเพิ่งรีบกลับน้า ลองเดินเข้าไปในอาคารก่อน อาคารด้านหลังของที่นี่ จะมีร้าน ชื่อ Good Cho’s (好丘 – ห่าวชิว) ซึ่งเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีโซนจำหน่ายสินค้าอยู่ด้วยค่ะ อยากบอกว่าของที่เขาขายเก๋มากเลยนะคะ เบสท์ได้แฟ้มเอกสารที่เป็นรูปสถานที่ท่องเที่ยวมาจากที่นี่ น่ารักมากๆ ส่วนหมวดของกิน จะเป็นแนว…อืม…คือจะบอกว่าแนวชีวจิตก็รู้สึกผิดต่อลุคของนาง ฮ่าๆ แต่ก็คือชีวจิตนั่นแหละค่ะ แต่จะเป็นชีวจิตแบบล้ำๆ มี่ดีไซด์ทั้งตัวผลิตภัณฑ์เอง และแพ็คเกจด้านนอก คือ ซื้อไปกินแล้วก็จะอิ่มด้วยอาร์ตด้วย^^ นี่คือวิถีฮิปเตอร์จ้า.. 

ส่วนโซนร้านอาหารนั้น เมนูของเขาส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไต้หวัน แต่จะมีความฟิวชั่น และให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบเป็นพิเศษค่ะ อีกอย่างหนึ่งที่ขึ้นชื่อของทางร้าน ก็คือขนมปัง Bagel อันนี้จะทานที่ร้านหรือซื้อกลับก็ได้นะคะ ของเขามีให้เลือกหลายรสเลย เวลาทำการของร้าน วันธรรมดา 10:00 – 20:00 เสาร์-อาทิตย์ 09:00 – 18:30 ค่ะ (ปิดวันจันทร์แรกของเดือน) 

เวลาที่ใช้ : 15-30 นาที  

ช่วงเวลา  พื้นที่ภายนอก 24 ชั่วโมง / ในอาคารห้องจัดแสดง 9:00 – 16:00 (ปิดวันจันทร์)  

ค่าใช้จ่าย  –  

การเดินทาง : MRT Taipei 101/World Trade Center (R03) Exit 2 เดินตัดลานจอดรถด้านซ้ายมือไป ข้ามถนนเล็กๆ ก็ถึงแล้วค่ะ   

ริมน้ำปี้ถัน – 碧潭風景區

Bitan Scenic Area  

หากใครต้องการสัมผัสกับธรรมชาติ โดยที่เดินทางง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้า ขอนำเสนอริมน้ำ Bitan (ปี้ถัน) ค่ะ ออกมาจากรถไฟฟ้าเพียง 100 เมตร เราก็จะเจอภูเขาและแม่น้ำแล้วน้า น้ำตรงนี้สีสวยด้วย ถ้าแดดดีๆ สีเขียวเชียวล่ะ เดินขึ้นไปบนสะพานแขวนปี้ถัน ถ่ายวิวแม่น้ำจากบนสะพานก็สวยดีนะคะ มุมฮิตที่คุ้นตาเลย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของที่นี่คือ จักรยานน้ำที่มีให้เช่าถีบเล่นค่ะ ราคาอยู่ที่ลำละ 300NT นั่งได้ 2 คน แบบนั่งได้หลายคนก็มีนะคะ เขาจะมีป้ายแจ้งราคาไว้  

ส่วนโซนร้านอาหารของที่นี่ก็มีค่ะ ให้สังเกตโครงหลังคายาวๆ มีกันอยู่อยู่ประมาณ 20 เจ้า โดยจะเป็นอาหารนานาชาติซะส่วนใหญ่ ที่นั่งของแต่ละร้านน่ารักดี แอบแต่งสวยเพื่อแข่งกันเล็กน้อย คือบางทีเราก็เลือกร้านเพราะชอบที่นั่งจริงๆนะ ฮ่าๆ ผู้หญิงนี่ตัวดีเลย อ่อ! ร้านส่วนใหญ่เปิดสายนะคะ คือก่อนเที่ยงเล็กน้อย เพื่อขายมื้อกลางวันกับเย็น หรือบางร้านก็บ่ายเลย เพราะเน้นขายมือเย็นค่ะ

ตรงนี้มีห้องน้ำให้เข้าด้วยนะ แล้วก็มีมุมน่ารักๆ ให้ถ่ายรูปกันนิดหน่อยด้วย หากเป็นช่วงเย็นถึงมืด  ที่นี่ก็จะโรแมนติกอยู่เหมือนกันนะคะ ลมพัดชิลล์ๆ กับไฟสีมุ๊งมิ๊งจากทั้ง 2 สะพาน  

เวลาที่ใช้ : 30-45 นาที  

การเดินทาง : MRT Xindian(G01) ประตูทางซ้ายมือ ออกไปเป็นถนนเล็กๆ ข้ามไปมองไปทางขวาจะมีบันไดเดินขึ้น  

เวลาในการเดินทาง :  25 นาที จากไทเปเมน

ตึกไทเป 101 台北 101 Taipei 101

แลนด์มาร์คที่สำคัญของไต้หวันแห่งนี้ มีความสูง 509 เมตร มีชั้นบนดินจำนวน 101 ชั้น และใต้ดินอีก 5 ชั้นค่ะ แล้วทำไมต้อง101? เลข “101” นั้น เป็นตัวแทนของรหัสดิจิตอล ซึ่งสื่อถึงความเป็นไอทีของไต้หวันนั่นเองค่ะ แต่เขาก็ไม่ได้นึกถึงแต่ความทันสมัยนะคะ เพราะในส่วนต่างๆของตึก ยังใส่ความเชื่อแบบจีนไว้หลายจุดเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปเหรียญจีน ที่อยู่ทุกด้านของตึกด้านนอก คทา 如意 (หรูอี้) ที่อยู่เหนือประตูทางเข้า รวมถึงลวดลายแบบศิลปกรรมจีนที่ใช้ตกแต่งตามจุดต่างๆของตึกค่ะ นอกจากนี้ รูปทรงของตึกไทเป 101 ยังมีลักษณะคล้ายต้นไผ่ ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนที่สื่อถึงความเกรียงไกรของชาวเชื้อสายจีน เมื่อครั้งเปิดตัวเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกด้วยค่ะ  

ตึกไทเป 101 นั้น จะมีห้างสรรพสินค้าอยู่ที่ชั้น B1, 1F-5F และมีชั้นชมวิวอยู่ที่ชั้น 88-91 ส่วนที่เหลือจะเป็นชั้นสำนักงานซะส่วนใหญ่ค่ะ (มีห้องอาหารบ้างเล็กน้อยตรงชั้นสูงๆ) 

ชั้นชมวิว ซื้อบัตรขึ้นได้ที่ชั้น 5 (600NT เวลาทำการ 9:00-22:00) จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์จากชั้น 5 ไปที่ชั้น 89 ค่ะ ลิฟต์วิ่งปรืด….37 วินาที ติ๊ง! ถึงเลย (บางทีจะช้าขึ้นอีกนิดถ้าสภาวะอากาศไม่ปกติ) ลิฟต์ตัวนี้เคยเป็นลิฟต์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกด้วยนะคะ เพิ่งโดนเบียดลงมาที่ 3 เมื่อปี 2016 นี่เอง ระหว่างที่เราขึ้นลิฟต์ เจ้าหน้าที่สุดสวยที่ขึ้นมากับเราด้วย จะทำการแร็พค่ะ ฮ่าๆ ไม่ๆ ทำการอธิบายและกล่าวต้อนรับเราค่ะ แต่ด้วยความที่มีเวลาเพียง 37 วินาที และต้องพูดถึง 3 ภาษา (จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น) สปีดในการพูดและจังหวะหยุดหายใจจะมีความแร็พหน่อยๆ^^ ขณะที่ลิฟต์ขึ้น ไฟจะดาวน์ลงและเพดานลิฟต์จะมีดวงดาวจำลองที่สวยงามให้ชมด้วยนะคะ 

เมื่อขึ้นมาถึง 89 เราจะได้พบกับวิวไทเป แบบ 360 องศาแล้วจ้า ในแต่ละทิศเขาจะมีจอแสดงสถานที่สำคัญๆ ไว้ให้เราลองกดดูกันด้วยนะคะ แล้วถ้าใครสนใจอยากจะส่งโปสการ์ดจากที่สูง ก็มาส่งกันได้ที่ชั้น 89 นี้เลยค่ะ จะเตรียมมาหรือมาซื้อจากร้านของที่ระลึกบนนี้เอาก็ได้นะคะ แสตมป์ก็ซื้อได้จากแคชเชียร์ร้านของที่ระลึกเช่นกันค่ะ พูดถึงร้านของที่ระลึก ตัวเองนี่ก็โดนมาแล้วไม่น้อย ถึงราคาของส่วนใหญ่จะสูงตามความสูงของตึก 55 แต่ก็อดใจไม่ค่อยได้ (ถ้าใครสนใจอยากดูอยากช็อป แต่ไม่ได้ขึ้นมาที่ชั้นชมวิว ก็สามารถดูได้ที่ชั้น B1 ของห้างนะคะ ตรงนั้นก็มีให้ซื้อค่ะ)  

จากชั้น 89 เราสามารถเดินลงบันไดมาที่ชั้น 88 ที่เป็นจุดชมลูก Damper สีทองน้ำหนักกว่า 600 ตัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ตึกไทเป 101 มีความปลอดภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวหรือลมพายุแรงๆ ที่มักเกิดขึ้นในไต้หวันค่ะ คือถ้าเกิดตึกมีการเอนไปทางใดทางหนึ่ง Damper ก็จะถ่วงน้ำหนักไปอีกทางค่ะ โดยเราสามารถเห็นลูก Damper และระบบโช้คอัพ (Shock Absorber) ที่ช่วยในการซับแรงกระแทกและลดแรงสั่นสะเทือนให้กับลูก Damper หากเกิดการแกว่งขึ้นมาได้อย่างใกล้ชิดเลยนะคะ แล้วจากชั้น 88  เราสามารถเดินขึ้นไปที่ชั้น 91 เพื่อชมวิว Outdoor ได้ด้วยค่ะ แต่โซนนี้จะเปิดเฉพาะช่วงที่อากาศดีนะคะ มีฝนจะไม่เปิดค่ะ ถ้าออกไปจากตรงนี้ นอกจากจะเห็นวิวแบบไม่มีกระจกกั้น (แต่เขาก็มีเหล็กกั้นเป็นซีกๆเพื่อความปลอดภัยน้า) เรายังสามารถหันกลับมามองยอดตึก 101 ได้ด้วยค่ะ  

(กรอบ) ที่ชั้น B1 ของห้างจะเป็นร้านอาหารและฟู้ดคอร์ทค่ะ ฟุ้ดคอร์ทของ 101 ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยนะคะ มีอาหารให้เลือกหลายเจ้า ที่นั่งก็เยอะ เทียบของห้างอื่นที่เคยทานมา ถือว่ากว้างที่สุดเลยล่ะ ถึงเดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวจะเยอะอยู่เหมือนกัน แต่เท่าที่เคยไปมา ก็ไม่เจอปัญหาไม่มีที่นั่งนะคะ นอกจากนี้ ที่ชั้นนี้ยังมีร้านของฝากอย่าง SUGAR&SPICE (糖村) และ Hsin Tung Yang (新東陽) ด้วยค่ะ  

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจสำหรับตึกไทเป 101 ก็คือไฟที่เปิดด้านนอกตึกค่ะ ในวันปกติเขาจะเปิดไฟสีล้วนแยกสีไปตามวัน โดยวันจันทร์จะเป็นสีแดง วันอังคารสีส้ม วันพุธสีเหลือง วันอังคารสีเขียว วันศุกร์สีฟ้า วันเสาร์สีม่วง และวันอาทิตย์สีชมพูอมม่วงค่ะ แล้วถ้ามีโอกาสอะไรพิเศษๆ ก็จะมีการเปิดไฟสีสันที่แปลกตา หรือมีข้อความวิ่งให้ได้เห็นกันด้วยค่ะ  

สุดท้ายที่ต้องพูดถึงสักหน่อย ก็พลุปีใหม่ของตึกไทเป 101 ค่ะ ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองมาสัมผัสบรรยากาสกันดูสักครั้งนะคะ ปีหลังๆ มักมีข่าวว่าจะงดอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่เคยงดนะคะ แต่อนาคตก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงถ้ามีโอกาสไปดูกันซักครั้งค่ะ พลุสวยน้า แค่เราถ่ายรูปไม่สวยเท่านั้นเอง กร๊าก 

เวลาที่ใช้ : 45-60 นาที (สำหรับชั้นชมวิว)  

ช่วงเวลา  11:00 – 21:30  ศุกร์-เสาร์ ปิด 22:00 (เวลาทำการห้าง)  

การเดินทาง : MRT Taipei 101/World Trade Center (R03) Exit 4  

เว็บไซต์: https://www.taipei-101.com.tw/ 

สะพานต้าซี – 大溪橋

Daxi Bridge  

ในอดีตนั้นสะพานต้าซีเป็นแค่สะพานไม้ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางให้ชาวอำเภอต้าซีใช้เดินทางออกสู่ภายนอก ต่อมาในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ได้มีการสร้างใหม่เป็นสะพานแขวน 2 เสา หน้าตาใกล้เคียงกับทุกวันนี้ที่เราเห็นค่ะ จนมาถึงช่วงที่เส้นทางต่างๆพัฒนาขึ้น สะพานต้าซีจึงหมดความสำคัญสำหรับการใช้เป็นเส้นทางในการสัญจรไป 

มาถึงในปี ค.ศ. 2002 ทางหน่วยงานที่ดูแล มีโครงการสร้างสะพานต้าซีใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักผ่อนย่อนใจแทนเส้นทางสัญจรธรรมดา ซึ่งครั้งนี้ โครงสร้างจะเป็นสะพานคอนกรีต 13 เสา ความยาว 330 เมตร โดยการออกแบบนั้น มีการรักษาอิมเมจของความเป็นสะพานแขวนแบบสะพานอันเดิมไว้ แล้วมีการเพิ่มซุ้มประตูสะพานที่ใช้ศิลปกรรมแบบบารอกเข้ามา เพื่อให้แมทช์กับอาคารที่ถนนโบราณต้าซีนั่นเองค่ะ

สะพานใหม่รอบนี้เปิดให้คนเดินและรถจักรยานขึ้นเท่านั้นนะคะ ถ้าหากอยู่ถึงตอนเย็น จะได้ชมความสวยงามของไฟที่ประดับสะพานด้วยค่ะ ไฟเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆด้วยนะ ถ้าถ่ายรูปเก่งๆ รูปจะออกมาสวยมาก ไอเราก็เต็มที่ได้แค่นี้แหละ แฮะๆ 

เวลาที่ใช้ : 20 นาที  

การเดินทาง : จากสุดตลาดต้าซี (ถนนเหอผิง) เลี้ยวซ้าย เดินไปไม่ไกลจะเจอสวนสาธารณะด้านขวามือ ทางลงมาที่สะพานจะอยู่ใกล้ๆ ศาลานั่งพักทรงจีน มีทั้งบันได และลิฟต์ค่ะ 

รู้จักกับไต้หวัน

ไฮ!ฉันชื่อไถวันแต่คนไทยเรียกฉันว่าไต้หวันฉันเป็นเกาะเล็กๆรูปหัวมันจากเหนือถึงใต้เดินทางเพียง520กิโลเมตรเท่านั้นมามะมารู้จักกัน”  

ไต้หวันมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Republic of China (ROC) หรือสาธารณรัฐจีนซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี ..1949 โดยการนำของนายพลเจียงไคเช็ค (จีนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันคือ People’s Republic of China (PRC) สาธารณรัฐประชาชนจีน) แต่คนไทยจะเคยชินกับการเรียกไต้หวันว่า ประเทศไต้หวันซะมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนเราไม่คุยกัน 55 คือถ้าเอาแบบสบายๆก็ ในทางนิตินัยไต้หวันไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นประเทศ แต่ในทางพฤตินัยไต้หวันนั้นเป็นเอกราชซึ่งมีระบบบริหารการปกครองแบบประชาธิปไตยและมีผู้นำเป็นของตนเอง  แล้วถึงแม้ว่าไต้หวันจะไม่ได้ถูกจัดให้เป็นประเทศ แต่จากการวัดระดับสากล ไต้หวันได้ถูกจัดให้เป็น ประเทศที่พัฒนาแล้วแห่งหนึ่ง 

ขนาดของไต้หวันนั้นมาในไซส์มินิ ที่ความยาว 395 กิโลเมตร (วัดตรงๆเหนือจรดใต้) และความกว้าง 144 กิโลเมตร ฝั่งตะวันตกเป็นช่องแคบไต้หวันที่อีกฝั่งน้ำคือมณฑลฝูเจี้ยนของจีน ส่วนฝั่งตะวันออกนั้นจะเป็นมหาสมุทรแปซิฟิก พื้นที่ส่วนกลางของไต้หวันจะเป็นภูเขาสูง การเดินทางขวางๆ ระหว่างฝั่งตะวันตกและตะวันออกจึงไม่ได้สะดวกมากนัก และใช้เวลามากกว่าที่รู้สึกด้วยการมองจากแผนที่อยู่มาก การเดินทางต่างๆ จึงเป็นเส้นทางวงรีแนวตั้งรอบเกาะเป็นหลัก ภูมิภาคของไต้หวันแบ่งออกเป็นเหนือกลางใต้และตะวันออก เขตการปกครองในปัจจุบันแบ่งเป็น 11 เมือง 3 นคร และ 6 มหานคร เมืองหลวงคือมหานครไทเป (ไทเปซิตี้) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ  

ตามหลักฐานที่ค้นพบ ไต้หวันนั้นมีมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะตั้งแต่สมัยยุคหินเก่า โอ๊ยอันนี้ก็เล่าไกลไป 55 เอาใหม่ๆ เดิมทีไต้หวันมีเพียงชนเผ่าท้องถิ่นอาศัยกันอยู่เป็นกลุ่มชน กระจายกันไปทั่วเกาะ ต่อมาในช่วงศตวรรษที่17 จนถึงปี .. 1945 ไต้หวันได้ถูกทั้งชาวดัตช์ ชาวสเปน และชาวญี่ปุ่นเข้ามายึดพื้นที่ตั้งเป็นอาณานิคมของตน แล้วยังมีช่วงยุคราชวงศ์หมิงและชิงของจีน ที่มีการมาตีเพื่อยึดพื้นที่การปกครองบนเกาะไต้หวันรวมอยู่ในระหว่างช่วงเวลานี้อีกด้วย ซึ่งทุกๆครั้งของการเปลี่ยนอำนาจนั้นก็คือการสู้รบ หากเปรียบไต้หวันเป็นชีวิตคน ก็ถือว่าต้องโลดโผนมาไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วด้วยเหตุนี้เราจึงจะได้เห็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์และโบราณสถานในไต้หวัน มีทั้งรูปแบบยุโรป จีน และญี่ปุ่นนั่นเอง 

ทุกวันนี้ไต้หวันมีประชากรประมาณ 23 ล้านคน โดยประชากรส่วนใหญ่ จะเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน) รองลงมาคือชาวจีนแคะ (เค่อเจีย / ฮักกา) และชาวชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งมีกันอยู่ในประมาณที่ไม่มาก แต่ก็แยกเป็นอีกหลายชนเผ่าเลยทีเดียว  การนับถือศาสนาในไต้หวันนั้นเป็นอิสระ ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและเต๋า และจะมีส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์ เทศกาลและประเพณีต่างๆในไต้หวัน ส่วนใหญ่คนไทยถือว่าคุ้นเคยกันดี อย่างเทศกาลตรุษจีน เทศกาลเชงเม้ง เทศกาลไหว้พระจันทร์ การไหว้บะจ่างและการไหว้บัวลอยค่ะ  

ทุ่งเลี้ยงวัว ฉิงเทียนกั่ง – 擎天崗

Qing Tian Gang  

ตลอดทางเดินที่มองไปจนสุดตา โอบล้อมด้วยผืนหญ้าและเนินเขา ที่นี่เรียบง่าย แต่เดินเล่นแล้วสบายใจดีค่ะ ถือเป็นจุดที่ได้รับความนิยมต้นๆ ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานเลยทีเดียว แล้วถึงแม้ในวันฝนพร่ำ ก็ยังมีคนเดินกันบนสันเขา นั่งคุยกันบนทุ่งหญ้านะคะ ไต้หวันสไตล์กันดีจริงๆ  

ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวฮือฮาเกี่ยวกับที่นี่ด้วยค่ะ เนื่องด้วยฉิงเทียนกั่งนั้น ได้มีการเลี้ยงวัวมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมญี่ปุ่น ซึ่งในตอนนั้นได้มีการนำโคจากญี่ปุ่นเข้ามาเลี้ยง เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็ยังมีวัวที่สืบสายพันธุ์นั้นหลงเหลืออยู่ที่ฉิงเทียนกั่งค่ะ อ่อ…แล้วไงล่ะ? 55 ก็ไม่ไงค่ะ แค่พอดีวัวที่ว่าเป็น Japanese Black สายพันธุ์ทาจิมะ ซึ่งเป็น 1 ในสายพันธุ์ของเนื้อวัว Wagyu (วากิว – 和牛) สุดยอดเนื้อแห่งญี่ปุ่นเท่านั้นเองจ้า! แต่ถ้าจะไปดูตัวจริงเสียงจริงกันตอนนี้ ขอบอกว่าไม่มีให้ดูแล้วนะจ๊ะ…นางอินเตอร์เลอค่าขนาดนั้น จะมาเดินวัวๆ ตามทุ่งเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว 55 คือหลังที่ทางญี่ปุ่นยืนยันกลับมาว่าใช่ ทาจิมะพันธุ์แท้ คุณวัวเขาก็เลยถูกซื้อขึ้นมาจากเกษตรกรผู้เป็นเจ้าของ แล้วถูกนำไปดูแลและเพราะพันธุ์ เพื่อสานฝันกับโปรเจคที่ไต้หวันเขาจะผลิต “วากิว” ของตัวเองไว้บริโภคแล้วค่า อนาคตจะเป็นยังไง ก็รอดูรอกินกันต่อไป ส่วนที่ฉิงเทียนกั่ง ถ้าจังหวะดีๆ ก็ยังมีคุณวัว คุณควายสาย Local ให้ได้เห็นกันอยู่น้า ^^ 

(กรอบ) ถ้าพูดถึงเนื้อ “วากิว” บางท่านที่ไม่ใช่สายเนื้ออาจจะไม่คุ้นหู แต่ถ้าพูดถึง เนื้อมัตสึซากะ หรือ เนื้อโกเบ ก็คงคุ้นหูขึ้นมาบ้าง ซึ่งเนื้อเหล่านี่ล่ะค่ะ ก็คือเนื้อวากิวอย่างหนึ่งที่แตกสายไปตาม พื้นที่เพราะเลี้ยง (มาทุ่งหญ้า ทำไมเหมือนได้กลิ่นเนื้อย่างหอมๆ 55) 

เวลาที่ใช้  20-30 นาที  

ช่วงเวลา ไม่มีเวลาทำการ / Visitor Center  9:00 – 16:30 (ปิดวันจันทร์) 

การเดินทาง : จากลานจอดรถเมล์หลักของหยางหมิงซาน -> Bus 108 (ปลายสาย  Qing Tian Gang) ลงป้าย Qing Tian Gang (擎天崗) หรือ นั่ง MRT สายสีแดง มาลงที่สถานี Jiantan Station (เจี้ยนถาน) ออกประตูทางออก 1 พอออกประตูมาแล้วให้มองด้านซ้ายมือจะมีป้ายรถเมล์เยอะๆ แล้วมองหาป้ายรถเมล์สาย S15 (แนะนำขึ้นรถเมล์คันเล็กๆนะคะ ไปถึงที่หมายสุดสายเลยคะ) ขากลับก็สามารถรอขึ้นรถเมล์ได้ที่เดิมที่เราลงเลย 

เวลาในการเดินทาง 40 นาที จากลานจอดรถเมล์หลัก (รถวิ่งเป็นวงกลม ขากลับไปลานจอดรถหลักจะใช้เวลาแค่ 15 นาที) 

ขากลับ : จะกลับแบบที่มา (108 -> 260 , R5) หรือจะนั่งเป็นสาย S15 ต่อเดียว มาลงที่ MRT Jiantan ก็ได้ค่ะ 

แช่น้ำแร่อูไหล – 烏來溫泉

Wulai Hot Springs  

บนถนนของตลาดอูไหลนั้น นอกจากจะมีร้านอาหารแล้ว ก็ยังมีโรงแรมหรือบ้านที่เปิดให้บริการแช่น้ำแร่อยู่ไม่น้อยเลยนะคะ ตั้งแต่ต้นตลาดมาเลย แต่จะแทรกๆตัวอยู่กับร้านค้า ต้องมองดีๆ ส่วนใหญ่ไม่มีภาษาอังกฤษค่ะ แต่จะมีรูปตัวอย่างห้อง+อ่างแช่น้ำแร่แบบต่างๆให้ดูกันตั้งแต่ด้านหน้า ถ้าจะมีให้เลือกติดๆกันหน่อย

ต้องข้ามสะพานตรงที่สุดตัวตลาดไป ที่ถนน Wenquan ค่ะ ค่าใช้จ่ายที่จริงก็แล้วแต่เจ้า โดยประมาณจะอยู่ที่ 300NT ต่อห้องแช่เดี่ยวแช่ได้ 2 คน หรือถ้าเป็นห้องแบบห้องพักเลยคือมีเตียงแล้วก็มีบ่อแช่ในห้องน้ำ จะราคาประมาณ 600NT ค่ะ ห้องนี่ต่อเวลาที่กำหนดนะคะ ไม่ใช่ทั้งวันล่ะ ^^ 

ส่วนถ้าใครสนใจแช่ออนเซนฟรี จากที่ข้ามสะพานมา เลี้ยวไปทางขวาค่ะ เดินไปประมาณ 100 เมตร ที่ริมน้ำมีบ่อสาธารณะให้แช่ แต่จะบ้านๆหน่อยนะคะ แล้วก็ต้องฝ่าฟันแย่งชิงพื้นที่กับคุณลุงคุณป้ากันนิดนึงค่ะ แหะๆ คือถ้าตั้งใจมาแช่เลยแนะนำแช่ตามที่พักดีกว่า คิดว่าฟินแน่อันนั้น ส่วนบ่อสาธารณะตรงนี้เน้นแช่เอาฮ่ามากกว่า 55  

การเดินทาง : 

  • รถไฟฟ้า MRT: สายสีแดง ลงสถานี Taipei 101/World Trade Center ต่อรถบัสสาย 849 ไปยังอูไหล 
  • รถบัส: สาย 208, 247, 262, 267, 270, 606, 662, 672, 902, 905, 906, 909 จากสถานีขนส่ง Taipei Main Station 

ทะเลหยินหยาง – 陰陽海

Yin Yang Hai  

ทะเลหยินหยางอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า “สุ่ยหนั่นต้ง” (Shui nan dong) ซึ่งอยู่ถัดลงมาจากน้ำตกสีทอง มาทางริมฝั่งทะเลค่ะ  

อะไรคือทะเลหยินหยางเนื่องจากบริเวณจินกวาสือนั้น อุดมไปด้วยแร่ธาตุอย่างที่เห็นกันแล้วจากน้ำตกสีทองที่เป็นสีส้มๆเหลืองๆ ซึ่งเมื่อลำน้ำเหล่านี้ไหลลงทะเล ก็เลยเกิดการผสมสีที่สวยงามระหว่างสีส้มและสีฟ้าขึ้นมาค่ะ (ไม่ใช่สีขาวกับดำนะตัว ^^) ที่นี่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่เป็นเอกลักษณ์ หาชมที่อื่นไม่ได้ที่หนึ่งในไต้หวันเลยนะคะ ส่วนสีนั้นต้องแล้วแต่ดวงนิดนึงนะ ถ้าวันครื้มๆ สีจะไม่ชัดมาก แดดแรงๆนี่จะแจ่มเลยค่ะ ถ้าอยากเห็นชัดๆ ต้องข้ามถนนมาที่ฝั่งริมทะเลนะคะ จะเป็นริมถนนเลยนะ ระวังๆกันด้วยจ้า  

ส่วนใครที่ไม่ได้เดินลงมาจากน้ำตก อาจจะยังไม่ได้เห็นลำธารสีส้มที่ไหลลงทะเลกัน สามารถมาดูได้ตรงป้ายรถเมล์ขากลับ ที่อยู่ตรงข้ามกับขามานะคะ  

เวลาที่ใช้ : 15 นาที 

การเดินทาง : ข้อมูลเหมือนน้ำตกสีทอง แต่ลงป้าย Shui Nan Dong (水湳洞)