Home Blog Page 74

บัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong) บัตรเดียวเที่ยวทั่วเซินเจิ้น

บัตรเซินเจิ้นทง (Shenzhen Tong) บัตรสมาร์ทการ์ด บัตรเติมเงิน ใช้เดินทางและซื้อของในเมืองเซินเจิ้น
บัตรเซินเจิ้นทง (Shenzhen Tong) บัตรสมาร์ทการ์ด บัตรเติมเงิน ใช้เดินทางและซื้อของในเมืองเซินเจิ้น

บัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong) บัตรเดียวเที่ยวทั่วเซินเจิ้น

บัตร เซินเจิ้นทง Shenzhen Tong บัตรเดินทาง บัตรสมาร์ทการ์ด ใบเดียวเที่ยวทั่วเซินเจิ้น
บัตร “Shenzhen Tong” เซินเจิ้นทง สมาร์ทการ์ดเมืองเซินเจิ้น

แน่นอนว่าการไปเที่ยวต่างประเทศ ถ้ามีบัตรสมาร์ทการ์ดที่สามารถใช้เดินทางและซื้อของได้ในบัตรเดียวนั้น นับเป็นเรื่องสะดวก เพราะเวลาใช้บริการรถไฟฟ้าก็ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋ว หรือจะขึ้นรถเมล์ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเหรียญพอดีค่าโดยสารหรือเปล่า (ส่วนใหญ่ไม่ทอนเงิน ถ้าจ่ายแบงก์หรือเหรียญที่ราคาสูงกว่าก็คงรู้สึกเสียดายที่จ่ายเกินจริง) และบัตรสมาร์ทการ์ดส่วนใหญ่ก็มักจะมีส่วนลดให้อีกด้วย

บทความนี้จะขอแนะนำบัตร Shenzhen Tong (เซินเจิ้นทง) บัตรสมาร์ทการ์ดของเมืองเซินเจิ้น ที่ทำให้ชีวิตการเดินทางท่องเที่ยวของคุณนั้นง่ายขึ้นเป็นกอง เพียงแค่! แตะบัตร ก็สามารถใช้เดินทางได้ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ และจับจ่ายซื้อของยังร้านค้าต่างๆที่มีสัญลักษณ์ Shenzhen Tong เรียกว่ามีบัตรเดียวใช้ได้สะดวกจริงๆ

มาดูกันเลยค่ะว่าเราจะหาซื้อบัตร “Shenzhen Tong” นี้ได้จากที่ไหน และรายละเอียดของบัตรนี้มีอย่างไรกันบ้าง

การซื้อบัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong)

บัตร "เซินเจิ้นทง" (Shenzhen Tong) บัตรเดียวเที่ยวทั่วเซินเจิ้น
บูทขายบัตร Shenzhen Tong (เซินเจิ้นทง) ตั้งอยู่ใกล้ๆบริเวณเคาน์เตอร์ Service Center ของทุกสถานีรถไฟใต้ดิน

สามารถหาซื้อ บัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong) ได้ที่ทุกสถานีรถไฟของเซินเจิ้น โดยจุดขายบัตรจะเป็นบูทเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆ กับ เคาน์เตอร์ Service Center (ถ้าใครเดินไปถามหาซื้อที่ Service Center พนักงานก็จะให้มาซื้อที่บูทนี้เท่านั้น) บูทนี้นอกจากจะขายบัตร Shenzhen Tong ของเมืองเซินเจิ้นแล้ว ยังขายบัตร Octopus สำหรับคนที่จะเดินทางไปยังฮ่องกงอีกด้วย

ส่วนราคาแรกซื้อบัตร Shenzhen Tong (เซินเจิ้นทง) ราคาอยู่ที่ 100 หยวน เป็นค่ามัดจำ 20 หยวน และมูลค่าที่ใช้ได้ 80 หยวน

การเติมเงินบัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong)

สามารถเติมได้ที่เคาน์เตอร์ Service Center ในสถานีรถไฟใต้ดินทุกสถานี หรือจะเติมเองที่ตู้เติมเงินอัตโนมัติก็ได้ ส่วนการเช็กยอดเงินคงเหลือก็มีให้เช็กที่แท่นตรวจสอบยอดเงินอัตโนมัติใกล้ๆ กับตู้ซื้อตั๋วนั่นเอง

การคืนบัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong)

บัตรเซินเจิ้นทง Shenzhen Tong บัตรสมาร์ทการ์ด บัตรเดินทาง ใบเดียวเที่ยวทั่วเซินเจิ้น
ชานชาลารถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Laojie (สามารถซื้อและคืนบัตร Shenzhen Tong เพื่อรับเงินมัดจำคืนได้ที่สถานีนี้ด้วย)

สามารถทำเรื่องของคืนบัตรและรับเงินมัดจำบัตรคืนได้ 3 สถานี ดังนี้ สถานี Laojie Station, Convention & Exhibition Center Station และ สถานี Bao’an Center Station

โปรโมชั่นส่วนลดของบัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong)

บัตรเซินเจิ้นทง Shenzhen Tong บัตรสมาร์ทการ์ด บัตรเติมเงิน ใบเดียวเที่ยวทั่วเซินเจิ้น
วิธีการแตะบัตรขึ้นรถเมล์ใน Shenzhen (เซินเจิ้น)

ทุกการใช้บัตรที่รถไฟฟ้าใต้ดินจะได้รับส่วนลด 5% และรับส่วนลดเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ใช้บริการรถเมล์เพื่อต่อรถไฟฟ้าใต้ดินภายในเวลา 90 นาที ได้ลดเพิ่มอีก 0.4 หยวนต่อเที่ยว

บัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong)
[info-p “”] 100 หยวน [ค่ามัดจำบัตร 20 หยวน และมูลค่าที่ใช้ได้ 80 หยวน]
[info-w “”] www.shenzhentong.com

บทความที่เกี่ยวข้อง: บัตร “หยางเฉิงทง” (Yang Cheng Tong) บัตรเดียวเที่ยวทั่วกวางโจว

เรื่องและภาพ : @ipookpui DPlus Guide Team

แนะนำขบวนรถไฟอันปังแมน Anpanman Yosan Line ในญี่ปุ่น (1)

เที่ยวญี่ปุ่น รถไฟพิเศษ ขบวนรถไฟอันปังแมน Anpanman Yosan Line ในญี่ปุ่น

เที่ยวญี่ปุ่น รถไฟพิเศษ ขบวนรถไฟอันปังแมน Anpanman Yosan Line ในญี่ปุ่น

รถไฟ Anpanman ขบวนนี้เป็นรถไฟด่วนพิเศษ (LTD. Express) มีชื่อเป็นทางการว่า Uwakai ตกแต่งลวดลายด้วยซูเปอร์ฮีไร่หน้ากลมและเหล่าสหายจากเรื่อง อันปังแมน (Anpanman) ขวัญใจเด็กๆ ให้บริการอยู่หลายสายในเกาะชิโกกุ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาจารย์ Takashi Yanase ผู้สร้างสรรค์การ์ตูนอันปังแมนสู่สายตาชาวโลกนั่นเอง

ขบวนที่เราแนะนำนี้ ให้บริการอยู่บนสาย Yosan Line (via Uchiko) วิ่งจาก สถานี Matsuyama ไปจนถึงสถานี Uwajima ในจังหวัดเอฮิเมะ (Ehime) ที่ฝั่งตะวันตกของเกาะชิโกกุ หากใครมาเที่ยวเกาะชิโกกุแล้วไม่ได้นั่งรถไฟอันปังแมนถือว่ายังมาไม่ถึงนะ

DESIGN : การออกแบบและตกแต่งภายใน

รถไฟ Anpanman Yosan Line ด้านนอกขบวนตกแต่งด้วยธีมสีม่วงขาว พร้อมลวดลายตัวการ์ตูนการ์ตูนอันปังแมนและเหล่าสหาย รวมทั้งคู่ปรับอย่าง Baikinman เหล่าร้ายที่มาจากดาว Baikin เจ้าของสโลแกน “ฉันเกิดมาเพื่อประมือกับอันปังแมน” แต่เวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นผูกมิตรเพราะในโลโก้เป็นรูปอันปังแมนกอดคอกับไบกิ้นแมน (・∀・)

รถไฟขบวนนี้ มีตู้โดยสารทั้งหมด 7 ตู้ และมี 1 ตู้เท่านั้นที่ตกแต่งด้านในไม่ว่าจะเป็นเพดาน ผนัง ชั้นวางของ เก้าอี้ หรือบานพับวางของหน้าที่นั่ง เป็นตัวการ์ตูนอันปังแมน ซึ่งต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นนะคะ! สำหรับตู้อื่นๆ ก็จะตกแต่งเหมือนที่นั่งรถไฟด่วนทั่วไป ค่าโดยสารเป็นอัตราเดียวกับรถไฟด่วนพิเศษทั่วไป ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะทาง ส่วนผู้ที่ถือตั๋ว JR Pass หรือ All Shikoku Rail Pass สามาถขึ้นขบวนนี้ได้ฟรีค่ะ

สำหรับบริเวณด้านหลังติดกับตู้อันปังแมนจะมีตู้กดเครื่องดื่มบริการให้ด้วยนะคะ

เที่ยวญี่ปุ่น นั่งรถไฟพิเศษ ด้านในขบวนรถไฟอันปังแมน Anpanman Yosan Line ในญี่ปุ่น ด้านในขบวนรถไฟ Anpanman Yosan Line ในญี่ปุ่น

คราวหน้าทีมงานจะพาไปแนะนำขบวน Anpanman Dosan line นะคะ

ที่มา : Charming TRAINS in Japan หลงใหล รถไฟ ญี่ปุ่น

เที่ยวญี่ปุ่น Kurashiki Bikan (ย่านเมืองเก่า) ที่โอคายาม่า (Okayama)

เที่ยวญี่ปุ่น Kurashiki Bikan (ย่านเมืองเก่า)
เที่ยวญี่ปุ่น Kurashiki Bikan (ย่านเมืองเก่า)
เที่ยวญี่ปุ่น Kurashiki Bikan (ย่านเมืองเก่า)

Kurashiki Bikan (ย่านเมืองเก่า) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดโอคายาม่า (Okayama) ภูมิภาคจูโงกุ (Chugoku) อาคารบ้านเรือนในย่านเมืองคุราชิกิสร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม เห็นได้ชัดว่า อาคารสีขาวสร้างขึ้นจากดินเหนียว ออกแบบเป็นรูปทรงเรขาคณิตและใช้มุงกระเบื้องหลังคาสีดำ

ปัจจุบัน Kurashiki Bikan ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินชมเหล่าอาคารบ้านเรือนที่ในอดีตเคยใช้เป็นโกดัง ฉางข้าว และบ้านพักของพ่อค้าในยุคเอโดะ หลายหลังถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และยังใช้เป็นฉากถ่ายทำละครและภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง เช่น รุโรนิ เคนชิน (Samurai X)

เที่ยวญี่ปุ่น Kurashiki Bikan (ย่านเมืองเก่า)
[info-d “”] จากเมือง Okayama นั่งรถไฟ JR จากสถานี JR Okayama มาลงสถานี JR Kurashiki แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
[info-t “”] ภายในย่านเปิดตลอดเวลา พิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่เปิด 09:00-17:00 น.
[info-p “”] ขึ้นอยู่แต่ละสถานที่

ที่มาข้อมูลและภาพ : หนังสือ The Ultimate JAPAN Destinations

บัตร “หยางเฉิงทง” (Yang Cheng Tong) บัตรเดียวเที่ยวทั่วกวางโจว

Yangchengtong บัตรหยางเฉิงทง บัตรเดินทางและใช้จ่ายในเมืองกวางโจว
Yangchengtong - บัตรหยางเฉิงทง บัตรเดินทางและใช้จ่ายในเมืองกวางโจว

บัตร “หยางเฉิงทง” (Yang Cheng Tong) บัตรเดียวเที่ยวทั่วกวางโจว (ประเทศจีน)

สำหรับใครที่จะเดินทางไปเที่ยวกวางโจว หรือจะไปช้อปปิ้งซื้อสินค้าที่ เมืองกวางโจว (Guangzhou) ขอแนะนำบัตรสมาร์ทการ์ดที่เรียกว่า “หยางเฉิงทง” (Yang Cheng Tong) ที่สามารถใช้จ่ายค่าเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน รถเมล์ และจับจ่ายใช้สอยผ่านร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven และร้านอื่นๆที่มีสัญลักษณ์คล้ายรูปตัว “V” ที่อยู่บนบัตรนั่นเอง

Yangchengtong บัตรหยางเฉิงทง บัตรเดินทางและใช้จ่ายในเมืองกวางโจว
Yang Cheng Tong – บัตรหยางเฉิงทง บัตรเดินทางและใช้จ่ายในเมืองกวางโจว

บัตร “หยางเฉิงทง” (Yang Cheng Tong) ซื้อได้จากที่ไหน?

บัตรหยางเฉิงทง Yangheng Tong บัตรสมาร์ทการ์ด ใบเดียวใช้ทั้งเดินทางและจับจ่ายซื้อของ
เคาน์เตอร์ Customer Service Center สำหรับแลกเหรียญ และซื้อบัตร Yang Cheng Tong (หยางเฉิงทง)

การได้บัตรหยางเฉิงทงมาครอบครองนั่นสามารถซื้อได้ที่ เคาน์เตอร์ Customer Service Center ของทุกสถานีรถไฟใต้ดิน โดยพูดกับพนักงานเพียงคำว่า “หยางเฉิงทงข่า” พนักงานก็จะยื่นบัตรและแจ้งราคาบนเครื่องคิดเงิน ซื้อครั้งแรกในราคา 50 หยวน (จากเดิมเคยราคา 80 หยวน) โดยจะมีมูลค่าใช้งานได้ 30 หยวน ส่วนอีก 20 หยวนเป็นค่ามัดจำ

การเติมเงินบัตร “หยางเฉิงทง” (Yang Cheng Tong)

บัตรหยางเฉิงทง Yangcheng Tong บัตรสมาร์ทการ์ด ใช้เดินทาง และจับจ่ายใช้สอยได้ในบัตรเดียว
ร้านค้าที่รับเติมเงิน มีสัญลักษณ์คล้ายตัว “V” ติดอยู่หน้าร้าน เอาให้ชัวร์ช็อป 7-Eleven ทุกสาขาบัตรเติมหมดค่ะ

การเติมเงินขั้นต่ำ 50 หยวน สามารถเติมเงินได้จากร้าน 7-Eleven และร้านอื่นๆที่มีสัญลักษณ์บัตร และตู้เติมเงินอัตโนมัติ (ภาษาจีนเท่านั้น แต่มักมีพนักงานคอยแนะนำอยู่ใกล้ๆ) ส่วนเคาน์เตอร์ Passenger Service ที่ซื้อบัตรตอนแรกจะไม่รับเติมเงิน

บัตร “หยางเฉิงทง” (Yang Cheng Tong) ยิ่งใช้มาก ยิ่งมีส่วนลด

บัตรหยางเฉิงทง Yangcheng Tong บัตรสมาร์ทการ์ด ใช้เดินทาง และจับจ่ายใช้สอยได้ในบัตรเดียว
เครื่องตรวจสอบจำนวนเงินที่อยู่ในบัตร พร้อมสรุปยอดรายการใช้งานที่ผ่านมา

การใช้งาน 1-15 ครั้งแรกของเดือนจะได้ส่วนลดครั้งละ 5% หากใช้เกิน 15 ครั้งภายในระยะเวลา 1 เดือน (รวมการขึ้นรถเมล์ด้วย) จะลดราคาให้ 40% สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า MRT

การคืนบัตร “หยางเฉิงทง” (Yang Cheng Tong)

บัตรหยางเฉิงทง Yangcheng Tong บัตรสมาร์ทการ์ด ใช้เดินทาง และจับจ่ายใช้สอยได้ในบัตรเดียว
เคาน์เตอร์สำหรับคืนบัตรและขอเงินมัดจำคืน

การคืนบัตรจะได้รับค่ามัดจำบัตร 20 หยวน โดยไม่หักค่าธรรมเนียมใดๆ ส่วนยอดเงินที่คงเหลือในนั้นจะไม่ได้คืน จึงควรใช้ให้เหลือน้อยที่สุด และมีเคาน์เตอร์สำหรับคืนบัตรแค่เพียง 4 จุดเท่านั้น จุดที่สะดวกในการคืนที่สุด จะอยู่ในสถานีรถไฟ สถานี Tiyu Xi Lu ทางออก G และ สถานี Gongyuanqian ทางออก J  ซึ่งขอแนะนำว่าเก็บไว้เป็นที่ระลึกดีกว่าเพราะราคามัดจำ 20 หยวน ตก 100 บาทไทยเท่านั้น เผื่อมีโอกาสได้เดินทางไปอีกก็สามารถนำกลับมาใช้ได้ด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง: บัตร “เซินเจิ้นทง” (Shenzhen Tong) บัตรเดียวเที่ยวทั่วเซินเจิ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง: รีวิวเจาะลึก! พิกัดสินค้าขายดีที่กวางโจว โอกาสทางธุรกิจที่มากกว่าคำว่าคุ้ม

เรื่องและภาพ : @ipookpui DPlus Guide Team

แนะนำ 10 สถานที่ แช่ออนเซนในญี่ปุ่น

แนะนำ 10 สถานที่ แช่ออนเซนในญี่ปุ่น

หากจะพูดถึงการอาบหรือการแช่ตัวแบบ ออนเซน (Onsen) ของคนญี่ปุ่นที่กลายเป็นส่วนนึงมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงปัจจุบัน โดยชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า แร่ธาตุที่อยู่ในน้ำพุมีคุณสมบัติช่วยบำบัด ผ่อนคลาย รักษาอาการต่างๆ หรือแม้กระทั่งบำรุงผิวพรรณ

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอแนะนำ 10 สถานที่แช่ออนเซนในญี่ปุ่น ( ´ ▽ ` )ノ

1. Noboribetsu Onsen (โนโบริเบ็ทสึ ออนเซน)

หมู่บ้าน Noboribetsu Onsen จังหวัด Hokkaido ภูมิภาค Hokkaido

Noboribetsu Onsen

Noboribetsu Onsen

Noboribetsu OnsenNoboribetsu Onsen ถือเป็นที่ตั้งของจิโกคุดานิ หรือหุบเขานรก (Hell Valley) เป็นหุบเขาที่มีทั้งบ่อโคลนและบ่อน้ำร้อนที่เดือดตามธรรมชาติ บางบ่อก็ร้อนจนเดือดพุ่งพล่านตลอดเวลา และในระหว่างการเดินทางเข้าไปถึงจิโกคุดานิ จะมีเส้นทางชมธรรมชาติ (Walking Trails) ทำเป็นสะพานไม้ให้เดินเข้าไป

[info-d] จากเมือง Sapporo นั่งรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) จากสถานี Sapporo มาลงสถานี Noboribetsu แล้วนั่งรถบัสจากหน้าสถานีมาลงป้าย Noboribetsu Onsen แล้วเดินต่ออีกประมาณ 400 – 600 เมตร
[info-t ]หุบเขานรก 10:00 – 15:00 น. (ปิด walking trails ช่วงฤดูหนาว)
[info-p] ฟรี
[info-w] www.noboribetsu-spa.jp

2. ซาโอ ออนเซน (Zao Onsen)

เมือง Yamagata จังหวัด Yamagata ภูมิภาค Tohoku

ซาโอ ออนเซน (Zao Onsen) ซาโอ ออนเซน (Zao Onsen)

ซาโอ ออนเซน (Zao Onsen) เมืองออนเซนเล็กๆ ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น บรรยากาศค่อนข้างเงียบ นักท่องเที่ยวนิยมมาแช่ออนเซนผ่อนคลายหลังจากเมื่อยล้าจากการเล่นสกีหรือเดินลุยหิมะในช่วงฤดูหนาว (ที่นี่เป็นแห่งสกีที่ได้ความนิยมในภูมิภาคโทโฮขุ)

[info-d] จากตัวเมือง Yamagata นั่งรถบัสสาย Zao-Onsen จากหน้าสถานี JR Yamagata ไปลงป้าย Zao-Onsen Bus Terminal
[info-t] ขึ้นอยู่กับสถานที่
[info-p] ขึ้นอยู่กับสถานที่ (200 – 700 เยน)

3. Kusatsu Onsen (คุซัทสึ ออนเซน)

เมือง Agatsuma จังหวัด Gunma ภูมิภาค Kanto

Kusatsu Onsen (คุซัทสึ ออนเซน) Kusatsu Onsen (คุซัทสึ ออนเซน)

คุซัทสึ ออนเซน เมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ได้รับการยกย่องเป็นแหล่งออนเซนเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่ง และเป็น 1 ใน 3 แหล่งอนนเซนที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย น้ำแร่ที่นี่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ 100% ที่ไหลออกมาจากตาน้ำ ต้นกำเนิดแห่งน้ำพุร้อนนี้อยู่ที่ภูเขาไฟชิราเนะ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ

[info-d] จากตัวเมือง Maebashi เมืองหลักของจังหวัด Gunma นั่งรถไฟ JR จากสถานี Shinmaebashi ไปลงสถานี Naganohara Kusatsu-guchi แล้วนั่งรถบัสไปอีก 30 นาที
[info-t] ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
[info-p] ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
[info-w] www.kusatsuonsen-international.jp

4. Manza Onsen (มังสะ ออนเซน)

เมือง Agatsuma จังหวัด Gunma ภูมิภาค Kanto

Manza Onsen (มังสะ ออนเซน) Manza Onsen (มังสะ ออนเซน)

Manza Onsen (มังสะ ออนเซน) น้ำแร่ของที่นี่มาจากภูเขาชิราเนะเช่นเดียวกับที่ Kusatsu Onsen และเป็นน้ำแร่ที่มีซัลเฟอร์มากที่สุดในญีปุ่น ว่ากันว่ามีสรรพคุณในเรื่องการรักษาโรคต่างๆ ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ (เมตาบอลิซึม) และการไหลเวียนของโลหิต

[info-d] จากตัวเมือง Maebashi เมืองหลวงของจังหวัด Gunma นั่งรถไฟ JR จากสถานี Shin-Maebashi ไปลงสถานี Manza Kazawaguchi แล้วนั่งรถบัสไปยัง Manza Onsen
[info-t] 10:00 – 17:00 น.
[info-p] ออนเซน 1,000 – 1,200 เยน (ขึ้นอยู่กับสถานที่)

5. Arima Onsen (อะริมะ ออนเซน)

เมือง kobe จังหวัด Hyogo ภูมิภาค Kansai

Arima Onsen (อะริมะ ออนเซน) Arima Onsen (อะริมะ ออนเซน)

Arima Onsen (อะริมะ ออนเซน) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องน้ำแร่มาสมัยตั้งแต่โบราณ เคยมีบันทึกไว้ว่าจักพรรดิโจเม (ค.ศ. 621 – 641) เสด็จมาแช่น้ำแร่ที่อะริมะแห่งนี้เป็นเวลานับหลายสิบวันเลยทีเดียว นอกจากนี้จักรพรรดิโคโตกุก็ทรงโปรดการแช่น้ำแร่ที่อะริมะและพักอยู่นานหลายวันเช่นกัน

[info-d] จากตัวเมือง Kobe นั่งรถไฟจากสถานี Shin-kobe สาย Hokushinkyuko Railway ไปลงสถานี Tanikami แล้วเปลี่ยนไปขึ้นสาย Shintetsu Arima-Sanda ไปลงสถานี Arimaguchi จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นสาย Shitetsu Arima ลงสถานี Arima Onsen แล้วเดินต่อประมาณ 500 เมตร
[info-t] ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงอาบน้ำ
[info-p] ตั้งแต่ 550 – 2,400 เยน
[info-w] www.arima-onsen.com

6. Dogo Onsen (โดโงะ ออนเซน)

เมือง Matsuyama จังหวัด ภูมิภาค Shikoku

Dogo Onsen (โดโงะ ออนเซน)

Dogo Onsen (โดโงะ ออนเซน)

Dogo Onsen (โดโงะ ออนเซน) เป็นหนึ่งในน้ำพุร้อนที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ ในญี่ปุ่น มีประวัติยาวนานมากกว่า 3,000 ปี โดดเด่นไปด้วยสถาปัตยกรรมของอาคารหลัก (Honkan) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1894 เป็นอาคารไม้และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ

[info-d] จากหน้าสถานี Matsuyama นั่งรถรางสาย 3, 5, 6, มาลงสถานี Dogo Onsen แล้วเดินตามถนน Dogo Shopping Arcade จนสุดปลายถนน (ระยะทางราว 300 เมตร)
[info-t] 06:00 – 22:00 น. (บางคอร์สปิด 23:00 น.)
[info-p] ค่าออนเซนตั้งแต่ 410 เยนขึ้นไป (ขึ้นอยู่แต่ละคอร์ส)

7. Beppu (Jigoku) บ่อน้ำพุร้อนเบปปุ 

เมือง Beppu จังหวัด Oita ภูมิภาค Kyushu

Beppu (Jigoku) บ่อน้ำพุร้อนเบปปุ Beppu (Jigoku) บ่อน้ำพุร้อนเบปปุ

เมือง Beppu เป็นเมืองที่แหล่งน้ำพุร้อนมีชื่อเสียงของจังหวัดโออิตะ ซึ่งจะมีรีสอร์ทที่พักเป็นแหล่งออนเซนอยู่รอบๆ เมือง แต่สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงก็คือ โปรแกรมทัวร์บ่อนรก (Beppu Jigoku Tour) มีทั้งหมด 8 บ่อหลักๆ หากใครจะเลือกเที่ยวชมแค่บางบ่อสามารถซื้อตั๋วแยกได้ หรือถ้าใครมีเวลาอยากเก็บให้ครบทุกบ่อก็ได้นะคะ เพราะแต่ละบ่อจะมีลักษณะและจุดเด่นแตกต่างกันไป

[info-d] จากตัวเมือง Oita นั่งรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) จากสถานี Oita ไปลงสถานี Beppu แล้วนั่งรถบัส Kamei Bus หมายเลข 5, 9, 24, 41 ไปลงป้าย Umijigoku mae เพื่อไปโซน Kannawa หากต้องการไปอีกโซนให้เดินไปป้าย Kannawa ขึ้นรถบัสหมายเลข 16 เพื่อไปโซน Shibaseki
[info-t] 08:00 – 17:00 น.
[info-p] บ่อละ 400 เยน ตั๋วรวม 8 บ่อ ราคา 2,000 เยน
[info-w] www.beppu-jigoku.com

8. Yufuin Onsen (ยูฟุอิน ออนเซน)

เมือง Yufuin จังหวัด Oita ภูมิภาค Kyushu

Yufuin Onsen (ยูฟุอิน ออนเซน)

Yufuin Onsen (ยูฟุอิน ออนเซน)

เมือง Yufuin เป็นอีกเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องสปารีสอร์ทของเกาะคิวชู ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาออนเซนท่ามกลางธรรมชาติ และนอกจากมีชื่อเสียงเรื่องออนเซนแล้ว ยูฟุอินยังถูกยกให้เป็นเมืองท่องเที่ยวแนวชิลล์ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและมีแม่น้ำไหลผ่าน

[info-d จากเมือง Fukuoka นั่งรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) จากสถานี Hakata ไปสถานี Yufuin แล้วเดินต่อเล็กน้อย
[info-t] ขึ้นอยู่กับแต่ละแห่ง
[info-p] ขึ้นอยู่กับแต่ละแห่ง ตั้งแต่ 200 – 800 เยน (ค่าแช่ออนเซนอย่างเดียว)

9. Kurokawa Onsen (คุโรคาวะ ออนเซน)

เมือง Kurokawa จังหวัด Kumamoto ภูมิภาค Kyushu

Kurokawa Onsen (คุโรคาวะ ออนเซน) Kurokawa Onsen (คุโรคาวะ ออนเซน)

Kurokawa Onsen (คุโรคาวะ ออนเซน) มีมาตั้งแต่เมื่อ 300 ปีก่อน เป็นออนเซนที่เด่นดังเรื่องการรักษาโรคตั้งแต่ช่วงกลางยุคเอโดะ ในอดีตที่นี่มีบ่อน้ำแร่อยู่หนึ่งบ่อ ซึ่งไดเมียวและนักเดินทางเคยใช้น้ำพุร้อนจากบ่อนี้ในการรักษาแผลและเชื่อกันว่าได้ผลดี ปัจจุบันบ่อนี้ได้รับการดูแลจากชาวบ้านและเปิดเป็นบ่อแช่น้ำพุร้อนสาธารณะ

[info-d] จากตัวเมือง Kumamoto จากสถานี Kumamoto นั่งรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) ไปลงสถานี Aso จากนั้นนั่งรถบัสสาย Kyushu Odan Bus for Beppu ไปยัง Kurokawa Onsen
[info-t] 08:30 – 21:00 น.
[info-p] ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
[info-w] www.kurokawaonsen.or.jp

10. Ibusuki Onsen (อิบุสุกิ ออนเซน)

เมือง Ibusuki จังหวัด Kagoshima ภูมิภาค Kyushu

Ibusuki Onsen (อิบุสุกิ ออนเซน)

Ibusuki Onsen (อิบุสุกิ ออนเซน)

เมือง Ibusuki นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องออนเซนแล้ว ที่นี่ยังขึ้นชื่อและเป็นแหล่งต้นแบบในการอบตัวในทรายร้อน (Sand Baths) หรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ซุนะมุชิ (sunamushi) ซึ่งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวนิยมมานอนฝังตัวภายใต้ทรายอุ่นๆ ในชุดยูคาตะเป็นจำนวนมาก  โดยจะมีบริการเป็นคอร์สรวมคือ อบทรายร้อนแล้วต่อด้วยแช่ออนเซน

[info-d] จากเมือง Kagoshima นั่งรถไฟ JR จากสถานี Kagoshima-chuo ไปลงสถานี Ibusuki แล้วนั่งรถบัสจากป้ายฝั่งตรงข้ามสถานีไปลงป้าย Sunamushi Kaikan-mae (ศูนย์อบทรายร้อน Saraku Natural Sunamushi Onsen Center) หรือเดินประมาณ 1.6 กิโลเมตร
[info-t] 08:30 – 20:30 น. (ขึ้นอยู่กับสถานที่)
[info-p] คอร์ส 1,080 เยน (อบทรายร้อน + แช่น้ำพุร้อน + ยูกะตะ) ค่าผ้าเช็คตัวและผ้าคลุมผมจ่ายต่างหาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่
[info-w] http://sa-raku.sakura.ne.jp/en (ศูนย์อบทรายร้อน Saraku Natural Sunamushi Onsen Center)

[icon sp] บทความที่เกี่ยวข้อง: มารยาทควรรู้ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น : สิ่งที่ไม่ควรทำในขณะแช่ออนเซน 

ที่มา : The Ultimate JAPAN Destinations

เดินสนามหญ้าชิบะซากุระ ณ Chichibu Hitsujiyama Park

SONY DSC
เที่ยวญี่ปุ่น สนามหญ้าชิบะซากุระ ณ สวนจิจิบุ ฮิสึจิยะมะ (Chichibu Hitsujiyama Park)

เที่ยวญี่ปุ่น สนามหญ้าชิบะซากุระ ซึ่งมาจากลักษณะของดอก “ชิบะซากุระ” ดอกไม้น่ารักที่ออกตามพื้นดินคล้ายๆ กับสนามหญ้าในประเทศญี่ปุ่น และมีสีชมพูสวยคล้ายกับดอกซากุระ เราสามารถพบชิบะซากุระได้แทบทุกพื้นที่ แต่ที่ สวนจิจิบุ ฮิสึจิยะมะ (Chichibu Hitsujiyama Park) เป็นสวนยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ต่างให้ความสนใจมาถ่ายรูปความอลังการของทุ่งดอกชิบะ ด้วยดอกไม้สีชมพูประมาณ 40,000 ต้น ปกคลุมบนพื้นที่ขนาดใหญ่ 300,000 ตารางเมตร

ใครที่ชื่นชอบความสวยงามของดอกไม้สีชมพูก็สามารถมาเที่ยวชมกันได้ สวนจิจิบุ ฮิสึจิยะมะ (Chichibu Hitsujiyama Park) จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมือง Chichibu ดอกไม้จะเบ่งบานราวกับปูพรมในช่วงประมาณกลางเดือนเมษายนยาวไปจนถึงพฤษภาคม จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมือง Chichibu

เที่ยวญี่ปุ่น สนามหญ้าชิบะซากุระ ณ สวนจิจิบุ ฮิสึจิยะมะ (Chichibu Hitsujiyama Park)
[info-t “”] 08:00-17:00 น. (มีดอกชิบะซากุระให้ชมในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.)
[info-d “”] เริ่มต้นที่สถานี Ikebukuro ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษของเอกชน นั่งไปลงสถานี Seibu Chichibu จากนั้นเดินต่อประมาณ 850 เมตร
[info-p “”] ค่าเข้าชมทุ่งชิบะซากุระ 300 เยน

ที่มาข้อมูล : หนังสือ The Ultimate JAPAN Destinations | ขอบคุณที่มาภาพประกอบ : Chichibu City Sightseeing Division

ประสบการณ์เที่ยวญี่ปุ่นแช่ออนเซ็นครั้งแรกที่ Oedo Onsen Monogatari โตเกียว

แช่ออนเซ็น ออนเซ็น โรงอาบน้ำ Oedo Onsen Monogatari โอเอโดะ โมโนกาตาริ
ประสบการณ์แช่ออนเซ็นครั้งแรกในชีวิตที่ Oedo Onsen Monogatari ที่เดียวมีครบทุกรสชาติ

ประสบการณ์แช่ออนเซ็นครั้งแรกที่ Oedo Onsen Monogatari (โตเกียว)

แช่ออนเซ็นที่ Oedo Onsen Monogatari ออนเซ็นในโตเกียว

เมื่อพูดถึงเที่ยวญี่ปุ่น นอกจากการไปเดินเล่น ชมวิว ถ่ายรูปเก๋ๆ แล้ว พลาดไม่ได้กับการแช่ออนเซ็น ถึงแม้ว่าการแก้ผ้าลงแช่ออนเซ็นจะไม่ค่อยเข้ากับคนไทยนัก แต่พอไปถึงเมืองเค้าหลายสิ่งที่ไม่เคยทำในเมืองไทยก็คงจะต้องหลิ่วตาตามดู จะรู้ว่าผู้คนที่ไปโรงอาบน้ำหรือบ่อแช่ออนเซ็นไม่มีใครเค้ามาสนใจรูปร่าง สัดส่วน หรือมองทำให้เรารู้สึกอายแม้แต่น้อย

ทริปนี้เลยขอแนะนำ ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari) ที่อยู่ย่าน Odaiba ของเมืองโตเกียว ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ที่สำหรับแช่ออนเซ็นเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่สันทนาการ ซึ่งมีกิจกรรมสนุกสนานมากมายคอยต้อนรับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ ไม่ขอบรรยายมากตามมาดูบรรยากาศกันเลยดีกว่าค่ะ

Oedo Onsen Monogatari ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ
บริเวณหน้าทางเข้า Oedo Onsen Monogatari

วันที่เดินทางไป ถึงประมาณ 18.30 น. (เดือนตุลาคม 59) ท้องฟ้ามืดแล้ว แถมฝนตกอีกต่างหาก อากาศค่อนข้างเย็นเหมาะกับการลงแช่ออนเซ็นมากๆ บริเวณหน้าโรงแช่ออนเซ็นด้านหน้าดูใหญ่อลังการมาก ข้างในก็ใหญ่ไม่แพ้กันค่ะ เข้ามาข้างในกันแล้วก็ต้องฝากรองเท้าที่ตู้ฝากรองเท้ากันก่อนนะคะ ตู้รองเท้าจะมีเบอร์และกุญแจให้ล็อค ไม่ต้องกลัวรองเท้าจะหายค่ะ

ออนเซ็น โอเอโดะ ออนเซ็น โมโนกาตาริ Oedo Onsen Monogatari
บริเวณโถงทางเข้า ทางซ้ายมือจะเป็นตู้ล็อกเกอร์สำหรับเก็บรองเท้า
เคาน์เตอร์ลงทะเบียน ออนเซ็น โอเอโดะ ออนเซ็น โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
เคาน์เตอร์สำหรับลงทะเบียนรับพวงกุญแจข้อมือ สำหรับไขตู้ล็อคเกอร์เก็บของ และบาร์โค้ดสำหรับใช้จ่าย

หลังจากที่เก็บรองเท้ากันเรียบร้อยก็มาต่อคิวที่เคาน์เตอร์เพื่อลงทะเบียนรับกุญแจข้อมือกันก่อนค่ะ  ข้อมือนี้จะเป็นมีแถบบาร์โค้ดสำหรับการใช้จ่ายด้านใน ซึ่งจะคิดเงินทีเดียวหลังใช้บริการเสร็จแล้ว นอกจากนี้ที่ข้อมือยังมีกุญแจล็อคเกอร์มาให้สำหรับเก็บของด้วย

พอได้กุญแจข้อมือเรียบร้อยเราก็ตรงดิ่งมาเลือกชุดยูกาตะสวยๆสำหรับเปลี่ยนใส่ก่อนเข้าไปข้างในกันค่ะ ชุดยูกาตะจะมีแยกหญิง และชายให้เลือก ผู้ชายมีให้เลือก 4 ลายทางฝั่งซ้ายมือ ส่วนผู้หญิงจะมีให้เลือก 5 ลายทางขวามือ เลือกชุดเสร็จจะมีผ้าโอบิ หรือผ้าพันเอวให้เลือกตรงเคาน์เตอร์ สามารถเลือกหยิบสีสันได้ตามใจชอบ จะหยิบโทนเดียวกับชุด หรือสีสันที่ตัดกันก็ไม่ผิดแปลก สามารถเลือกได้หมดจ้า

เคาน์เตอร์เลือกชุดยูกาตะ ออนเซ็น โอเอโดะ ออนเซ็น โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
เคาน์เตอร์สำหรับเลือกชุดยูกาตะ (ฝั่งซ้ายของผู้ชาย ฝั่งขวาของผู้หญิง)
เคาน์เตอร์เลือกชุดยูกาตะ ออนเซ็น โอเอโดะ ออนเซ็น โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
ชุดยูกาตะจะมีไซส์ให้เลือกจากความสูง แต่พนักงานที่เคาน์เตอร์จะคำนวณความสูงจากสายตา เราแค่เลือกลายก็พอค่ะ
ผ้าคาดเอว สำหรับชุดยูกาตะ ชุดสำหรับเปลี่ยนใส่ในบริเวณออนเซ็น โอเอโดะ ออนเซ็น โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
ผ้าคาดเอว สำหรับชุดยูกาตะ เลือกสีสันได้ตามความชอบ

ถัดมาพอได้ชุดแล้วก็ต้องไปเปลี่ยนชุดกันค่ะ ห้องสำหรับเปลี่ยนชุดจะแยกโซนหญิงกับชายออกจากกัน ล็อคเกอร์ของแต่ละคนจะมีเบอร์ตามกุญแจที่ข้อมือเดินหาและไขเปิดได้เลยค่ะ สำหรับใครไม่คุ้นชินอาจแปลกใจได้ง่ายๆ เพราะเข้ามาที่ห้องแต่งตัวนี้หลายๆคนก็จะถอดเปลือยเปลี่ยนเสื้อผ้า (เห็นแว่บแรกก็ตกใจเล็กน้อย 555+) สำหรับใครที่ใส่ชุดยูกาตะไม่เป็นที่ประตูตู้ล็อคเกอร์จะมีขั้นตอนสอนการใส่ชุดอยู่ด้วยค่ะ เหมือนรูปด้านล่างนี้เลยค่ะ

วิธีการใส่ชุดยูคาตะ
วิธีการใส่ชุดยูคาตะ จาก ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)

ขั้นตอนการเปลี่ยนชุดยูกาตะที่ถูกต้องและสวยงาม

  1. ถอดชุดนอก และสวมชุดยูกาตะคลุมทับชุดชั้นใน
  2. สวมชุดโดยให้ชายข้างซ้ายทับด้านขวา (ขวาทับซ้ายถือเป็นการไว้ทุกข์ของคนญี่ปุ่น)
  3. นำผ้าคาดเอวพันรอบตัว
  4. ผูกผ้าเอวทำเป็นโบว์ไว้ข้างหน้า จัดแต่งให้สวยงาม
  5. หมุนผ้าคาดเอวให้โบว์ที่ผูกไว้ไปอยู่ด้านหลังก็เป็นอันเรียบร้อย
ชุดยูกาตะ ออนเซ็น โอเอโดะ ออนเซ็น โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
แบบชุดยูกาตะที่เลือก โชว์ด้านหน้าและด้านหลัง ใส่เข้ากับบรรยากาศแล้วก็ลุยเลยค่ะ
ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
กุญแจข้อมือ สำหรับไขตู้ล็อกเกอร์พร้อมบาร์โค้ดสำหรับใช้จ่ายภายในบริเวณ Oedo Onsen Monogatari

เปลี่ยนเรียบร้อยก็ปิดล็อคเกอร์สำรวจว่าล็อคดีแล้วก็เข้าไปข้างในกันเลยค่ะ แว่บๆ พอเปิดม่านออกมาเท่านั้นแหละ อุตะ!! นี่อีกโลกนึงเลยหรอ ข้างในจัดแจงสถานที่แบบงานวัดน่ารักมาก ทุกคนแต่งชุดยูกาตะ เดินเล่นถ่ายรูป สนุกสนาน ที่นี่ช่างมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเต็มไปหมด เรามาดูบรรยากาศก่อนก่อนเลยค่ะ

ภายใน ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
บริเวณโถงกลางของออนเซ็น Oedo Onsen Monogatari
ซุ้มกิจกรรมโบราณภายใน Oedo Onsen Monogatari
ซุ้มกิจกรรมโบราณภายใน Oedo Onsen Monogatari
กิจกรรมภายใน โรงอาบน้ำ แช่ออนเซ็น Oedo Onsen Monogatari
แม่หมอดูลายมือก็มีนะคะ (แต่จะฟังภาษาญี่ปุ่นออกไม๊อะ)
กิจกรรมน่าสนุก และร้านค้าภายในบริเวณ โรงอาบน้ำ โรงแช่ออนเซ็น Oedo Onsen Monogatari
กินสายไหมกับสาวๆ หรือจะซื้อขนมโบราณร้านด้านหลังก็ได้นะคะ
ซุ้มอาหารและที่นั่งพักภายในบริเวณโถงกลาง Oedo Onsen Monogatari
ซุ้มอาหารและที่นั่งพักภายในบริเวณโถงกลาง Oedo Onsen Monogatari
แช่ออนเซ็น Oedo Onsen Monogatari
บรรยากาศบริเวณที่นั่งพักและรับประทานอาหารในโถงกลาง มีโต๊ะคอยให้บริการเพียงพอต่อผู้คนที่มาเที่ยวที่นี่

ข้างในนี้โดยรอบจะมีซุ้มขายของโบราณ ซุ้มเล่นกิจกรรมแบบดั้งเดิม และซุ้มขายอาหารอยู่โดยรอบ ซึ่งจะมีโต๊ะให้เราได้ซื้ออาหาร หรือนั่งพักบริเวณกลางลาน อาหารมีหลากหลายให้เลือกรับประทาน ราคาไม่แพงนัก หรือใครจะนั่งคุยนั่งดริ้งแอลกอฮอล์ก็มีให้เลือก เรามาถึงที่นี่กันยังไม่ได้ทานอะไรมาก็ขอจัดหนักไปหนึ่งมื้อด้วยราเมนญี่ปุ่นรสเผ็ดชามโต

ราเมนญี่ปุ่น ที่ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
เมนู Spicy Ramen (ราเมนแบบเผ็ด)

พอนั่งอิ่มอืดกันซักพักก็ถึงเวลาแกการไปทำกิจกรรมสำคัญ จะไปแช่ออนเซ็นแก้ผ้าเลยก็ยังกล้าๆกลัวๆ งั้นขอไปแช่เท้ากันก่อนดีกว่า ที่นี่มีโซนกลางแจ้งสำหรับการแช่เท้าเป็นลานกว้าง จัดสวนได้สวยงาม มีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆหลายโซน นอกจากนี้ก็ยังมีจุดสำหรับทำสปาปลา ให้ปลามาตอดเท้าด้วย (มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม)

บริเวณสวนสำหรับแช่เท้า ในออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
บริเวณสวนสำหรับแช่เท้า ซึ่งเป็นสวนแบบกลางแจ้ง
บริเวณสวนแช่สปาเท้า ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
จุดนวดเท้าแบบธรรมชาติด้วยหิน เจ็บๆ จั๊กจี้เล็กน้อยแต่ดีต่อสุขภาพเท้าค่ะ

หลังจากที่นั่งแช่เท้าเพลินมาพักใจ ก็ฮึดเอาวะ! ไหนๆก็มาละ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ถอดเป็นถอด ซึ่งโซนแช่ออนเซ็นจะแยก หญิงและชาย โดยจะมีป้ายผ้าตัวอักษร ผู้ชายป้ายสีน้ำเงิน ส่วนผู้หญิงป้ายสีแดง พอเข้ามาในบริเวณนี้เราก็จะเจอกับเคาน์เตอร์ผ้าขนหนู ซึ่งพนักงานจะหยิบให้ 2 ผืน ผื่นเล็กกับผืนใหญ่ จากนั้นเราก็จะเดินไปที่ตู้ล็อคเกอร์เพื่อถอดชุดยูกาตะเก็บไว้พร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่ ซึ่งไม่อนุญาตให้นำเข้าไปในห้องอาบน้ำ ส่วนผ้าขนหนูผืนเล็กสามารถเอาเข้าไปได้ค่ะ

แช่ออนเซ็น โรงอาบน้ำออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
ทางเข้าโซนแช่ออนเซ็น ซึ่งจะแบ่งเป็นโซนผู้ชาย (ผ้าสีน้ำเงิน) โซนผู้หญิง (ผ้าสีชมพู)

สำหรับในบริเวณนี้ห้ามถ่ายรูปใดๆค่ะ เพราะเข้ามาก็เห็นคนเดินโป๊ไปมาเป็นเรื่องปกติ (โอ้ย! เขิลยังไม่ชิน) หลังจากรับผ้าขนหนูมาแล้วก็ยืนหันหน้าเข้าตู้ล็อคเกอร์เก้อๆเขินๆอยู่พักนึง ในที่สุดก็ถอดวะ (นมเล็กก็เล็ก ชั้นจะไม่อายแล้ว 555+) พอจะเดินออกไปเรามีผ้าขนหนูผืนน้อย ก็เอามาถือบังด้านหน้า ช่วยลดความรู้สึกเขิลอายไปได้บ้าง ภายในบริเวณโรงอาบน้ำ (ของผู้หญิง) จะมีโซนในร่ม และกลางแจ้ง มีบ่อหลายบ่อให้เลือกลงแช่ นอกจากนี้ยังมีห้องอบซาวน่าให้เข้าไปใช้ด้วย สำหรับใครที่แช่ไปซักพักแล้วรู้สึกอึดอัด แนะนำให้เดินออกมาแช่โซนกลางแจ้ง ซึ่งจะมีทั้งแบบบ่อรวม และแบบถังไม้ให้แช่คนเดียวด้วย

หมายเหตุ: อุณหภูมิน้ำที่นี่จะรักษาระดับอยู่ที่ 40 องศา (ไม่รู้เค้าทำยังไง แต่ก็ดีเพราะจะได้ไม่รู้สึกร้อนๆเย็นๆ)

ช่วงแรกที่ก้าวเท้าลงไปจะรู้สึกว่าน้ำข้างร้อน (ร้อนมาก 555) แต่พอซักพักร่างกายจะเริ่มปรับตัวได้ ระหว่างที่นั่งแช่ออนเซ็นคนเดียวเราก็จะได้ชมบรรยากาศโดยรอบ และผู้คนที่มาที่นี่ (แหม เห็นผู้หญิงด้วยกันแบบนี้ก็ฟินอยู่เนอะ อิอิ) พอแช่กันจนเต็มอิ่มแล้ว ก่อนออกไปจะมีโซนนั่งอาบน้ำ ซึ่งแต่ละล็อคจะมีเก้าอี้ ฟักบัว และเครื่องอาบน้ำเตรียมไว้ให้เราได้ชะล้างกันเสียก่อน พออาบน้ำเสร็จเข้ามาในโซนห้องแต่งตัว ก็เดินไปไขล็อคเกอร์หยิบผ้าขนหนูผืนโตมาเช็ดตัวได้ ซึ่งในโซนห้องแต่งตัวยังมีโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกระจกเรียงแถวยาวให้ได้นั่งแต่งหน้าแต่งตา ไดร์ผมกันได้อีกด้วย เรียกได้ว่าอาบน้ำเสร็จกลับไปบ้านนอนได้เลยทันที

พอเดินออกมาจากโซนแช่ออนเซ็นกลับมาที่โซนโถงงานวัด รู้สึกเบาตัวสุดๆ แต่ยังไม่อยากรีบกลับนะ เพราะที่นี่อยู่ได้จนถึงเช้า (เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มหลังเวลา 02.00 น.) แต่ต้องกลับก่อนรถไฟหมด ก็ยังพอมีเวลานั่งดริ้งกันซักเล็กน้อย

ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
ดริ้งกันก่อนกลับด้วยกัยมั้ยคะ อิอิ
ออนเซ็น โอเอโดะ โมโนกาตาริ (Oedo Onsen Monogatari)
บรรยากาศให้แก่การนั่งดริ้งสุดๆ
แช่ออนเซ็น โรงอบน้ำ Oedo Onsen Monogatari
ขอสั่งกับแกล้มมาอีกซักชุดนึงก่อนกลับละกันเนอะ ^___^

พอถึงเวลากลับเราก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คืนชุดยูกาตะตามจุดที่เค้าจัดไว้ให้ แล้วเดินออกเช็คเอาท์ที่เคาน์เตอร์ด้านนอก โดยเอาข้อมือให้พนักงานเช็คราคา (ขั้นตอนตามรูปด้านล่างเลยค่ะ)  เบ็ดเสร็จวันนี้เราต้องจ่าย ค่าเข้า(ค่าบริการอย่างเดียว 2,480 เยน)+รวมค่าอาหาร ต่อคนประมาณ 4000 เยน (ประมาณ 1400 บาท)

แช่ออนเซ็นครั้งแรกในชีวิตที่ Oedo Onsen Monogatari ที่เดียวมีครบทุกรสชาติ
ขั้นตอนก่อนกลับออกจากการแช่ออนเซ็นที่ Oedo Onsen Monogatari

สรุปออนเซ็นที่นี่ ถือว่าคุ้มค่าราคาบริการ ประทับใจสุดๆ ให้ 5 ดาวไปเลย ถ้ามาโตเกียวอีกจะมาซ้ำอีกแน่นอนค่ะ

แช่ออนเซ็น Oedo Onsen Monogatari
ไม่อยากกลับเลย แต่ต้องกลับกลับแล้วจ้า รถไฟหมดเที่ยงคืน เดี๋ยวไม่มีรถกลับ T T

ประสบการณ์แช่ออนเซ็นครั้งแรกที่ Oedo Onsen Monogatari (โตเกียว)
[info-p ] คนละ 2,480 เยน [หลัง 18.00 น. เหลือเพียง 1,980 เยน]
[info-t ]
– เวลาทำการ : 11.00-9.00 (เข้าบริการได้ก่อน 7.00 น.)
– วันเสาร์,อาทิตย์ และวันหยุด คิดเพิ่มอีก 200 เยน / ออกหลังเวลา 2.00 น. คิดเพิ่มอีก 2,000 เยน
– วันปิดทำการ : มีปิดทำความสะอาดเดือนละครั้ง หลังเวลา 23.00 น.
[info-d ] นั่งสาย JR Yamanote ลงที่สถานี Shimbashi แล้วต่อรถไฟ Yurikamame มาลงที่สถานี Telecom Center
[info-w ] http://daiba.ooedoonsen.jp/en
[info-g ] 35.615482, 139.777498

[icon sp] บทความที่เกี่ยวข้อง: มารยาทควรรู้ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น : สิ่งที่ไม่ควรทำในขณะแช่ออนเซน 

[icon sp] บทความที่เกี่ยวข้อง: แนะนำ 10 สถานที่ แช่ออนเซนในญี่ปุ่น

เรื่องและภาพ : @ipookpui DPlus Guide Team

เดินทางเหนื่อยนักก็ (นอน) พักก่อน ที่โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง
รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

หลายคนคงพอได้รู้จัก sleeep box by MIRACLE โรงแรมแคปซูลที่สนามบินดอนเมือง กันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ ช่วงที่โรงแรมเปิดตัวใหม่ๆ ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะทีเดียว ถึงความคุ้มค่าต่อราคาที่พัก ว่าขนาดห้องจะเป็นอย่างไร? ใหญ่หรือเล็ก? ราคาแพงไหม? และมีบริการอะไรเพิ่มเติมบ้าง? วันนี้ ทีมงาน DPlus Guide เลยขออาสาพามารีวิวให้รู้กันไปเลย!

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง
รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE อยู่ภายใต้การดูแลของผู้บริหารโรงแรมมิราเคิล ตัวโรงแรมแคปซูลดังกล่าวตั้งอยู่ที่ อาคารผู้โดยสาร 2 ชั้น 4 สนามบินดอนเมือง หากเดินเข้ามาทางประตู 9 แล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอบันไดเลื่อน ขึ้นบันไดเลื่อนไปปุ๊บ จะเจอ sleeep box by MIRACLE ปั๊บเลยค่ะ

ประตู 9 อาคารผู้โดยสาร 2 ชั้น 4 สนามบินดอนเมือง
โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง ไปยังไง เริ่มต้นให้มาที่ ประตู 9 อาคารผู้โดยสาร 2 ชั้น 4 ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ก่อนค่ะ
บันไดเลื่อนทางซ้ายของ ประตู 9 อาคารผู้โดยสาร 2 ชั้น 4 สนามบินดอนเมือง
พอเดินเข้ามาทางประตู 9 แล้ว ให้เลี้ยวซ้ายจะเจอบันไดเลื่อน ขึ้นบันไดเลื่อนไปเลยค่ะ
ขึ้นบันไดเลื่อนไปปุ๊บ จะเจอ sleeep box by MIRACLE เลย
ขึ้นบันไดเลื่อนไปปุ๊บ จะเจอ sleeep box by MIRACLE เลย :)
ขึ้นบันไดเลื่อนไปปุ๊บ จะเจอโรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE เลย
เข้าไปกันเถอะค่ะ Let’s go~!

เมื่อเข้ามาแล้วจะเจอล็อบบี้สำหรับเช็กอิน และเคาน์เตอร์ให้บริการ Lounge & Coffee Bar ในยามที่เราหิวด้วยค่ะ

ด้านหน้าเคาน์เตอร์บาร์ มีให้บริการน้ำและอาหาร

มาถึงก็กรอกเอกสารตามปกติ ซึ่งตรงนี้ต้องใช้เลขที่พาสปอร์ต หรือถ้าเราเป็นคนไทย ก็ใช้บัตรประชาชนแทนได้ค่ะ (ทีมงาน DPlus Guide เราพักแบบค้าง 1 คืน เช็กอินตอน 21:00 น.เช็กเอ้าท์ ตอนตี 04:30 น.)

เอกสารสำหรับกรอกเพื่อเข้าพัก โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE
เอกสารสำหรับกรอกเพื่อเข้าพัก โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE

ราคาที่พัก

โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE ไม่ได้คิดค่าบริการเป็นคืนค่ะ แต่จะนับเวลาเป็นชั่วโมง (แต่ก็มีราคาพิเศษสำหรับคนต้องการจะพักค้างคืนนะ!)

เหมาะสำหรับคนที่มีไฟลท์ดึก หรือกะนอนเอาแรง พักผ่อนฆ่าเวลาระหว่างรอไฟลท์ ซึ่งถ้าใครมีไฟลท์บินกลางดึกที่ทำให้มีเวลานอนพักแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินในราคาสำหรับทั้งคืน เลือกจ่ายตามจำนวนชั่วโมงที่พักก็พอ ^^

  • ช่วงเวลา 06:00 – 20:00 น. ชั่วโมงแรก 500 บาท ชั่วโมงถัดไป: คิดเพิ่มชั่วโมงละ 300 บาท ต่อ 1 ห้อง (พักได้ 2 คนต่อห้อง)
  • ช่วงเวลา 20:00 – 06:00 น.
    – พักแบบข้ามคืน ราคา 2,500 บาท (พักได้สูงสุด 2 คนต่อห้อง + ได้รับคูปองอาหารมูลค่า 200 บาท)
    – ราคาเหมาขั้นต่ำ 3 ชั่วโมง ราคา 1,500 บาท ต่อ 1 ห้อง ชั่วโมงถัดไป คิดเพิ่มชั่วโมงละ 300 บาท (พักได้ 2 คนต่อห้อง)

*หากมีแขกเข้าพักมากกว่า 2 คน จะคิดราคาเพิ่มท่านละ 300 บาท

นอกจากนี้ยังมีบริการห้องอาบน้ำด้วยค่ะ สำหรับผู้ที่ต้องการอาบน้ำอย่างเดียว (ไม่ได้เข้าพัก) เผื่อใครเพิ่งลงจากไฟลท์มา อยากอาบน้ำก็แวะมาใช้บริการกันได้ ค่าบริการห้องอาบน้ำ ราคาท่านละ 300 บาท ค่ะ

ทางเดินก่อนเข้าไปถึงห้องพัก sleeep box by MIRACLE สะอาดทีเดียวค่ะ
ทางเดินก่อนเข้าไปถึงห้องพัก สะอาดทีเดียวค่ะ ระหว่างโซนล็อบบี้กับโซนห้องพักนี้ จะมีประตูกลางกั้นอยู่ ประตูนี้ต้องให้เจ้าหน้าที่เปิดให้ก่อนถึงจะเข้ามาได้ค่ะ

กรอกเอกสารเสร็จ จะได้รับกุญแจและคูปองสำหรับทานอาหารมูลค่า 200 บาทค่ะ จากนั้นพนักงานก็พาเราไปที่ห้องค่ะ

ทีมงาน DPlus Guide พักห้อง 207 ก่อนจะเข้าห้อง ก็แอบทำตามธรรมเนียมเล็กน้อย เคาะห้อง ไขกุญแจ อืมมมได้กลิ่นสีห้องใหม่เตะจมูกเลย (แอดมินไปรีวิวช่วงเดือน เม.ย. 2559 …คิดว่าตอนนี้กลิ่นห้องใหม่น่าจะหายแล้วแหละค่ะ)

ห้องพัก โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE มีแบ่งเป็นห้อง เป็นสัดเป็นส่วนแยกกับแขกท่านอื่น ประตูห้องล็อกได้

ห้องพัก โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE มีแบ่งเป็นห้อง
ห้องพักที่นี่มีประตูแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนแยกกับแขกท่านอื่น ประตูห้องล็อกได้

ถึงจะบอกว่าเป็นโรงแรมสไตล์ “โรงแรมแคปซูล” แต่สถานที่จริงไม่ได้คับแคบแบบโรมแรมแคปซูลทั่วไปค่ะ ที่พักแบ่งเป็นห้องชัดเจน มีความเป็นส่วนตัว หนึ่งเตียงมีหมอนให้ 2 ใบ สำหรับนอนได้ 2 คน พอเข้าไปในห้องแล้วยังพอมีที่ให้วางของ จัดกระเป๋าอยู่ (แต่คนสองคนเดินสวนกันเริ่มคับแคบละ 5555) ถือว่ากว้างกว่าโรงแรมแคปซูลทั่วไปในต่างประเทศมีแค่ช่องให้นอนแน่นอน ^^

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง
หนึ่งห้องพักเข้าพักได้ 2 คนค่ะ มีเตียงที่นอนได้ 2 คนพอดี

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

เพราะฉะนั้นอาจะเรียกได้ว่า sleeep box by MIRACLE เป็นโรงแรมขนาดเล็ก ที่หยิบยืมคอนเซปต์ของ “โรงแรมแคปซูล” มาเฉพาะด้านการให้บริการเข้าพักช่วงสั้นๆ ระหว่างรอเดินทาง แต่ขนาดห้องที่นี่ใหญ่กว่าโรงแรมแคปซูลจริงๆ ค่ะ

วางข้าวของก็เริ่มสำรวจห้องเลยว่ามีอะไร ในห้องพักจะมีโทรทัศน์ และน้ำดื่มพร้อมแก้วน้ำเอาไว้ให้ และที่ปลื้มมาก คือมีห้องน้ำส่วนตัวให้ค่ะ! ห้องน้ำกว้างพอสมควร อุปกรณ์ในห้องน้ำครบครันหายห่วง

ห้องพัก โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE

แต่… หันไปดูที่โถชักโครก อ้าววว ไม่มีสายชำระเหรอ (ยืนสตันไป 3 วิฯ) ทดลองใช้เครื่องทำน้ำอุ่น น้ำก็อุ่นกำลังดีค่ะ แต่เจ้าฝักบัวเนี่ยสิ ไหลแรงมากกก น้ำนี่กระจายทั่วห้อง ผ้าม่านห้องน้ำก็ไม่ได้ช่วยอะไร เอาเป็นว่าตอนเอาเสื้อผ้าเข้ามา วางอย่างระมัดระวังกันหน่อยนะคะ (ฮือ T_T)

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

อาบน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนอน โอยยย ที่นอน หมอน นุ่มดีจัง คืนนี้หลับเป็นตายแน่ ห้องพักไม่ได้เก็บเสียงสักเท่าไร ทำให้ได้ยินเสียงจากภายนอก ทั้งเสียงรถบนถนนบ้าง เสียงประชาสัมพันธ์จากสนามบินบ้าง หรือเสียงจากเพื่อนข้างห้องบ้าง

ตื่นเช้ามาก็รีบอาบน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของ เพื่อเช็กเอาต์เตรียมบินไฟลท์เช้า (มากกก) แต่ก่อนจะเช็กเอาต์ แอดเอาคูปองที่ได้ตอนเช็กอินไปหาอะไรรองท้องที่ sleeep box Lounge & Coffee Bar ซึ่งอยู่ด้านหน้าตรงเคาน์เตอร์เลย

คาเฟ่เครื่องดื่ม sleeep box Lounge & Coffee Bar
ราคาเครื่องดื่มที่มีให้เลือกที่ sleeep box Lounge & Coffee Bar

มีอาหารจานเดียว (ข้าวต้ม ข้าวผัด ข้าวผัดกะเพรา), ของว่าง (เบเกอรี่ แซนด์วิช), เครื่องดื่มร้อน-เย็น / ปั่น แถมยังเปิดตลอด 24 ชั่วโมงด้วย (คูปองนี้มีมูลค่า 200 บาทนะคะ เมนูที่แอดเลือกทานเค้กกล้วยหอม 1 ชิ้น และกาแฟ 1 แก้วค่ะ)

ขนมและกาแฟ จาก sleeep box Lounge & Coffee Bar
ขนมและกาแฟ ที่มีให้บริการจาก sleeep box Lounge & Coffee Bar น่ากินเชียว ^^

หากใครอยากจะลองพักแบบค้างคืน หรือเป็นรายชั่วโมง ก็แวะ walk in ไปใช้บริการที่ sleeep box by MIRACLE โรงแรมแคปซูลที่สนามบินดอนเมือง กันได้เลยนะคะ เคาน์เตอร์จะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อพนักงานต้อนรับ โทร. 02-535-7555 หรือหากใครเคยเข้าพักมาแล้ว อยากแชร์ประสบการณ์ เม้าท์มอยร่วมกับแอดก็ได้เช่นกันนะคะ

สำรองที่พัก 0-2535-7555 เคาน์เตอร์เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

รีวิว โรงแรมแคปซูล sleeep box by MIRACLE สนามบินดอนเมือง

เม้าท์มอยส่งท้าย

  • ใครที่เข้าห้องพักแล้วเบื่อๆ อยากออกมาเดินเล่นสวยๆ หรือหาอะไรทานบริเวณชั้น 3 แล้วละก็ แนะนำให้ทานอาหาร หรือซื้ออาหารไปให้พร้อมก่อนเช็กอินนะคะ เพราะก่อนจะเข้าถึงโซนห้องพักจะมีประตูกลางอยู่ ต้องตามแม่บ้านมาเปิดประตูกลางให้คะ (แอดเคยโดนมาแล้ว)
  • ว่าด้วยเรื่อง “แอร์” เนื่องจากห้องพักแต่ละห้องจะไม่มีเครื่องปรับอากาศติดตั้ง อากาศในห้องจะหนาวมากกก แอดนี่นอนสั่นเกือบทั้งคืน แต่ตอนนี้ไม่รู้จะหายหนาวหรือยังนะคะ

[info-w] sleepboxbymiracle.com

เรื่องและภาพ: DPlus Guide Team

ปีนภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) …ชีวิตหนึ่งควรต้องลอง!! (ตอนที่ 2) (จบ)

ปีนภูเขาไฟฟูจิ…ชีวิตหนึ่งควรต้องลอง!! (ตอนที่ 2)

ครั้งหนึ่งในชีวิต… เราคือผู้พิชิตภูเขาไฟฟูจิ

ความเดิมตอนที่แล้ว ปีนภูเขาไฟฟูจิ…ชีวิตหนึ่งควรต้องลอง!! (ตอนที่ 1) หลังจากตัดสินใจจะปีน ภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji)  เราก็เดินทางจาก Station 5 จนมาถึง Station 8 หลักจากเหน็ดเหนื่อยกับการปีนภูเขาไฟฟูจิมาถึง 3 สถานี ก็ใกล้จะถึงที่พักของเราแล้ว

เที่ยวญี่ปุ่น ปีนภูเขาไฟฟูจิ ถึงแล้ว Station 8
ถึงแล้ว Station 8 ภูเขาไฟฟูจิ

แต่พอเพื่อนเดินออกมาบอกว่าที่พักเรายังต้องเดินขึ้นไปต่ออีกน่าจะประมาณอีก 2 ชั้นได้ จากที่เหนื่อยอยู่แล้วนี่แทบจะเป็นลม ฮ่าๆๆๆ

พอมองขึ้นไปเอิ่มมม ฉันต้องปีนขึ้นไปอีกหรอเนี่ย แต่ก็ต้องปีนสินะ ^_^ เอาไหนๆ ก็ไหนๆ ปีนขึ้นไปอีกนิด! สู้ๆ! (แต่ความจริง ไม่นิดเลย TT)

เที่ยวญี่ปุ่น ปีนภูเขาไฟฟูจิ ถึงแล้ว Station 8
ปีนภูเขาไฟฟูจิ ถึง Station 8 แล้ว แต่เรายังต้องปีนกันต่อ

เที่ยวญี่ปุ่น ปีนภูเขาไฟฟูจิ ถึงแล้ว Station 8และแล้วเราก็มาถึงที่พัก โรงแรม Gunso – Muro โรงแรมบนภูเขาไฟฟูจิ ช่วงเวลาประมาณ 6 โมงนิดๆ ใช้เวลาปีนขึ้นราวๆ 7 ชั่วโมงได้ ส่วนที่พักของเราจะมีป้ายรูปภูเขาไฟฟูจิตั้งเด่นเป็นสง่า บอกระดับความสูง 3,250 m. ถึงที่พักแล้วจะรออะไรก็รีบเข้าไปเช็กอินสิคะ ^_^

เที่ยวญี่ปุ่น พิชิตภูเขาไฟฟูจิ ที่ตั้งโรงแรมบนภูเขาไฟฟูจิ ระดับความสูง 3,250 m.
ระดับความสูง 3,250 เมตร โรงแรมเราอยู่ชั้นนี้ค่ะ เป็นโรงแรมบนภูเขาไฟฟูจิ แลเห็นทิวเมฆของจริงของแท้เลย
หน้าตาของโรงแรม Gunso - Muro ค่ะ
หน้าตาของโรงแรม Gunso – Muro ค่ะ

ด้านในที่พัก เข้าไปโซนแรกจะเป็นโซนห้องอาหาร หน้าที่พักจะมีร้านขายเครื่องขนมและเครื่องดื่ม เราจะมากินข้าวเย็นกันโซนนี้ค่ะ ส่วนโซนห้องนอนจะต้องขึ้นไปชั้นสอง จะเป็นห้องกว้างๆ แบ่งออกเป็นสองชั้นย่อย คือชั้นล่างและชั้นบน จะมีถุงนอนเรียงติดๆ กันเราได้นอนชั้นล่างจะแคบๆ หน่อยต้องก้มๆ เข้าไปนอน พื้นที่วางสัมภาระก็วางตรงหัวนอนนั้นแหละค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่น ที่นอนในโรงแรมบนภูเขาไฟฟูจิ นอนปะปนกัน แบ่งที่นอนเป็นสองชั้นบนล่าง
ที่นอนในโรงแรมบนภูเขาไฟฟูจิ นอนปะปนกันประมาณนี้ค่ะ
เที่ยวญี่ปุ่น อาหารมื้อเย็นที่ โรงแรม Gunso - Muro บนภูเขาไฟฟูจิ ที่ความสูง 3,250 เมตร
อาหารมื้อเย็นของเรา ที่ โรงแรม Gunso – Muro บนภูเขาไฟฟูจิ ที่ความสูง 3,250 เมตร

พอหกโมงครึ่งพนักงานโรงแรมจะมาเรียกให้เราลงไปกินข้าว ซึ่งอาหารมื้อค้ำของเราก็คือ “ข้าวแกงกะหรี่” และ “ไก่ป๊อป 2 ชิ้น” เราซึ่งเป็นคนไม่ชอบกินแกงกะหรี่อยู่แล้ว เลยได้รับประทานแค่ข้าวกับไก่ป๊อปสองชิ้นเล็กๆ (T_T)

กินข้าวเสร็จก็เริ่มเข้านอนเพราะต้องตื่นตั้งแต่ตีหนึ่งครึ่งเพื่อเราจะได้ขึ้นภูเขาไฟฟูจิกันต่อ กำหนดการคือจะเริ่มเดินทางขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟตอนตีสอง สาเหตุที่ต้องขึ้นไปตั้งแต่ตีสอง ก็เพราะส่วนมากนักปีนเขาอยากไปไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้ากันค่ะ!

ที่โรงแรม Gunso - Muro บนภูเขาไฟฟูจิ มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ เพียบเลย
เพื่อนร่วมอุดมการณ์ เพียบเลย

แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับค่ะ อาจเป็นเพราะที่นอนมันแคบๆ และต้องนอนติดกับคนข้างๆ ทำให้เรานอนไม่หลับ พลิกตัวกลับไปกลับมาหลายรอบมาก สักพักเพื่อนเราก็ลุกขึ้นมาบอกเราว่ารู้สึกเวียนหัว คลื่นไส้ ปวดเบ้าตา คืนนั้นเราเลยไม่นอนกัน ตัดสินใจเก็บข้าวของมานั่งข้างนอกแทน

พอเพื่อนได้กินยาแก้ปวด และพ่นออกซิเจน ดื่มเกลือแร่ สักพักอาการก็ดีขึ้น จนกระทั้งตีหนึ่งกว่าๆ ทุกคนก็เริ่มลุกลงมาเพื่อเตรียมตัวออกสตาร์ทกัน

เวลาตีหนึ่งครึ่ง ทุกคนลงมาทานอาหารเช้า และเตรียมตัวกันแล้วค่ะ
เวลาตีหนึ่งครึ่ง ทุกคนลงมาทานอาหารเช้า และเตรียมตัวกันแล้วค่ะ

พอเพื่อนรู้สึกดีขึ้น เราก็เริ่มสตาร์ทกันประมาณตีหนึ่งสี่สิบได้ค่ะ ระหว่างทางเราต้องมีไฟฉายนะคะ ไว้ส่องทางระหว่างเดิน เพราะจะมืดมากค่ะ ทุกคนเริ่มสตาร์ทพร้อมๆ กัน เราเดินขึ้นเรื่อยๆแบบช้าๆ เพราะปีนขึ้นได้ทีละนิดๆ แล้วก็หยุดรอให้คนข้างบนปีนขึ้นไปก่อน แต่ก็เป็นข้อดีเพราะทำให้เราไม่เหนื่อยง่ายค่ะ

เมื่อเรามองลงไปด้านล่างจะเห็นแสงไฟเป็นสายเลยค่ะ คือแสงไฟจากไฟฉายของนักปีนเขาที่ทยอยกันเดินขึ้นมาเรื่อยๆ และเมื่อเรามองขึ้นไปด้านบนก็จะเป็นแสงไฟของนักปีนเขาที่ขึ้นไปก่อนหน้าเราเป็นสายยาวสุดสายตาจนไปถึงยอดเขา

ขาขึ้นจาก Station 8 ไปยัง Station 9
ตะลุยพิชิตภูเขาไฟฟูจิกันตั้งแต่เช้ามืด ขาขึ้นจาก Station 8 ไปยัง Station 9

เที่ยวญี่ปุ่น พิชิตภูเขาไฟฟูจิ ขาขึ้นจาก Station 8 ไปยัง Station 9

มาถึงจุดนี้ เลยรู้ว่าไฟฉายสำคัญแค่ไหน...
มาถึงจุดนี้ เลยรู้ว่าไฟฉายสำคัญแค่ไหน…

เราปีนขึ้นเรื่อยๆ แบบช้าๆ จนถึง station ที่ 8.5 อยู่ระหว่างทางจาก Station 8 ไปยัง Station 9 เลยขอพักที่ station นี้สักพัก นั่งพักยังไม่ถึงนาที..ฝนก็เริ่มตกลงมาปรอยๆ เราก็เริ่มเอาเสื้อกันฝนออกมาใส่ ซึ่งเสื้อกันฝนที่เราเตรียมมาเป็นเสื้อกันฝนแบบบางๆ ซื้อที่ร้านสะดวกซื้อที่ไทยค่ะ ^_^”

ใส่เสื้อกันฝนเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินต่อ ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ สักพักเรารู้สึกว่าเริ่มเปียกๆ ด้านข้างตัว สรุปคือเสื้อกันฝนเราขาดค่ะ ลมแรงมากจนเสื้อกันฝนบางๆ ที่เราเตรียมมาเอาไม่อยู่แล้วสินะ T_T คือสภาพตอนนั้นเปียกปอนมาก ไอ้ตัวเราเปียกไม่เป็นไหร่ แต่กลัวกล้องกับมือถือเปียก เราเลยต้องพยายามดึงเสื้อกันฝนมาปิดกระเป๋ากล้องไว้ก่อนค่ะ สรุปว่าตัวเราเลยเปียกทั้งตัว

ในขณะเดียวกันนั้น เพื่อนที่มาซื้อเสื้อกันฝนที่ญี่ปุ่น กลับได้ของทนทานกว่า ไม่ค่อยเปียกเหมือนเรา ข้อนี้ต้องจดไว้ให้ดีเลยนะคะ เลือกคุณภาพเสื้อกันฝนที่ใช้ด้วย เพราะฝนตกบนเขา ลมแรงมากจริงๆ ค่ะ T_T

ปีนฟูจิ5ยิ่งปีนสูงไปเรื่อยๆ ลมก็เริ่มพัดแรงเรื่อยๆ ฝนก็เริ่มตกไม่เป็นทิศไม่เป็นทาง ตอนนี้รับรู้ได้ถึงความชื้นเข้าไปในตัวทั้งหนาวทั้งชื้น ถุงมือก็เริ่มอุ้มน้ำ

ถุงมือที่เราใส่เป็นถุงมือผ้าอะค่ะ กันหนาวได้แต่ไม่กันฝน ^_^ เราจึงต้องเตือนตั้งแต่ตอนต้นๆ เรื่องการเตรียมอุปกรณ์ (จาก ตอนที่แล้ว) ว่าถุงมือควรเตรียมแบบกันฝนและกันหนาวได้ด้วย เสื้อกันฝนก็ต้องเตรียมแบบหนาๆ ที่กันได้ทั้งฝนและลม ที่สำคัญ ควรมีฮูดสำหรับคลุมหัวด้วยจะดีมาก เพราะอากาศบนยอดภูเขาไฟฟูจิแปรปรวนมากค่ะ เราไม่รู้ว่าวันที่เราขึ้นอากาศจะเป็นยังไง

เมื่อถึง Station 9 ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เรานั่งพักที่แคร่ของจุดแวะพักทั้งที่ตัวยังเปียกๆ พอแค่หายเหนื่อย เมื่อมองไปด้านล่างเห็นแสงไฟฉายของเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดินเป็นทิวแถว และเมื่อมองไปยังด้านบน ก็เป็นแถวยาวขึ้นไปจนสุดลูกหูลูกตา เมื่อพักพอหายเหนื่อย ก็ได้เวลาเดินตามกลุ่มขึ้นไป

เที่ยวญี่ปุ่น พิชิตภูเขาไฟฟูจิ เสาโทริอิที่บอกว่ามาถึง Station 10 แล้ว
ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ถึงแล้ว Station 10

กว่าจะขึ้นมาถึง Station 10 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของภูเขาไฟฟูจิ เราใช้เวลาไปทั้งหมด 4 ชั่วโมงได้ค่ะ หากเป็นสถานการณ์ปกติที่อากาศแจ่มใสคาดว่าเราจะใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมงนิดๆ ทันเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเหนือเมฆพอดี TT

แต่ขณะนี้ถึงแม้ว่าฟ้าเริ่มสว่างแล้วในเวลาหกโมง แต่เราก็ยังไม่เห็นวี่แววของพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งเลย เมื่อขึ้นไปถึงจุดหมาย ที่ด้านบน เราสังเกตเห็นสัญลักษณ์เทาโทริอิตั้งเด่นเป็นสง่า เย้! เรามาถึงแล้ว!

แต่ดีใจได้ไม่สุดเท่าไร เพราะว่า ทั้งฝนทั้งหมอก พัดกระจายมาแบบไม่เป็นทิศเป็นทาง เราถ่ายรูปน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นภาพจากกล้องมือถือ (ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานมือถือก็เดี้ยง)

เที่ยวญี่ปุ่น พิชิตภูเขาไฟฟูจิ บรรยากาศบน Station 10 จุดสูงสุดของภูเขาไฟฟูจิค่ะ
บรรยากาศบน Station 10 จุดสูงสุดของภูเขาไฟฟูจิค่ะ

เรากับเพื่อนเริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ คือเสื้อกันฝนเราต้านลมไม่อยู่ เราเริ่มมองหาที่หลบฝน ซึ่งมองไปรอบๆ ตามหลังคาที่ยื่นออกมาจากร้านค้าต่างๆ ก็แทบจะไม่มีที่ให้เรายืนเลยเพราะต่างคนก็ต่างหลบฝน

ส่วนร้านค้าต่างๆ คนเต็มร้านไปหมด เรากับเพื่อนเดินหาที่หลบฝนไปเรื่อยๆ และได้เหลือบไปมองเห็นห้องเล็กๆ มีคนยืนอยู่ข้างในประมาณ 2-3 คน เรารีบเดินดิ่งไปเพื่อจะไปขอหลบฝน พอเดินไปใกล้ๆ เท่านั้นแหละ อ๋อ มันคือห้องน้ำนั่นเอง ^_^” (แป่ว)

ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวมนะคะ เหมือนกับบรรดาห้องน้ำตามแต่ละ station ที่ผ่านมา ที่ส่วนมากจะเป็นห้องน้ำรวมเช่นเดียวกันค่ะ พอเราเข้าไปในห้องน้ำจะเห็นโถฉี่ของผู้ชายก่อน แล้วถัดไปจึงจะเป็นห้องส้วม แบ่งเป็นห้องๆ

เรากับเพื่อนไม่มีทางเลือกแล้วค่ะ ตัดสินใจเข้าไปหลบฝนในห้องน้ำ เดินข้าไปจะมีแคร่ไม้เล็กๆ พอที่จะนั่งได้สองคน เรากับเพื่อนตัดสินใจนั้งหลบฝนในนี้ เพราะช่วงเวลานั้นไม่มีทางเลือกแล้วแหละ ^_^”

สภาพคนอื่นๆ ที่ไม่มีที่หลบฝน
บนภูเขาไฟฟูจิ สภาพคนอื่นๆ ที่ไม่มีที่หลบฝน

เที่ยวญี่ปุ่น พิชิตภูเขาไฟฟูจิ บรรยากาศบน Station 10 ตอนฝนตกนั่งหลบฝนกันอยู่สักพักก็เริ่มหิวค่ะ มองออกไปข้างนอกเห็นคนเริ่มเดินลงกันไปเกือบหมดแล้ว เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาอะไรกิน

บน Station 10 นี้จะมีร้านค้าขายอาหารและอุปกรณ์กันฝน ประมาณสองสามร้านได้ เราตัดสินใจซื้อเสื้อกันฝนใหม่ ราคา 2,000 เยน เลยทีเดียว (ปกติด้านล่างจะขาย 1,000 เยน) แต่ถ้าไม่ซื้อคงเดินลงไปไม่ได้ เลยต้องตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ก็สั่งราเมงคัพมานั้งกินกันสักพัก ซึ่งราคานั้นสุดแสนโหด ปกติราคาราเมงคัพที่ขายตามร้านสะดวกซื้อด้านล่างจะประมาณ 148 เยน แต่ข้างบนนี้ 750 เยนจ้า อิอิ

นั่งซดราเมงร้อนๆ เพิ่มพลัง
นั่งซดราเมงร้อนๆ เพิ่มพลัง บนยอดเขาฟูจิ

ฝนเริ่มเหมือนจะหยุดตกเลยตัดสินใจจะเดินไปปากปล่อง แต่พอเดินออกจากร้านเท่านั้น เอิ่มมม -__-” ฝนก็ตกลงมาอีกแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก หมอกก็ยังหนาเหมือนเดิมค่ะ เราเดินไปดูแถวๆ บริเวณที่มีเชือกกั้นอยู่ เดาเอาเองว่าน่าจะเป็นปากปล่อง ซึ่งมองไม่เห็นอะไรเลย หากเดินข้ามที่กั้นลงไปก็กลัวจะตกลงไป 555 สรุปเราสองคนก็ไม่ได้รูปปากปล่องภูเขาไฟฟูจิกลับมา

สิ่งที่คาดว่าจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟฟูจิ
สิ่งที่คาดว่าจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟฟูจิ
เที่ยวญี่ปุ่น พิชิตภูเขาไฟฟูจิ ที่นั่งชมวิวบนยอดฟูจิซัง Station 10
ที่นั่งชมวิวบนยอดฟูจิซัง

ทีแรกเรากับเพื่อนกะจะรอให้แดดออกค่ะ แต่ดูแล้วไม่มีวี่แวว แถมเพื่อนร่วมทางเหลือน้อยเต็มทน…เราเลยตัดสินใจเดินลงค่ะ T T

เสาโทริอิ บนยอดภูเขาไฟฟูจิ
บ๊ายบาย จะลงจากยอดฟูจิซังแล้วนะ

เส้นทางลงจากภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji)

เรากับเพื่อนเดินลงคนละเส้นกับทางขึ้นมาค่ะ เพราะเห็นคนส่วนมากลงเส้นนี้กัน ทางลงจะเป็นแบบทางลาดซิกแซกโค้งหักศอกลงไปเรื่อยๆ ดูจากสายตา เหมือนจะง่าย แต่พอลองเดินจริงๆ แล้วรู้สึกยากกว่าทางขึ้นค่ะ เพราะทางขึ้นเรายังมีก้อนหินเป็นที่ยึดจับ แต่ทางลงจะเป็นทางลาดลงและมีแต่ก้อนหินก้อนกรวด ด้านไหล่เขาไม่มีที่คั่น หากลื่นไถลลงไปมีสิทธิ์ตกไหล่เขาได้เลยค่ะ

ด้วยความที่เรากลัวความสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่พยายามมองไปทางไหล่เขา และต้องระวังให้มากๆ ขาและข้อเท้านี่เกร็งตลอดเลยค่ะ

ทางลงภูเขาไฟฟูจิ
ลื่นครั้งที่ 1 ทางลงภูเขาไฟฟูจิ ไม่มีที่กั้นด้วย บรึ๋ยยย
เที่ยวญี่ปุ่น ทางลงภูเขาไฟฟูจิ อากาศแปรปรวน เดี๋ยวหมอก เดี๋ยวแดด
ระหว่างทางลง อากาศแปรปรวน เดี๋ยวหมอก เดี๋ยวแดด สลับกันไปค่ะ
เที่ยวญี่ปุ่น ทางลงภูเขาไฟฟูจิ เส้นทางลาดชัน
ทางชันแค่ไหน ถามใจเธอดู
ป้ายบอกทางลงภูเขาไฟฟูจิ เส้นทาง Yoshida trail
ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางค่ะ หมั่นสังเกตให้ดีนะคะ เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยน

เส้นทางลงพอถึง Station 8 จะมีทางแยก ให้สังเกตป้ายดีๆ นะคะ โดยป้ายจะบอกทาง Yoshida Trail (เส้นสีเหลือง) กับ Subashiri Trail (เส้นสีแดง) เรามาจากเส้นไหนต้องลงเส้นนั้น อย่างเช่นกรณีนี้ เรามาจาก Yoshida Trail ก็ต้องลงฝั่ง Yoshida Trail ค่ะ ถ้าลงผิดไปสีแดงจะไปโผล่อีกจังหวัดนึงเลย!

บนภูเขาไฟฟูจิ ระหว่างทางจะมีรถบดถนนเพื่อให้พื้นที่เดินมีความแน่น สามารถเดินได้ง่ายขึ้น
บนภูเขาไฟฟูจิ ระหว่างทางจะมีรถบดถนนเพื่อให้พื้นที่เดินมีความแน่น สามารถเดินได้ง่ายขึ้น
เที่ยวญี่ปุ่น ตะลุยภูเขาไฟฟูจิ ฝนตกที่ทางลง Yoshida Trail
เจอฝนมะล่อกมะแล่ก สภาพของเราเหมือนผู้อพยพก็มิปาน 555
เสาหลักที่บอกเส้นทางลงจากภูเขาฟูจิ
เสาหลักที่บอกเส้นทางว่าเรากำลังจะเข้าเขตพื้นที่ไหน และกำลังเดินอยู่บนเส้นไหน เสาต้นนี้บอกว่าเราอยู่ในเส้นทาง Yoshida Trail (เส้นสีเหลือง) เขตจังหวัด Yamanashi ค้ะ

เราใช้เวลาลงทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า ในการไปถึง Station 5 ที่เราเริ่มต้นมา ถือว่าภารกิจการปีนภูเขาไฟฟูจิครั้งนี้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว!!!

ถึงแม้เราจะไม่โชคดีที่ได้เห็นปากปล่อง เข้าทำนองที่ว่า “ขึ้นอย่างเฮฮา ดราม่าตอนขาลง” 555 แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่เราได้เห็นความสวยงามระหว่างเส้นทางที่เราได้ปีนขึ้น อีกอย่างหนึ่งคือ “ใจ” เราเอาชนะใจตัวเองได้ เท่านี้ก็ถือว่าได้กำไรแล้วค่ะ

อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ต้องการจะไปพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิสักครั้งในชีวิต ให้ลองไปดูสักครั้ง แล้วเราจะรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เราได้ทำค่ะ สู้ๆ นะคะ

เที่ยวญี่ปุ่น เส้นทางพิชิตภูเขาไฟฟูจิ
ใกล้ถึงแล้ว??? วิวระหว่างทางก็สวยนะ
ครั้งหนึ่งในชีวิต... เราคือผู้พิชิตภูเขาไฟฟูจิ
ครั้งหนึ่งในชีวิต… เราคือผู้พิชิตภูเขาไฟฟูจิ

ปล. ช่วงเวลาสำหรับการปีนภูเขาไฟฟูจิคือเดือน มิถุนายน-ต้นเดือนกันยายนค่ะ “การปีนภูเขาไฟฟูจินั้นไม่ยาก แต่ค่อนข้างลำบาก…มาก 555” เตรียมตัวไปให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่งค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง : ภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) ภูเขาสูงและสวยสุดในญี่ปุ่น

บทความที่เกี่ยวข้อง : ปีนภูเขาไฟฟูจิ…ชีวิตหนึ่งควรต้องลอง!! (ตอนที่ 1)

เรื่องและภาพ: Katai Noi DPlus Guide Team

ปีนภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) …ชีวิตหนึ่งควรต้องลอง!! (ตอนที่ 1)

ครั้งหนึ่งในชีวิต… เราคือผู้พิชิตภูเขาไฟฟูจิ

จากแค่ฝันว่าสักวันจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ปีน ภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) อันยิ่งใหญ่ของดินแดนอาทิตย์อุทัยกับเขาบ้าง… เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบไปเที่ยวตามป่าตามเขา ชอบท่องเที่ยวแนวผจญภัยนอนกางเต็นท์บ้าง นอนบ้านอุทยานบ้าง ในขณะนั้น คิดว่าทริปปีนเขาที่ยากที่สุดในชีวิตของเราแล้วก็คือ “ภูกระดึง”ค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่น ภาพภูเขาไฟฟูจิจากมุมทะเลสาบ Kawaguchiko
ภูเขาไฟฟูจิจากมุมทะเลสาบ Kawaguchiko ค่ะ

และแล้วฝันก็กลายเป็นจริงขึ้นมา เนื่องจากเพื่อนที่ถูกวางตัวไว้ให้ไปปีนภูเขาไฟฟูจิ ดันป่วยกะทันหัน ดังนั้น หวยจึงมาออกที่เรา เย้! (ขอบคุณสวรรค์) พอหัวหน้ามาถาม เราตอบ ตกลงไป 1,000,000% ทันทีโดยไม่ต้องคิด อิอิ ซึ่งในที่นี้เราจะต้องไปปีนร่วมกับเพื่อนอีกคนค่ะ เป็นผู้หญิงทั้งคู่

แต่เรื่องของเรื่องคือ เรามีเวลาเตรียมตัวกันแค่สองอาทิตย์เท่านั้น! ก่อนอื่นเราเริ่มหาข้อมูลจากรีวิวบนอินเทอร์เน็ตทั่วไป อ่านข้อมูลในรีวิวต่างๆ ถึงความยากง่ายในการปีนภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งก็มีข้อมูลให้เราได้ศึกษาเยอะแยะมากมาย มีทั้งเรื่องการเตรียมตัว การเตรียมอุปกรณ์ในการปีนเขา

อีกเรื่องที่สำคัญมากคือ การร่างกายก่อนเลยค่ะ ด้วยความที่เรามีเวลากันแค่สองอาทิตย์ในการเตรียมตัว อย่างน้อยแนะนำให้วอร์มร่างกายให้พร้อมไว้เท่าที่จะทำได้ เช่น วิ่งจ็อกกิ้งสักวันละ 2-3 กม. หรือเดินรอบสวนจตุจักรหรือสวนรถไฟก็ได้ค่ะ เพื่อฝึกการหายใจ และกล้ามเนื้อส่วนขาให้แข็งแรง สำหรับเรากับเพื่อนไม่มีเวลามากนัก ก็อาศัยฝึกขึ้นลงบันไดในตึกออฟฟิศจากชั้น 9 ไปถึงชั้น 39 – 40 ทุกวัน ขอบอกว่าช่วยได้จริงๆ นะคะ

เที่ยวญี่ปุ่น การเตรียมตัว ปีนเขา Fuji
ตัวอย่างการแต่งกาย และอุปกรณ์สำหรับพกพาขึ้นไปปีนภูเขาไฟฟูจิ

ส่วนอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเตรียมตัวในการปีนเขา ใครอยากเที่ยวญี่ปุ่น พิชิตภูเขาไฟฟูจิ ก็เตรียมตามนี้เลยค่ะ ขอย้ำค่ะจำเป็นจริงๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะแบกไปเป็นภาระ ^_^

อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการปีนภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji)

รองเท้าเดินป่า (Trail Running Shoes) จำเป็นมากค่ะ ไม่แนะนำให้ใส่ผ้าใบธรรมดา เพราะเส้นทางการปีนเขาจะเป็นโขดหิน ก้อนหิน และก้อนกรวด
เสื้อกันฝน ที่สวมใส่ได้ง่าย และหนาพอที่จะกันลมกันฝนได้ และมีฮูดสำหรับคลุมหัวด้วย
– เป้ที่มีน้ำหนักเบา และมีความทน
เสื้อผ้ากันหนาวกันลม เสื้อผ้าข้างในที่สามารถระบายอากาศได้ดี และแห้งไว
กางเกง แนะนำใส่กางเกงผ้า กางเกงผ้าร่ม หรือกางเกงสำหรับปีนเขาไปเลยค่ะ ไม่แนะนำใส่กางเกงยีนเพราะอาจจะอึดอัดได้ ควรเตรียมเลคกิ้งหรือลองจอนใส่ซับในไว้กันหนาวก็ดีค่ะ
ไฟฉาย ใช้ได้ทั้งไฟฉายมือ และไฟฉายคาดหัว
น้ำดื่ม อาจจะซื้อจากตู้กดขนาด 500 มล. พกติดเป้สัก 2 ขวดค่ะ เพราะด้านบนน้ำดื่มแพงกว่าปกติประมาณ 3 เท่า
ขนมขบเคี้ยว ที่มีรสหวาน หรือให้พลังงาน เช่น เยลลี่ ช็อกโกแลต
– ถุงขยะ สำหรับใส่ขยะ เพื่อนำกลับลงมาทิ้งด้านล่าง
– เงิน สำหรับซื้อขนม ซื้อน้ำ ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด และเหรียญใช้เข้าห้องน้ำระหว่างทาง
– ยาสามัญทั่วไป ยาสำหรับโรคประจำตัว
– ออกซิเจนกระป๋อง เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อขึ้นไปด้านบนเขาแล้ว เราจะเป็นโรคแพ้ความสูงหรือไม่
– ไม้เท้าค้ำเดิน สามารถหาซื้อตรงสเตชั่นที่ 5 ได้
– อื่นๆ เช่น หมวกกันแดด และแผนที่

เมื่อเตรียมอุปกรณ์และร่างกายพร้อมแล้ว อีกอย่างที่ต้องเตรียมคือไปคือ ใจ ค่ะ ^_^ ส่วนเราหรอคะ..ถ้าใช้ใจเดินขึ้นคงขึ้นไปถึงเร็วมาก อิอิ ^^ งั้นเราเริ่มไปพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิกันเลยดีกว่า…

เพื่อความสะดวกในการเดินทางในญี่ปุ่น เราเลือกพักที่โรงแรมในตัวเมือง Fuji Yoshida จังหวัดยามานะชิ (Yamanashi) ซึ่งเป็นต้นทางของเส้นทาง Yoshida Trail ที่จะพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิค่ะ

เส้นทางปีนภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji)

เส้นทางปีนภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) มี 4 เส้นทางด้วยกัน ได้แก่

– Yoshida Trail เริ่มต้นที่จังหวัดยามานะชิ (Yamanashi)
– Subashiri Trail เริ่มต้นที่จังหวัดชิซูโอะกะ (Shizuoka)
– Gotemba Trail เริ่มต้นที่จังหวัดชิซูโอะกะ (Shizuoka)
– Fujinomiya Trail เริ่มต้นที่จังหวัดชิซูโอะกะ (Shizuoka)

ซึ่งคราวนี้เราพักที่จังหวัด Yamanashi จึงเลือกเส้นทาง Yoshida Trail ที่จุดเริ่มต้นอยู่ใกล้เราที่สุดนั่นเองค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่น หน้าสถานี Fujisan เริ่มต้นเส้นทางพิชิตภูเขาไฟฟูจิ
หน้าสถานี Fujisan จังหวัดยามานะชิ (Yamanashi)

ตอนเช้าเรากับเพื่อนไปขึ้นรถบัสจากหน้า สถานีรถไฟ Fujisan ชานชาลาที่ 5 โดยรถจะออกทุกๆ ชั่วโมง เราทันเที่ยวเวลา 9:40 น. ค่ารถบัสจากสถานีรถไฟ Fujisan ไปถึง Station 5 ของภูเขาไฟฟูจิ คนละ 1,540 เยน ใช้เวลานั่งรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 5 นาทีได้

การขึ้นภูเขาไฟฟูจิจะแบ่งออกเป็น Station ต่างๆ เริ่มจาก Station 1 อยู่ที่ตีนเขา ยิ่งสูงขึ้น เลขชั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จนถึง Station 10 ที่ยอดเขาค่ะ ซึ่งถนนลาดยางที่รถยนต์เข้าถึงได้จะมาสุดที่ Station 5 ช่วยทุ่นแรงไปได้ถึงครึ่งทาง การนั่งรถมาเริ่มที่ Station 5 เช่นนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นยอดนิยมของการปีนภูเขาไฟฟูจิค่ะ ^_^

รถบัสสำหรับไปยัง Station 5 ของภูเขาไฟฟูจิ ขึ้นที่จุดขึ้นรถบัสหมายเลข 5
รถบัสจอดชานชาลาที่ 5 หน้าสถานีรถไฟ Fujisan ค่ะ มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อยู่เพียบ
รถบัสสำหรับไปยัง Station 5 ของภูเขาไฟฟูจิ แวะรับนักท่องเที่ยวที่สถานี Kawakuchigo
รถบัสแวะรับนักท่องเที่ยวที่สถานี Kawakuchigo ด้วยค่ะ

เราไปถึง Station 5 เวลาเกือบ 11 โมง บน Station 5 จะมีร้านค้ามากมาย ซึ่งจะขายพวกอุปกรณ์การปีนเขา ของฝาก รวมไปถึงขนมเครื่องดื่มถ้าใครไม่ได้เตรียมไปก็ซื้อที่ station นี้ได้ค่ะ และไม่ใช่มีแค่ร้านค้านะคะ แต่บน station ที่ 5 ยังมีจุดชมวิวสวยๆ ให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ตั้งใจปีนไปชั้นบน นั้งรถขึ้นมาถ่ายรูปได้ด้วย

ป้ายรถบัสที่ Station 5 จุดเริ่มต้นการเดินทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิ
ป้ายรถบัสที่ Station 5

หรือถ้าใครอยากออกกำลังขาบ้างอะไรบ้าง แนะนำให้เดินขึ้นไปชมวิว บน station ที่ 6 และ 7 ได้ค่ะ ระยะทางไม่ไกลมากนัก รับรองวิวทิวทัศน์ข้างบนส่วยงามคุ้มกับที่เหนื่อยขึ้นไปแน่นอนค่ะ นอกจากนี้ยังมีบริการนั่งรถม้า หรือขี่ม้าขึ้นไปก็ได้ค่ะ ที่ Station 5 มีให้บริการอยู่ แต่สำหรับเราต้องปีนเท่านั้น อิอิ

บรรดานักท่องเที่ยว ณ บริเวณจุดชมวิว Station 5
บรรดานักท่องเที่ยว ณ บริเวณจุดชมวิว Station 5
บรรดานักปีนเขารวมตัวกันก่อน ณ Station 5
บรรดานักปีนเขารวมตัวกันก่อน ณ Station 5
คนทั่วไปก็สามารถขับรถขึ้นมายัง Station 5 ได้ค่ะ
คนทั่วไปก็สามารถขับรถขึ้นมายัง Station 5 ได้ค่ะ
ยอดภูเขาไฟฟูจิ เมื่อมองจาก Station 5
ยอดภูเขาไฟฟูจิ เมื่อมองจาก Station 5

เรากับเพื่อนพอถ่ายรูปที่ Station 5 ได้รูปสวยๆ เป็นที่พอใจแล้ว ก็ขอแวะเข้าไปซื้อไม้ค้ำสำหรับปีนเข้าซะหน่อย เลือกซื้อเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มออกสตาร์ทกัน สำหรับไม้เท้าราคา 800 เยน ค่ากระดิ่ง 300 เยน ส่วนใครต้องการธงชาติญี่ปุ่นด้วยก็บวกไปอีก 300 เยนค่ะ

เราเริ่มเดินจาก station ที่ 5 ราว 11 โมงนิดๆ ช่วงตีนเขาจะมีจุดจำหน่ายตั๋ว ค่าขึ้นคนละ 1,000 เยน มีพวงกุญแจไม้เป็นที่ระลึกให้ด้วยค่ะ

อุปกรณ์และตั๋วขึ้นภูเขาไฟฟูจิ สามารถหาซื้อได้ที่ Station 5 ได้เวลาเดินทางกับทีมงาน DPlus guide แล้ว
อุปกรณ์และตั๋วขึ้นภูเขาไฟฟูจิ สามารถหาซื้อได้ที่ Station 5 ได้เวลาเดินทางกับทีมงาน DPlus guide แล้ว!

เราเดินไปตามทาง Yoshida Trail ค่ะ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เดินง่ายที่สุด เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ยังไม่เหนื่อยมากค่ะ เดินยังไม่ถึงไหน เห็นวิวช่วงแรกๆ ก็เริ่มสวยแล้ว โชคดีวันที่เราขึ้นอากาศแจ่มใสมาก แดดดีเลยทีเดียว ^_^ วิวข้างหน้าเราเป็นปุยเมฆลอยเต็มท้องฟ้าไปหมด ยิ่งตัดกันกับสีท้องฟ้า ที่เป็นสีฟ้าจริงๆ ค่ะ ยิ่งสวยอะไรเช่นนี้ ทำให้เราเริ่มอยากขึ้นไปเห็นข้างบนยอดเร็วๆ แล้วสิ ป่ะรีบเดินกัน…

ระหว่างทางขึ้นเขาฟูจิ
ระหว่างทางเดินสวนกับกลุ่มพี่ๆ ทหารด้วยค่ะ
เที่ยวญี่ปุ่น พิชิตภูเขาไฟฟูจิ วิวจาก Station 5 ภูเขาไฟฟูจิ
แค่ Station 5 ก็อยู่สูงกว่ากลุ่มเมฆแล้วค่ะ

วิวจาก Station 5 ภูเขาไฟฟูจิเราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จาก station ที่ 5 ไปถึง station ที่ 6 ระยะทางไม่ไกลกันมาก และยังไม่ถึงกับต้องปีน บริเวณนี้เดินขึ้นได้สบายๆ เป็นเส้นทางพื้นดินราบๆ สลับกับก้อนหินบ้างเล็กน้อย ถือเป็นการวอร์มอัพไปในตัว ^_^

เมื่อถึง Station 6 จะเป็นจุดที่ทุกคนจะแวะพักถ่ายรูป ชมวิว ประทับตราไม้เท้า หรือเข้าห้องน้ำกันค่ะ ค่าเข้าห้องน้ำ 200 เยน ต่อครั้ง ควรเตรียมเหรียญให้พอดีค่ะ เพราะไม่มีทอน เราต้องหยอดใส่กระปุกเอง ห้องน้ำทุกๆ station จะเสียค่าเข้าประมาณนี้ค่ะ

เรากับเพื่อนแวะพักและถ่ายรูปที่ station ที่ 6 สักพักก็เริ่มเดินทางกันต่อค่ะ

หลังจาก Station 6 มาแล้ว จะเจอจุดที่เชื่อมกับ Gotemba Trail ที่มาจากอีกฝั่งหนึ่งค่ะ
จุดนี้จะเชื่อมกับ Gotemba Trail ที่มาจากอีกฝั่งหนึ่งค่ะ
วิวจาก Station 6 จ้า
วิวจาก Station 6 จ้า
วิวมุมกว้างจาก Station 6
วิวมุมกว้างจาก Station 6
เมื่อหันหลังไป จะพบกับทางขึ้น Station 7
จากวิวเมื่อครู่ เมื่อหันหลังไป จะพบกับทางขึ้น Station 7

จาก station ที่ 6 ไปยัง station ที่ 7 เริ่มเป็นทางไต่ระดับ แต่ไม่ถึงขั้นลำบากมาก จะมีทางที่เป็นขั้นบันไดให้บ้างเป็นระยะๆ ก่อนใกล้จะถึง station ที่ 7 เส้นทางจะเริ่มมีให้ปีนป่ายบ้างเล็กน้อย ส่วนสภาพอากาศเมื่อใกล้ถึง station ที่ 7 จะเริ่มมีเมฆหมอกปกคลุม เราจะได้สัมผัสกับปุยเมฆแบบระยะประชิดตัวกันเลยทีเดียว.. ฟินมากๆ ค่ะขอบอก

วิวบนภูเขาไฟฟูจิ เราเห็น Staion 7 อยู่เบื้องหน้าแล้ว
เห็น Staion 7 อยู่เบื้องหน้าแล้ว
ในที่สุดก็ถึง Station 7!
ในที่สุดก็ถึง Station 7!

พอถึง Station 7 จะเราขอนั้งพักสักแป๊บ.. ที่ station นี้จะมีร้านรับบริการแสตมป์ลายปั๊มบนไม้ค้ำปีนเขา ที่เราซื้อมาจากร้านขายอุปกรณ์ปีนเขาที่ station ที่ 5 นั่นแหละค่ะ ราคาจะแตกต่างกันไปตามความสูงแต่ละ station

สำหรับ station นี้เราจ่ายไป 300 เยนค่ะ (และก็ได้ปั๊มแค่ station เดียว เปลือง 55) เรานั่งพักพอให้หายเหนื่อย กินขนม และตียิมโปเกม่อน อิอิ (ลืมบอกไปค่ะ ว่าที่แต่ละ station ของภูเขาไฟฟูจิมียิมโปเกมอนให้คนเล่น Pokémon GO แวะตียิมด้วยนะ 55)

ณ Station 7
ณ Station 7
พยายามแล้ว แต่แพ้ตลอดเลยค่ะ อิอิ
พยายามแล้ว แต่แพ้ตลอดเลยค่ะ อิอิ

เมื่อพักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว จุดหมายปลายทางในคืนนี้ของเรา คือ Station 8 เราจองที่พักที่ โรงแรม Gunso – Muro ไว้ค่ะ (ราคาสองคน 15,900 เยน ต่อคืนรวมอาหาร 2 มื้อ คืออาหารเย็นกับอาหารเช้า) โดยจองผ่านเว็บไซต์ http://www.mfi.or.jp/fujisan/english/index.html และไปจ่ายเงินตอนเช็กอินค่ะ

พอมองขึ้นไปเห็นเป็น station ลิบๆ คิดว่าเป็น station ที่ 8 แน่ๆ อีกนิดเดียวก็คงถึงแล้วววสินะ เย้!

ทางขึ้นไป Station 8 จาก Station 7
ทางขึ้นไปยัง Station 8 จาก Station 7

เส้นทางสู่ Station 8 พิชิตภูเขาไฟฟูจิ จาก station ที่ 7 ไป 8 ตรงนี้เราเรียกว่า “ปีน” ได้เต็มปากเต็มคำเลยค่ะ ^_^” เส้นทางชันมากขึ้น ต้องเริ่มใช้มือจับก้อนหินสลับใช้ไม้ค้ำเพื่อพยุงตัวขึ้นไปเรื่อยๆ

จากที่มองเห็น Station ที่ 8 ที่ว่าลิบๆ เอิ่มมม.. รู้สึกไม่ใกล้แล้วสินะ เพราะมันคือจุดแวะพักต่างหาก ในใจก็คิดเมื่อไหร่จะถึงสักที เมฆหมอกเริ่มปกคลุม คือตอนนี้เราอยู่ทามกลางเมฆและหมอกนั่นเอง เมื่อกระทบกับใบหน้ารู้สึกเย็นๆ แต่มีข้อดีคือช่วยให้หายเหนื่อยได้บ้างเล็กน้อย เราปีนขึ้นไปเรื่อยๆ มองเห็นที่พักเหมือนใกล้แต่ไม่ถึงสักที ^_^

พิชิตภูเขาไฟฟูจิ เส้นทางปีนขึ้นไปยัง Station 8 อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้...บอกที TT
อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้…บอกที TT
เนินปราบเซียน เส้นทางพิชิตภูเขาไฟฟูจิ บริเวณทางขึ้น Station 8 และนักท่องเที่ยวมากมาย
ตรงนี้เป็นเนินปราบเซียน

วิวสวยๆ ระหว่างทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิ

และแล้วเราก็มาถึงที่ Station 8 ในเวลาเกือบหกโมงเย็น (เริ่มออกจาก Station 7 เวลาบ่ายโมงครึ่ง) รู้สึกดีใจมากนี่เราถึงแล้วใช่มั้ย!!

เพื่อนเราลองเข้าไปถามดูว่าใช่ที่พักที่เราจองไว้หรือเปล่า ในใจเราตอนนี้คืออยากจะยกเป้ออกจากหลังมากกก รู้สึกเริ่มมีความหวังว่าจะได้พักแล้วๆๆๆๆ ^_^

แล้วเพื่อนเราก็กลับมาเพื่อบอกกับเราว่า… ยังไม่ถึงที่พักของเราจ้า! ที่พักเราต้องเดินขึ้นไปอีกน่าจะประมาณอีก 2 ชั้นได้ แทบจะเป็นลมตรงนั้น ฮ่าๆๆๆ

เที่ยวญี่ปุ่น ปีนภูเขาไฟฟูจิ ถึงแล้ว Station 8
ถึงแล้ว Station 8 ภูเขาไฟฟูจิ แต่ยังไม่ถึงที่พักของเรานะจ๊ะ ฮ่าๆๆๆ

เพราะนี่เป็นเส้นทางปีนภูเขาไฟฟูจิแสนทรหด ถ้าไม่ โหด – มันส์ – ฮา ก็ไม่สมเป็นภูเขาไฟฟูจิสิเนอะ! ตอนหน้า เราจะขึ้นไปดูหน้าตาของ “โรงแรมบนภูเขาไฟฟูจิ” ที่มาพร้อมกับประสบการณ์นอนบนเขาสูงๆ กันค่ะ รับรองว่าที่พักบนเขาก็ โหด – มันส์ – ฮา ไม่แพ้การปีนเขาเลย ตามมาดูกันเลยค่ะ!

อ่านต่อ : ปีนภูเขาไฟฟูจิ…ชีวิตหนึ่งควรต้องลอง!! (ตอนที่ 2)(จบ)

เรื่องและภาพ: Katai Noi DPlus Guide Team