Home Blog Page 78

เปลี่ยนรองเท้าบูทเป็นผ้าใบ แล้วออกไปเดินป่าที่ยอดเขา Takao

หลังจากขโมยเวลาจากแพลนเดิมที่จะไปย่านกินซ่า ชิบูย่า มาได้หนึ่งวัน ก็ถือโอกาสไปสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวในฝัน ตามสไตล์ของตัวเอง โอ้ว!!! ดูอินดี้มาก วันนี้เลยขอทิ้งรองเท้าบูทไว้ เปลี่ยนไปใส่รองเท้าผ้าใบสบายๆ แทน พร้อมกับเสื้อกันหนาวหนาๆ เพื่อออกไปเดินป่าที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงโตเกียว

โตเกียวเที่ยวธรรมชาติ! เปลี่ยนรองเท้าบูทเป็นผ้าใบ แล้วออกไปเดินป่าใกล้กรุงโตเกียวกัน
เขาทาคะโอะ (Mt.Takao) อีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้แดง หรือใบไม้เปลี่ยนสีที่โตเกียว (Tokyo)

เป้าหมายของเราวันนี้คือการพิชิต ยอดเขาทาคะโอะ (Mt.Takao) ที่เมืองฮะชิโอจิ (Hachioji) ฝั่งทะมะ (Tama) ทางด้านตะวันออก ที่นี่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยม เราจะได้สัมผัสบรรยากาศป่าเขาที่ยังอุดมสมบูรณ์ ด้วยการเดินลัดเลาะเพื่อชมธรรมชาติแบบใกล้ชิด ไปตามเส้นทางที่มีให้เลือกหลากหลาย และที่สำคัญคือไม่ได้ยากเกินความสามารถมือใหม่อย่างเรา

ในเส้นทางชมเขาทาคะโอะนั้น ระหว่างทางมีจุดแวะเที่ยวที่แตกต่างกันไปตามแต่ละเส้นทาง เช่น วัด Yakuoin สวนลิง น้ำตก เป็นต้น ก่อนจะถึงจุดหมายสูงสุดคือการพิชิตยอดเขาทาคะโอะ ที่ระดับความสูง 599.15 เมตร ด้านบนมีจุดชมวิวที่ถูกจัดอันดับเป็น หนึ่งในร้อยสถานที่ชมฟูจิซังที่ดีที่สุด และในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเราจะได้รับรางวัลเป็นวิวฟูจิซังที่สวยงามอีกด้วย แค่คิดก็ฟินแล้ว

เขาทาคะโอะ (Mt.Takao) อีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้แดง หรือใบไม้เปลี่ยนสีที่โตเกียว (Tokyo)

เขาทาคะโอะ (Mt.Takao) อีกหนึ่งสถานที่ชมใบไม้แดง หรือใบไม้เปลี่ยนสีที่โตเกียว (Tokyo)

เพื่อนๆ คนไหนเคยเดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูไม้ใบร่วงคงทราบกันดีว่าจะมืดเร็วมากกกกก พระอาทิตย์ตกตอนสี่โมงครึ่ง เพราะฉะนั้นเส้นทางท่องเที่ยวในฝันของเรา จึงเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ในฤดูใบไม้ร่วง

nature-trip-around-tokyo_MG_9320

การเดินทางเริ่มต้นที่ สถานี Shinjuku ต้นทางของรถไฟหลายขบวนที่มุ่งหน้าไปยังฝั่งทะมะ เราสามารถเลือกเดินทางได้ 2 วิธีคือนั่งรถไฟ JR ขบวน Chuo Line ไปยังสถานี Takao แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถไฟเอกชน Keio Takao Line ไปลงสถานี Takaosanguchi หรือนั่งรถไฟเอกชน Keio Takao Line วิ่งตรงไปยังสถานี Takaosanguchi เลยก็ได้

nature-trip-around-tokyo_MG_9329

nature-trip-around-tokyo_MG_9340

nature-trip-around-tokyo_MG_9369

nature-trip-around-tokyoIMG_0449

นั่งรถไฟชมเมืองเพลินๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึง สถานี Takaosanguchi เราต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 400 เมตร เพื่อไปยังจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินชมธรรมชาติ เท่าที่เห็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้วิธีการนั่งเคเบิ้ลคาร์หรือไม่ก็แชร์ลิฟต์ ส่วนใครอยากดื่มด่ำกับธรรมชาติ ชมใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีแบบเต็มอิ่มจะใช้วิธีเดินขึ้นไปตามเส้นทางก็ได้  ฟิตๆ อย่างเราเลยไม่รอช้า …ไปต่อคิวขึ้นเคเบิ้ลคาร์ดีกว่า แหะๆ

จำนวนนักท่องเที่ยวมากมายเพราะเป็นช่วงพีคของการชมใบไม้เปลี่ยนสี ทำให้คิวขึ้นเคเบิ้ลคาร์ยาวเหยียดเป็นหางว่าว ไหนๆ ค่าบริการก็เท่ากันคือ 480 เยน/เที่ยว ตั๋วไปกลับ 930 เยน สำหรับผู้ใหญ่ เราเลยเปลี่ยนใจไปใช้บริการแชร์ลิฟต์แทน ซึ่งต้องเดินขึ้นไปตามเนินเขาอีกประมาณ 100 เมตร ก็จะถึง สถานี Sanroku นับด้วยสายตาแล้ว จำนวนคนต่อคิวยาวไม่แพ้เคเบิ้ลคาร์เลยค่ะ

nature-trip-around-tokyo_MG_9830

nature-trip-around-tokyo_MG_9402

แอบท้อนิดหน่อย แต่ได้สีสันของใบไม้เปลี่ยนสีรอบๆ ช่วยปลอบใจ ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ จนไม่รู้จะถ่ายอะไร ในที่สุดก็ถึงคิวขึ้นแชร์ลิฟต์สักที วิวสวยๆ ลมเย็นๆ แต่แอบเสียวหน่อยๆ สรุปว่าคุ้มค่ากับการรอคอยเป็นที่สุด ใช้เวลาอยู่บนแชร์ลิฟต์ประมาณ 10 นาที ก็มาถึง สถานี Sanjo ระยะทางแชร์ลิฟต์จะสั้นกว่านิดหน่อยแต่ใช้เวลามากกว่าเคเบิ้ลคาร์ ซึ่งทั้งสองวิธีช่วยย่นระยะทางให้เราได้เกือบครึ่งทางขึ้นเขาทาคะโอะ

เดินตามเส้นทางต่อไปอีกสักพัก จะเจอกับ สถานีเคเบิ้ลคาร์ Takaosan ใกล้ๆ กันเป็นจุดชมวิว หลังจากแวะเก็บภาพวิวเมืองโตเกียวแบบพาโนรามากันแบบจุใจ ก็ได้เวลาเดินชมธรรมชาติกันต่อพร้อมกับเพื่อนร่วมทางที่มีครบทุกเพศทุกวัยจริงๆ

nature-trip-around-tokyo_MG_9494

nature-trip-around-tokyo_MG_9510

nature-trip-around-tokyo_MG_9508

เส้นทางที่เราเลือกเดิน (ตามคนญี่ปุ่น) คือ เส้นทางที่ 1 Omotesando Trail ซึ่งสามารถเดินต่อมาจากสถานี Sanjo หรือสถานีแชร์ลิฟต์ที่เรานั่งขึ้นมานั่งเอง เป็นเส้นทางยอดนิยม เดินค่อนข้างง่าย และผ่านจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ แถมระหว่างทางยังมีร้านค้าขายของที่ระลึก อาหารและเครื่องดื่ม มีที่นั่งพัก รวมถึงมีห้องน้ำบริการอีกด้วย แต่ดูจากจำนวนลูกค้าที่มหาศาล แนะนำว่าให้ติดข้าวปั้นหรือเตรียมอาหารกล่องมาเองด้วยจะดีกว่า

เส้นทาง Omotesando Trail ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี

เส้นทาง Omotesando Trail มีเพื่อนร่วมทางมากมาย ไม่ต้องกลัวเหงา
เส้นทาง Omotesando Trail มีเพื่อนร่วมทางมากมาย ไม่ต้องกลัวเหงา
เส้นทาง Omotesando Trail ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
มีที่นั่งให้พักด้วย

เส้นทางนี้จะผ่าน สวนลิง (Monkey Park) ใครสนใจก็สามารถแวะชมได้ ส่วนเราขอไปต่อ เพราะจุดหมายที่เฝ้ารอยังอีกไกล

ของที่ระลึกจาก Monkey Park
ของที่ระลึกจาก Monkey Park

nature-trip-around-tokyo_MG_9524

เดินกันต่อจ้า จนถึงตรงนี้ก็ยังมีเพื่อนร่วมทางมากมาย ไม่เหงาแน่นอน (คนเยอะ ^^')

เดินมาพอได้เมื่อยน่องนิดหน่อยเริ่มจะเห็นโคมไฟและตะเกียงหินตั้งเรียงราย เป็นสัญลักษณ์ว่าอีกไม่ไกลนักเราจะถึง วัด Yakuoin

พอมาถึงบริเวณวัดจำนวนผู้คนมากมายอีกเช่นเคย อบอุ่นไม่เหงาไปตลอดเส้นทางกันเลยทีเดียว วัดนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 744  มีวิหารกระจายอยู่ตามเนินเขา แต่ตัววิหารหลักของวัดจะเป็นวิหารไม้เก่าแก่ประดับด้วยรูปแกะสลักอยู่โดยรอบ เราเดินขึ้นไปตามเนินเขาด้านหลังวิหารหลักก็จะเจออีกวิหารหนึ่งคือ วิหาร Izuna Gongen-do มีสีแดงสดประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ด้านบนเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากราบไหว้ขอพรกัน

วัด Yakuoin

วิหาร Izuna Gongen-do สีแดงสด อีกแลนด์มาร์กที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูป
วิหาร Izuna Gongen-do สีแดงสด อีกแลนด์มาร์กที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูป

หามุมนั่งพัก ดื่มน้ำแล้วก็เช็กพิกัดไปด้วย เหลือระยะทางอีกไม่ไกลเท่าไหร่ เหลือบดูนาฬิกาอ้าว! ปาเข้าไปบ่ายสามแล้ว เราเลยรีบเดินต่อเพื่อไปยังจุดชมวิวด้านบนสุด

อากาศด้านบนเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ สปีดเริ่มตก ไขมันที่พกมาด้วยก็ไม่ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้น และที่สำคัญแสงเริ่มเปลี่ยนสี นั่นหมายความว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว โอ้วมายก็อด!!! พี่พระอาทิตย์จะรีบไปไหน นี่มันยังไม่สี่โมงเลย  รวบรวมพลังที่เหลืออันน้อยนิด กึ่งเดินกึ่งวิ่งเพราะกลัวคนญี่ปุ่นที่ร่วมทางมาด้วยจะตกใจ สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายจนได้ทันเวลาพอดี

เป้าหมายของเรา ชมพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาทาคะโอะ (Mt.Takao) เมืองฮะชิโอจิ (Hachioji)
ในที่สุดก็มาถึงแล้ว! เป้าหมายของเรา ชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวยอดเขาทาคะโอะ (Mt.Takao) เมืองฮะชิโอจิ (Hachioji)

แสงสวย วิวดี ที่จุดชมวิวยอดเขาทาคะโอะ (Mt.Takao)

แสงสวย วิวดี ที่จุดชมวิวยอดเขาทาคะโอะ (Mt.Takao)
แสงสวย วิวดี ที่จุดชมวิวยอดเขาทาคะโอะ (Mt.Takao)

ด้านบน จุดชมวิว ที่ความสูง 599.15 เมตร ลักษณะเป็นลานกว้าง มีศาลานั่งพักกระจายอยู่รอบๆ รวมถึงร้านอาหารซึ่งอยู่ติดกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว สามารถเข้าไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเดินป่าเพิ่มเติมได้

ที่ความสูง 599.15 เมตร ณ จุดชมวิว ยังคงมีเพื่อนร่วมทางมาพิชิตยอดเขาทาคะโอะ (Mt.Takao) มากมาย
ที่ความสูง 599.15 เมตร ณ จุดชมวิว ยังคงมีเพื่อนร่วมทางมาพิชิตยอดเขาทาคะโอะ (Mt.Takao) มากมาย นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นนี่ฟิตกันจริงๆ!

nature-trip-around-tokyo_MG_9944

ขอไปทักทายฟูจิซังท่ามกลางแสงสุดท้ายของวันก่อนนะคะ อ้อ! เพื่อนๆ คนไหนจะอยู่เที่ยวถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ดื่มด่ำ ล้ำลึก โรแมนติกกับแฟนจนมืดค่ำ  นอกจากจะพกแฟนมาเป็นของตัวเองอย่าลืมพกไฟฉายติดมาด้วยนะ เพราะขากลับทางเดินจะมืดมากกกก

เรื่องและภาพ: boytheway DPlus Guide Team

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

ขอแนะนำสถานที่ช้อปเพลินในกรุงโซล ที่สาวก LINE ไม่ควรพลาด LINE FRIENDS Café & Store สาขาถนนกาโรซูกิล (Garosu-gil) ที่เต็มไปด้วยสินค้าคาแรกเตอร์ LINE ของแท้ให้เลือกซื้อกัน

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

ร้าน LINE FRIENDS Café & Store แห่งนี้ ตั้งอยู่บนถนน กาโรซูกิล (Garosu-gil) ถนนสายช้อปปิ้งชิคๆ ของหนุ่มสาวเกาหลีรุ่นใหม่ ขอบอกเลยว่าสาวกไลน์ไม่ควรพลาดอย่างแรง เป็นอีกหนึ่งจุดสุดฮิตของเหล่าบรรดาวัยรุ่นเกาหลีที่มักจะเข้ามาถ่ายรูปกับ บราวน์ (Brown) เจ้าหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางร้าน และสมาชิกตัวอื่นๆ เช่น โคนี่ (Cony), เจมส์ (James) เป็นต้น สถานที่แห่งนี้ยังจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับไลน์ แทบจะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า อุปกรณ์เครื่องเขียน จาน ชาม แก้ว หมอน ฯลฯ ซื้อให้คนอื่นก็ได้ ใช้เองก็ดี สอยกลับบ้านเป็นของฝากได้ไม่ต้องอายใคร!

ชั้นล่างสุดมีเปิดเป็นคาเฟ่ในธีมไลน์ ให้นั่งชิลกันด้วย LINE FRIENDS Café & Store นี้ ยังมีอีกหนึ่งสาขาอยู่ในย่านเมียงดง

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล

สาวก LINE ไม่ควรพลาด! ช้อปของแท้ LINE FRIENDS Café & Store ที่โซล
[info-t] 10:30-21:30 น.
[info-d] รถไฟใต้ดิน Line 3 สถานี Sinsa ทางออก 8 แล้วเดินตรงมาเลี้ยวซ้ายซอยที่สามเข้าถนนกาโรซูกิล Garosu-gil (Dosan-daero 13-gil) ไปประมาณ 400 เมตร ร้านอยู่ทางซ้ายมือ
[info-w] www.linefriends.com
[info-g ] 37.51979, 127.02292

เรื่องและภาพ: DPlus Guide Team

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Village Paju Camp) เดินทางได้ง่ายๆ จากโซล

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล
เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษเมืองพาจู หรือ Gyeonggi English Village Paju Camp อยู่ไม่ไกลจากโซลนัก คนที่ไปเที่ยวโซล สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ จากตัวเมือง เพียงลงรถไฟใต้ดินที่สถานี  สถานี Hapjeong แล้วต่อรถบัส

หมู่บ้านอังกฤษเมืองพาจู หรือ Gyeonggi English Village Paju Camp ที่นี่ตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ชาวเกาหลีได้ฝึกฝนทักษะด้านภาษาอังกฤษโดยที่ไม่ต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลี เปิดให้บริการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 ซึ่งจำลองทั้งอาคารเรียน ร้านอาหาร และสถาปัตยกรรมอื่นๆ เหมือนกับหลุดไปอยู่ในประเทศอังกฤษกันเลย ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปบรรยากาศแปลกๆ แตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในเกาหลีกัน

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

นอกจากเป็นแคมป์ฝึกภาษาแล้วที่นี่ยังเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนทั่วไปเข้ามาถ่ายภาพและสัมผัสบรรยากาศสไตล์อังกฤษ โดยเจ้าหน้าที่และพนักงานทุกคนจะสนทนาพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อความสมจริงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการฝึกฝนทักษะทางด้านภาษาไปในตัว ซึ่งที่แคมป์นี้มีกฎเหล็กว่า “เมื่ออยู่ที่แคมป์ทุกคนต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเท่านั้น” (Only English, No Korean)

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

ทีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติแบบเรา ถึงไม่รู้เกาหลี ก็เข้าไปโฟล่วยาวๆ ได้เหมือนกัน! (แต่ต้องใช้ภาษาอังกฤษแทนนะ) การเดินทางจากโซลก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ลงรถไฟใต้ดิน Line 2 หรือ Line 6 สถานี Hapjeong ทางออก 1 แล้วไปขึ้น รถบัสสาย 2200 ลงป้ายที่ 16 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงแล้ว!

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Villages Paju Camp) เดินทางได้จากโซล

 

เที่ยวเกาหลี หมู่บ้านอังกฤษ เมืองพาจู (Gyeonggi English Village Paju Camp)
[info-t] 09:30-18:00 น.
[info-p] 3,000 วอน (วันเสาร์และอาทิตย์ 5,000 วอน)
[info-d] รถไฟใต้ดิน Line 2 หรือ Line 6 สถานี Hapjeong ทางออก 1 ขึ้นรถบัสสาย 2200 ลงป้ายที่ 16 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
[info-w] www.english-village.or.kr
[info-g ] 37.78482, 126.70266

เรื่องและภาพ: DPlus Guide Team

7 ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

7 ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ชาว DPlus Guide! วันนี้ “บุหลันดั้นเมฆ” หนึ่งใน ทีมงาน DPlus Guide ขอแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเอง โดยนำประสบการณ์และความทรงจำดีๆ ที่ได้รับจากการเที่ยวเอง-ลุยเอง-เอาตัวรอดเอง มาสรุปเอาไว้เป็น “ทริค 7 ข้อ เพื่อการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ” ให้เพื่อนๆ นำไปใช้ประโยชน์กันค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่นเอง ด้วย 7 ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

เชื่อว่าหลายๆ คนที่คลิกเข้ามาอ่านในบทความนี้ มักจะเป็นคนที่ชื่นชอบในการไปท่องเที่ยวด้วยตัวเองใช่ไหมคะ แต่ในการไปญี่ปุ่นครั้งแรกอาจจะยังกังวลในเรื่องของภาษา ฟังญี่ปุ่นไม่ออก แถมไม่เก่งภาษาอังกฤษอีก มันจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

วันนี้เรามีทริคพื้นฐานในการเอาตัวรอดในญี่ปุ่นที่เราเคยใช้จริงแล้วได้ผลมาฝากค่ะ มาดูกันเลยค่ะ

 

ข้อแรก ยิ้มเข้าไว้ แล้วจะรอด…

ประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเอง คือตอนผ่าน ตม. (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) ค่ะ ด้วยความที่ตอนนั้นไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก แถมยังเป็นประเทศแรกที่เราจะได้ออกไปเที่ยวนอกจากเมืองไทย เลยทำตัวตื่นเต้นผิดปกติจากคนอื่นๆ บวกกับเคยได้ยินมาว่า “ตม. ที่นี่โหดมาก!!!” ตอนผ่านตม. ครั้งแรกก็โดนเลยค่ะ โดนถามเยอะกว่าคนทั่วไป และด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่นที่ทำเราสับสนนิดหนึ่ง ถึงกับเขวในการที่จะตอบคำถาม ในใจคิดว่าเอาไงดี ยิ้มไปแล้วกัน มองตากันอยู่สักพัก สุดท้าย ตม. ก็ปล่อยเราผ่านออกมาค่ะ  รอดไป… (สำหรับทริคนี้ไม่รับปากนะคะว่าจะสามารถใช้ได้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนใน ตม. รึเปล่า สำคัญที่เหตุการณ์ ณ ตอนนั้นบวกกับดวงต้องดีด้วยค่ะ)

แต่ที่ใช้ได้ผลและเห็นได้ชัดๆ น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่คนญี่ปุ่นรู้ว่าเราเป็นคนไทยแล้วพยายามชวนเราคุยแต่เราฟังไม่ออกค่ะ เราก็ยิ้มไปซึ่งเขาก็ยิ้มกลับมาประมาณว่าเข้าใจกัน หรือที่เรียกว่าใช้ภาษากายคุยกันนั่นแหละค่ะ ^^

เที่ยวญีปุ่่นเอง "ยิ้มเข้าไว้ แล้วจะรอด" ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

 

ข้อ 2. จำไว้ 3 คำนี้ ท่องให้ขึ้นใจ

เวลามีชาวต่างชาติมาเที่ยวบ้านเราแล้วเขาพยายามที่จะพูดภาษาไทยดูน่ารักน่าเอ็นดูดีนะคะ คนญี่ปุ่นก็มองเราแบบนั้นเช่นกันค่ะ 3 คำนี้ท่องให้ขึ้นใจได้ใช้แน่นอน

“ไฮ!” = ใช่ค่ะ / ใช่ครับ

“อาริกะโตะ โกไซอิมัส” = ขอบคุณค่ะ / ขอบคุณครับ

“โกเม็นนาไซ” =  ขอโทษค่ะ / ขอโทษครับ

สังเกตได้หลังจากที่พูดจบเราจะเห็นรอยยิ้มของคนญี่ปุ่นที่แตกต่างไปจากเดิมแน่นอน… ^^

เที่ยวญี่ปุ่นเอง "จำไว้ 3 คำนี้ ท่องให้ขึ้นใจ" ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

 

ข้อ 3. รูปภาพช่วยชีวิต

ในกรณีที่เราท่องเที่ยวด้วยตัวเอง แล้วเกิดหลงทางบอกชื่อสถานที่ไปคนญี่ปุ่นก็ไม่รู้จัก รูปภาพสามารถช่วยชีวิตเราได้ค่ะ เพราะบางสถานที่คนญี่ปุ่นกับเราอาจจะเรียกชื่อไม่เหมือนกัน หรือสำเนียงของเราอาจจะพูดเพี้ยนจนคนญี่ปุ่นงงก็เป็นได้

ประสบการณ์ที่รูปภาพเคยช่วยชีวิตเราไว้ คือครั้งหนึ่งที่ร้านอาหาร เราดูเมนูหน้าร้านแล้วรู้สึกอยากทานร้านนี้มาก พอเดินเข้าไปดันมีแต่เมนูภาษาญี่ปุ่นไม่มีรูปภาพประกอบด้วย เราเลยขอตัวกับคุณป้าแล้วรีบวิ่งออกมาเพื่อถ่ายรูปอาหารพลาสติกหน้าร้านที่อยากทานแล้วกลับเข้าไปใหม่ คุณป้าใจดีมากช่วยกดที่ตู้สั่งอาหารให้เราด้วยค่ะ  มื้อนั้น…รอดตาย

แล้วก็มีอีกหลายๆเหตุการณ์ที่รูปภาพสามารถช่วยชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เราต้องการซื้อยาทานวดขา หรือเป็นตอนที่เราหาของที่ต้องการใช้ในร้านสะดวกซื้อไม่เจอค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่นเอง "รูปภาพช่วยชีวิต" ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

 

ข้อ 4. ลองผิด ลองถูก

ของใช้ส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นถูกออกแบบมาให้สะดวกต่อการใช้งานของผู้ใช้ ซึ่งคนที่เดินทางไปในครั้งแรก อาจจะยังไม่คุ้นเคย และบางอย่างมีแต่ภาษาญี่ปุ่นกำกับ ตัวอย่างเช่น ชักโครก ที่มีปุ่มให้เลือกกดมากมาย ลองกดใช้ดูค่ะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

การลองผิดลองถูกในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปลองซะทุกอย่าง หรือลองมั่วจนเครื่องพังนะคะ ให้ลองเฉพาะในกรณีที่เราจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนั้นจริงๆ เช่น ตู้สั่งอาหารอัตโนมัติ หรือถ้าเกินความสามารถของเรายังไง ก็ให้ขอความช่วยเหลือจากคนในพื้นที่ค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่นเอง "ลองผิดลองถูก" ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

 

ข้อ 5. ใจกล้า อย่าอาย

หากต้องการความช่วยเหลือให้กล้าถามค่ะ พูดภาษาอังกฤษเป็นคำๆ ไป แกรมม่าไม่ต้องเป๊ะมากก็ได้ คนญี่ปุ่นฟังออกค่ะ แต่เขาอาจจะพูดกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่นหรืออาจจะพูดภาษาอังกฤษเป๊ะจนเราต้องตะลึง ก็ให้เราย้อนกลับไปอ่านที่ข้อแรกคือ ยิ้มไว้ก่อน หรือทำตามข้อที่สอง ตอบกลับไปว่า “ไฮ!!” แทน เราเคยไปถามทางกับคนญี่ปุ่น แต่เขาอธิบายให้เราฟังไม่ถูก เขาเลยพาเราไปส่งถึงที่เลยค่ะ รู้สึกเกรงใจอย่างแรง

ประสบการณ์ที่เคยเจอ ครั้งนั้นเราไปเที่ยวที่ วัด Tokyo-wan Kannon ที่จังหวัดจิบะค่ะ เป็นวัดที่มีเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่สีขาวตั้งอยู่บนยอดเขาริมทะเล ทางที่จะขึ้นไปได้คือ ต้องโบกแท็กซี่เท่านั้น และเป็นความโชคดีที่เราขอนามบัตรกับคุณลุงแท็กซี่คนนี้ไว้ก่อนจะลง แต่ความโชคร้ายคือ เราไม่มีซิมโทรศัพท์ไว้สำหรับโทร แถมยังมีความโชคร้ายซ้ำสอง คือใน Information Center ของที่นี่ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลยแม้แต่คนเดียว เราจึงอาศัยความใจกล้า หาใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือ เราบอกความต้องการให้คุณลุงที่กำลังเดินชมองค์เจ้าแม่กวนอิมฟัง พร้อมยื่นนามบัตรของคุณลุงแท็กซี่ให้ และก็ได้ผลจริงๆ ค่ะ กลับลงมาขึ้นรถไฟไปโตเกียวด้วยเวลาที่เฉียดฉิวพอดี…

เที่ยวญี่ปุ่นเอง "ใจกล้า อย่าอาย" ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

 

ข้อ 6. รู้จักเอะใจ แล้วกลับตัวให้เร็ว

การท่องเที่ยวด้วยตัวเองหรือการมาเที่ยวคนเดียว สติสำคัญที่สุดค่ะ ยกตัวอย่างเช่นการขึ้นรถไฟ อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดีว่ารถไฟที่ญี่ปุ่นค่อนข้างตรงเวลามาก ยิ่งถ้าเป็นรถไฟในเมืองโตเกียวด้วยแล้ว รถไฟจะมาถี่มากโดยที่แต่ละขบวนก็จะมีปลายทางที่ต่างกันออกไป

ประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเองก็คือการขึ้นรถไฟผิดขบวน จากที่เช็กเวลาใน เว็บไซต์ Hyperdia บอกกับเราว่ารถไฟจะออกในเวลา 08:12 น. ซึ่งในตอนที่เราไปถึงชานชลาเป็นเวลา 08:05 น. เรารออีกสักพัก รถไฟก็มาค่ะ มาตอน 08:07 น. เราก็ขึ้นไปหาที่นั่งเรียบร้อย รถไฟปิดประตูตอน 08:09 น. เริ่มไม่ใช่แล้ว เราเช็คดูใน Google Maps ปรากฏว่า ถ้าเลยไปอีก 2 สถานีจะเป็นทางแยก ท่าไม่ดีแล้วแฮะ เรารีบกระโดดลงสถานีหน้าแล้วเริ่มต้นใหม่ค่ะ ไม่อย่างนั้นก็คงจะหลงไปไหนต่อไหนไกลเป็นแน่เลย… เพราะฉะนั้นต้องมีสติค่ะ สติ

เที่ยวญี่ปุ่นเอง "รู้จักเอะใจ แล้วกลับตัวให้เร็ว" ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

 

ข้อ 7. ช่างสังเกต

การท่องเที่ยวในต่างแดนเราต้องเป็นคนช่างสังเกตให้มากๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทาง กฎระเบียบต่างๆ หรือมารยาททางสังคมของที่นี่ ยกตัวอย่างเช่น   การส่งเสียงดังขณะที่อยู่บนรถไฟในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นข้อห้ามนะคะ (ดูเพิ่มเติมได้ที่: มารยาทควรรู้ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น : ภาคการเดินทางภายในญี่ปุ่น) และจุดที่ใช้ต่อแถวก่อนขึ้นรถไฟ บางสถานีจะมีป้ายที่พื้นบอกว่า “Women Only” หากคุณผู้ชายหลงไปต่อคิวที่แถวนี้อาจจะมีอายได้ค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่นเอง "ช่างสังเกต" ทริคพื้นๆ ในการเอาตัวรอด ณ แดนปลาดิบ

เพียงแค่นี้เราก็สามารถเอาตัวรอดที่ประเทศญี่ปุ่นได้แล้วในระดับหนึ่งแล้ว เที่ยวให้สนุกนะคะ…

เรื่องและภาพ: บุหลันดั้นเมฆ DPlus Guide Team

“มาเที่ยวไต้หวันต้อง…!” 6 สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวไต้หวัน

มาเที่ยวไต้หวันต้องปั่นจักรยาน!

กระแสเที่ยวไต้หวันมาแรงเกินร้อย! วันนี้ “ตะไคร้” จะขอจอยด้วยอีกคน ไปดูกันซิว่า ไปไต้หวันต้องเที่ยวอย่างไร จึงจะทำให้ทริปของคุณเปลี่ยนไป . . .

มาเที่ยวไต้หวันต้องปั่นจักรยาน!

มาเที่ยวไต้หวันต้องปั่นจักรยาน!

ไหนๆ ไต้หวันก็มีทุกอย่างเพียบพร้อมสำหรับการปั่นจักรยาน ทั้งเลนปั่นจักรยานบนถนน เส้นทางปั่นจักรยานชมวิว ตลอดจนร้านจักรยานให้เช่าปั่นทั่วไป ทั้ง จักรยานสาธารณะ YouBike และจักรยานจากร้านเช่า ก็ต้องไม่เสียทีจัดไปตามนั้นสิคะ ไปเช่าจักรยานมาปั่นตามเส้นทางจักรยานยอดฮิตต่างๆ ก็ดี เช่น เส้นทางจักรยานเลียบแม่น้ำตั้นสุ่ยในไทเป หรือขี่จักรยาน YouBike เที่ยวชมเมืองแทนการนั่งรถไฟฟ้า MRT ก็เลิศ จะได้เห็นเมืองในมุมมองใหม่ๆ และสัมผัสวิถีชิวิตผู้คนอย่างใกล้ชิด (แต่อย่าไปปั่นใกล้ชิดเบียดคนเดินบนทางเท้านะ. . .)

มาเที่ยวไต้หวันต้องปั่นจักรยาน!

 

มาเที่ยวไต้หวันต้องเที่ยวตลาดกลางคืน!

มาเที่ยวไต้หวันต้องเที่ยวตลาดกลางคืน!

อันนี้พลาดไม่ได้สุดๆ เพราะทุกเมืองต้องมีตลาดกลางคืนอย่างน้อยหนึ่งแห่ง (ถ้าอย่างมากก็เป็นสิบ เช่น ในไทเป) ดึงดูดทั้งชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวให้มาเดินเที่ยวกันขวักไขว่  เวลามาเที่ยวก็ต้องเตรียมสิ่งต่อไปนี้

(1) ท้องเพื่อกิน! ตลาดกลางคืนเป็นแหล่งกินดีๆ นี่เอง มีอาหารข้างทางให้เลือกกิน/ชิมไม่ขาดสาย แถมทุกตลาดก็มีอาหารขึ้นชื่อประจำถิ่นที่ต้องลอง
(2) เงินเพื่อช้อป! ตลาดหลายแห่งก็มีฟังก์ชั่นเป็นย่านช้อปไปในตัว แฟชั่นของที่ขายก็ขึ้นอยู่กับที่ตั้งของตลาด ตั้งแต่แนววัย-สะ-รุ่น แนวฮิป-สะ-เตอร์ ยันแนวที่รุ่นอากงอาม่าชื่นชอบ และสุดท้าย
(3) ขาเพื่อเดิน! ตลาดกลางคืนเป็นตลาดกลางแจ้งตั้งครอบคลุมพื้นที่บนถนนหลายเส้น บางแห่งก็ใหญ่มว้าก เตรียมขาเตรียมกำลังมาเดินให้ทันปากที่หิวกับมือที่ช้อปละกัน ;)

มาเที่ยวไต้หวันต้องเที่ยวตลาดกลางคืน!

 

มาเที่ยวไต้หวันต้องไหว้พระตามวัด!

 มาเที่ยวไต้หวันต้องไหว้พระตามวัด!

วัดในไต้หวันมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งผสมผสานความเชื่อในศาสนาพุทธ กับเทพเจ้าในลัทธิขงจื๊อและเต๋าเข้าด้วยกัน ทุกวัดจะต้องมีเทพเจ้าอย่างน้อยหนึ่งองค์เป็นองค์พระประธานวัด บางแห่งก็ประดิษฐานเทพเป็นร้อยองค์ ให้ผู้คนได้มากราบไหว้ขอพรกันครบถ้วนทุกความปรารถนา ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสายไหว้พระ อย่างน้อยก็มาดื่มด่ำกับศิลปะสถาปัตยกรรมของวัดและชื่นชมแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไต้หวันก็ดี

มาเที่ยวไต้หวันต้องไหว้พระตามวัด!

 

มาเที่ยวไต้หวันต้องเดินป่าชมธรรมชาติ!

มาเที่ยวไต้หวันต้องเดินป่าชมธรรมชาติ!

เกือบทั้งเกาะไต้หวันเป็นแนวเทือกเขาพื้นที่สีเขียว ทุกเมืองมีภูเขามีธรรมชาติ มีเส้นทางเดินป่าที่ปลอดภัย แถมการเดินทางไปที่เหล่านี้ก็สะดวกสบาย เช่น นั่งรถบัสไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงเขาหยางหมิงซานในไทเป ดังนั้นลองหนีความวุ่นวายในตัวเมือง มาเดินในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ใกล้ชิดเพื่อนใหม่ๆ ทั้งเพื่อนมนุษย์ สัตว์ตัวน้อย นก และแมลง สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดสองข้าง ฟอกทั้งปอดและใจให้เป็นสีเขียวไปเลย เลเวลอัพ!

มาเที่ยวไต้หวันต้องเดินป่าชมธรรมชาติ!

 

มาเที่ยวไต้หวันต้องนั่งรถไฟชมทิวทัศน์!

มาเที่ยวไต้หวันต้องนั่งรถไฟชมทิวทัศน์!

ไต้หวันมีทางรถไฟวิ่งวนรอบเกาะ การเดินทางข้ามเมืองต่างๆ จึงสะดวกสบายและรวดเร็ว รถไฟที่นี่ก็ตรงเวลาด้วย ระหว่างนั่งก็หันออกไปดื่มด่ำกับบรรยากาศชนบทนอกหน้าต่าง แอบกระซิบว่ารถไฟสายตะวันออกนั้นสวยเป็นพิเศษ แม้รถจะไม่ได้วิ่งเลียบทะเล แต่ก็วิ่งผ่านที่ราบลุ่มในหุบเขา (East Rift Valley) ระหว่างเมืองฮวาเหลียนและไถตง นอกจากนั้น ไต้หวันยังมีเส้นทางรถไฟสายท่องเที่ยวสุดคลาสสิกที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ เส้นทางรถไฟสายเก่าผิงซี แวะเที่ยวสถานีรถไฟเก่าไม่ไกลจากไทเป, เส้นทางรถไฟขึ้นเขาอาหลี่ซาน เผยความงดงามของหุบเขาหมอกบนรถไฟแดงรุ่นเดอะ, เส้นทางรถไฟสายเก่าจี๋จี๋ สายท่องเที่ยวสายแรกของไต้หวัน และเส้นทางรถไฟสายเน่ยวาน พาย้อนวันวานสุดโรแมนติก อย่างน้อยลองนั่งดูสักสาย ฉึก ฉัก ฉึก ฉัก เพลิดเพลินไปช้าๆ

มาเที่ยวไต้หวันต้องนั่งรถไฟชมทิวทัศน์!

 

มาเที่ยวไต้หวันต้องประทับตราล่าตัวปั๊ม!

มาเที่ยวไต้หวันต้องประทับตราล่าตัวปั๊ม!

แทบทุกสถานที่ท่องเที่ยว สถานีขนส่งมวลชนและเมืองต่างๆ ในไต้หวัน จะมีตัวปั๊มลายสถานที่นั้นๆ ให้เราได้ประทับตรา เสมือนเช็กอิน (check-in) ว่าเราได้มาถึงที่นั่นแล้ว (คล้ายๆ กับที่ญี่ปุ่น) เพิ่มความสนุกให้กับการเที่ยวที่ต่างๆ เป็นเท่าตัว และยังสนุกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จุดตัวปั๊มมักจะอยู่ตามศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จุดจำหน่ายตั๋ว และภายในสถานที่ท่องเที่ยวให้เราออกตามล่ากัน อย่าลืมเตรียมสมุดเปล่าๆ มาด้วยนะ หรือ ซื้อสมุดลายประเทศไต้หวันเก๋ๆ จะได้ปั๊มกันได้เต็มแม็กซ์เลย

มาเที่ยวไต้หวันต้องประทับตราล่าตัวปั๊ม!

เรื่องและภาพ: ตะไคร้ DPlus Guide Team

เที่ยวโตเกียว ร้าน Bincho ชิมข้าวหน้าปลาไหลเตาถ่าน ฮิทสึมาบูชิ

แนะนำร้านดีๆ สำหรับคนเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ DPlus Guide ขอเอาใจคนชอบรับประทานข้าวหน้าปลาไหลหน่อยนะคะ ขอบอกเลยว่า ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั่งเดิมเลยนะ นั่นก็คือ ร้าน Bincho ตั้งอยู่ที่ Tokyo Skytree Town Solamachi ชั้น 6 เป็นร้านที่มีชื่อเสียงไม่เป็นรองไปกว่าร้านเท็มปุระหรือซูชิดังๆ เลย

เมนู Jou-Hitsumabushi ข้าวหน้าปลาไหลฮิทสึมาบูชิ ร้าน Bincho
เมนู Jou-Hitsumabushi ราคา 3,980 เยน (ไม่รวมภาษี)

เมนูแนะนำของทางร้านคือ ข้าวหน้าปลาไหลฮิทสึมาบูชิ แบบต้นตำรับแท้ๆ ซึ่งถือเป็นอาหารท้องถิ่นและมีชื่อเสียงของเมืองนาโงยา ปลาไหลเนื้อนุ่มรสชาติอร่อยส่งกลิ่นหอมโชยเตะจมูก เพราะทางร้านใช้วิธีย่างด้วยถ่านและให้เราได้เห็นการย่างกันตั้งแต่หน้าร้านเลย นี่คือสไตล์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร สำหรับคนชอบทานปลาไหลไม่ควรพลาด !!!

ที่ย่างปลาไหล ในร้านข้าวหน้าปลาไหล Bincho
ที่ย่างปลาไหลซึ่งลูกค้าสามารถชมได้อย่างใกล้ชิด

นอกจากสาขาที่โตเกียวสกายทรีแล้ว ยังมีสาขาที่ Ginza และที่ Ikebukuro Parco ซึ่งทุกสาขาเราจะได้รับประทานข้าวหน้าปลาไหลฮิทสึมาบูชิที่อร่อยและรสชาติไม่ผิดเพี้ยน

เที่ยวญี่ปุ่น ร้านข้าวหน้าปลาไหล Bincho
กลิ่นหอมของการย่างด้วยถ่านเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของข้าวหน้าปลาไหลฮิทสึมาบูชิเมืองนาโงยา
เที่ยวญี่ปุ่น Umaki ปลาไหลย่างร้านข้าวหน้าปลาไหล Bincho
Umaki คือเมนูที่ใช้ไข่และปลาไหลย่างมาประกอบเป็นอาหาร

Did you know ?

เคล็ดลับการทานข้าวหน้าปลาไหลฮิทสึมาบูชิที่อร่อยและได้รับความนิยม 3 รูปแบบคือ
1. รับประทานข้าวกับปลาไหลย่างหอมกรุ่น
2. เติมต้นหอมและวาซาบิลงไปรับประทานร่วมกัน
3. ก่อนจะรับประทานแบบที่ 2 หมดให้เติมน้ำซุป สาหร่าย ต้นหอมและวาซาบิเพื่อให้ได้ข้าวหน้าปลาไหลฮิทสึมาบูชิลักษณะคล้ายข้าวต้มแล้วรับประทานต่อ รับรองว่าจะเพลิดเพลินไปกับการรับประทานได้อย่างครบครัน

 

ร้าน Bincho สาขา Tokyo Skytree Town Solamachi
[info-t “”] ทุกวัน เวลา 11:00 – 23:00 น. Last order 22:00 น. วันหยุดจะสอดคล้องตามวันหยุดของห้าง Solamachi ฝั่ง East Yard
[info-d “”] ตั้งอยู่ที่ Tokyo Skytree Town Solamachi ชั้น 6 นั่งรถไฟสาย ToKyo Skytree ลงสถานี Tokyo Skytree แล้วเดินต่ออีก 5 นาที หรือนั่งรถไฟใต้ดินสาย Asakusa ลงสถานี Oshiahe แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
[info-w “”] http://hitsumabushi.co.jp
[info-g “”] 35.710249, 139.812378

สาขา Ginza
[info-t “”] Open 11:00 – 15:30 น. Last Order 15:00 น. และ 17:00 – 23:00 น. Last Order 22:00 น.
[info-d “”] อยู่ที่ชั้น 12 Marronier Gate นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Ginza แล้วเดินต่ออีก 4 นาที หรือนั่งรถไฟ JR ลงสถานี Yurakucho แล้วเดินต่ออีก 3 นาที

สาขา Ikebukuro Parco
[info-t “”] Open 11:00 – 15:30 น. Last order 15:00 น. และ 17:00 – 23:00 น. Last order 22:00 น.
[info-d “”] อยู่ที่ชั้น 8 IKEBUKURO PARCO Main Building นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Ikebukuro ทางออก East อาคารติดกับสถานี

อยากขับรถเที่ยวเองไม่ยาก วิธีขอใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ แบบ Step-by-Step

อยากขับรถเที่ยวต่างประเทศฟังทางนี้ วิธีขอใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ! แบบ Step by Step!

ครั้งก่อนเราได้ทราบถึง ขั้นตอนการทำพาสปอร์ตผ่านระบบจองคิวล่วงหน้าในแบบออนไลน์ กันไปแล้ว มาคราวนี้ผมจะพาไปดูขั้นตอนการขอใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศหรือ ใบขับขี่สากล กันดูมั่ง ไหนๆก็จะไปเที่ยวต่างประเทศทั้งที เผื่อจะมีโอกาสได้ลองเช่ารถขับเที่ยวชิลล์ๆ ไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วยตัวเองดูบ้าง

อยากขับรถเที่ยวต่างประเทศฟังทางนี้ วิธีขอใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ! แบบ Step by Step!

ก่อนอื่นก็ต้องสำรวจตัวเองดูก่อนว่า มีเอกสารหลักฐานที่ใช้ประกอบการยื่นคำขอเหล่านี้พร้อมแล้วหรือไม่

หลักฐานประกอบคำขอ “ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ” หรือ “ใบขับขี่สากล”

  1. สำเนาหนังสือเดินทาง เล่มที่ใช้ในการเดินทาง และประวัติหน้าที่มีการแก้ไข (พร้อมฉบับจริง)
  2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (พร้อมฉบับจริง)
  3. สำเนาใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ หรือ 5 ปี (พร้อมฉบับจริง) และหากมีใบขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยอยู่แล้ว ก็สามารถยื่นสำเนาไปพร้อมกันด้วยได้เลย เพราะจะระบุไว้ในเล่มเดียวกันและไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ เพิ่มเติม ซึ่งเท่ากับว่าจะสามารถขับขี่รถจักรยานยนต์ในต่างประเทศได้ด้วย
  4. รูปถ่ายสี ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป หน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้ม ภาพหลังเป็นสีพื้นไม่มีวิวทิวทัศน์ อายุของรูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน
  5. ค่าธรรมเนียม 505 บาท

ถ้าเอกสารหลักฐานต่างๆพร้อมแล้ว ก็อย่าลืม ***เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง*** ให้ครบถ้วนด้วย จากนั้นก็ตรงไปที่สำนักงานขนส่งจังหวัดใกล้บ้าน แล้วนำเอกสารหลักฐานต่างๆไปยื่นขอใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศหรือใบขับขี่สากลได้เลย

แต่ถ้าหากไม่สามารถไปยื่นขอหรือดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ก็ให้ตัวแทนนำ ใบมอบอำนาจ (ดาวน์โหลด) ที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้วพร้อมติดอากรแสตมป์ 10 บาท และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ มายื่นพร้อมเอกสารหลักฐานต่างๆแทนก็ได้

ขั้นตอนการดำเนินการ

เนื่องจากผมอยู่ใกล้กับตลาดนัดสวนจตุจักร จึงขอยกตัวอย่างขั้นตอนการไปยื่นขอใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศหรือใบขับขี่สากล ณ ที่ทำการของ กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับตลาดนัดสวนจตุจักร ใกล้รถไฟฟ้า BTS หมอชิต และรถไฟใต้ดิน MRT สวนจตุจักร นะครับ ส่วนสำนักงานขนส่งในจังหวัดอื่นๆ ก็จะใช้หลักฐานและขั้นตอนการดำเนินการที่เหมือนกันครับ

มาถึงที่ทำการของกรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

ด้านในที่ทำการของกรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

1. เตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อมก่อนออกจากบ้านเพื่อความสะดวก (กรณีมาใช้บริการที่ กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร ถ้าหากฉุกละหุกจริงๆ ไม่มีโอกาสได้เตรียมถ่ายสำเนาบัตรต่างๆ และรูปถ่ายมาก่อนล่วงหน้า ก็สามารถมาใช้บริการถ่ายเอกสารและถ่ายรูปติดบัตรได้ที่ใต้ตึกที่ทำการอาคาร 4 ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เตรียมรูปถ่ายมา ต้องมาถ่ายเอาที่นี่ ^_^!)

รับเอกสารมาพร้อมบัตรคิวจากห้องประชาสัมพันธ์ที่ชั้น 2 ของอาคาร 4 กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร

เตรียมเอกสารให้พร้อม และรับบัตรคิวสำหรับรอรับบริการทำใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศหรือ ใบขับขี่สากล

2. เมื่อเอกสารพร้อม ผมก็เดินทางไปที่กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร ไปที่ อาคาร 4 จากนั้นเดินขึ้นไปที่ ชั้น 2 ตรงเข้าไปยัง ห้องประชาสัมพันธ์ ที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งด้านในจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตามช่อง ให้บอกไปว่าเราจะมาทำใบขับขี่ระหว่างประเทศ แล้วยื่นเอกสารหลักฐานที่เตรียมมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ถ้าเรียบร้อยก็รับเอกสารมาพร้อมบัตรคิว เจ้าหน้าที่จะแจ้งว่าให้ไปนั่งรอคิวเรียกที่หน้าช่องบริการหมายเลข 19-22

ยื่นเอกสารหลักฐานให้เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกตรวจ ถ้าเรียบร้อยก็ชำระค่าธรรมเนียม

ยื่นเอกสารหลักฐานให้เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกตรวจ ถ้าเรียบร้อยก็ชำระค่าธรรมเนียม

3. ถึงคิวเรียกให้เดินไปที่ช่องบริการตามหมายเลข พร้อมกับยื่นเอกสารหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ถ้าเรียบร้อยก็ชำระค่าธรรมเนียม เจ้าหน้าที่จะบอกว่าใบอนุญาตจะมีอายุการใช้งาน 1 ปี จากนั้นให้เรากลับมานั่งรอเรียกชื่อเพื่อรับใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ

รับใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ (ใบขับขี่สากล)

ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ (ใบขับขี่สากล)

4. เมื่อเจ้าหน้าที่ในช่องบริการที่ 22 เรียกชื่อ จึงเดินไปรับใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ พร้อมกับเซ็นชื่อในเอกสาร เป็นอันเรียบร้อย (เนื่องจากใบอนุญาตจะเป็นสมุดพับที่ทำจากกระดาษ คุณสามารถติดต่อขอซื้อซองพลาสติกใส่ได้ที่ช่องบริการนี้เลย)

รายชื่อประเทศที่ใช้ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ หรือใบขับขี่สากลได้

รายชื่อประเทศที่ใช้ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ หรือใบขับขี่สากลได้

รายละเอียดภายในเล่มใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ หรือใบขับขี่สากล

ลองเปิดดูในใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศที่ได้รับมา จะพบเห็นรายละเอียดต่างๆ เช่น รายชื่อประเทศและประเภทของรถที่สามารถนำเอาใบอนุญาตนี้ไปใช้ได้ ข้อมูลส่วนตัว และรูปถ่าย เป็นต้น

เบ็ดเสร็จแล้วหากไม่ติดขัดเรื่องเอกสารหลักฐานใดๆ ทั้งหมดนี้น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที เรียกได้ว่าระบบราชการยุคใหม่สะดวกและรวดเร็วมากๆครับ

เรื่องและภาพ: Superman DPlus Guide Team

เที่ยวฮอกไกโด ชมปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ชมด้านในปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ปราสาท Matsumae เมือง Matsumae ใกล้ฮาโกดาเตะ (Hakodate) ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido) ยามดอกซากุระผลิบาน ในฤดูใบไม้ผลิ

สำหรับใครที่แวะไปเที่ยวเมืองฮาโกดาเตะในหน้าดอกซากุระบานสะพรั่งแล้ว ถ้ามีเวลาเหลือ ปุ๋ยขอแนะนำที่เที่ยวอีกที่ที่คนญี่ปุ่นชอบไปเที่ยวชมและนั่งสังสรรค์กันท่ามกลางมวลดอกซากุระ ที่นั่นก็คือ ปราสาทมัตสึมาเอะ (Matsumae) ซึ่งอยู่ที่เมืองมัตสึมาเอะ (Matsumae) ทางตอนใต้ของเกาะฮอกไกโดนั่นเอง

การเดินทางจาก Hakodate ไม่ยาก แต่ต้องตื่นเช้าหน่อยจะได้มีเวลาเพลิดเพลินชมบรรยากาศกันได้เต็มอิ่ม โดยนั่งรถไฟจากสถานี Hakodate ลงไปที่สถานี Kikonai ซึ่งเส้นทางนี้จะมีรถไฟ 2 สาย ให้เลือกนั่ง มีรถไฟธรรมดาสาย JR Esashi ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง กับรถไฟด่วน LTD. EXP Super Hakocho ใช้เวลาประมาณ 40 นาที หรือจะเลือกนั่งรถบัสทัวร์จากหน้าสถานี Hakodate ไปลงที่เมือง Matsumae โดยตรง ออกเวลา 8:00 น. ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ค่าทัวร์ 3,500 เยน (ไม่ต้องจองล่วงหน้า)

ส่วนการเดินทางในครั้งนี้ ปุ๋ยเลือกที่จะขึ้นรถไฟธรรมดาสาย JR Esashi เวลา 06:53 น. ตามตารางเดินรถด้านล่าง

ตารางรถไฟ ไป เที่ยวฮอกไกโด ชมปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน JR Esashi Kikonaiมาถึงที่สถานี Kikonai เวลา 07:54 น. จากนั้นก็เดินมาขึ้นรถเมล์ที่อยู่หลังสถานี มองหาป้ายตารางเดินรถแล้วดูที่ชื่อ 松前夕一ミナル (Matsumae) มีทั้งหมด 10 เที่ยว (จากรูปเป็นตารางเวลาของเดือนพฤษภาคมปี 58 คิดว่าเวลาอาจจะปรับเปลี่ยนเที่ยวบ้างเล็กน้อย แต่ช่วงฤดูท่องเที่ยวชมซากุระน่าจะมีเยอะเที่ยวกว่าช่วงอื่นๆ เพราะฉะนั้นควรเตรียมตัวเดินทางออกแต่เช้าๆ จะได้รู้ว่าจะมีเวลาเดินเที่ยวที่ Matsumae กี่ชั่วโมง) รสบัสรอบถัดไปที่เราจะขึ้นก็คือเวลา 09:00 น. ยังพอมีเวลาเดินเล่นชมเมือง หรือหาข้าวทานสักมื้อ แต่ถ้าใครขี้เกียจรอก็สามารถขึ้นรถไฟด่วน LTD. EXP Super Hakocho รอบ 07:24 น. และ 08:08 น. ก็มาทันรถบัสรอบ 9:00 น. เหมือนกันค่ะ

ตารางรถไปเที่ยวชมปราสาท Matsumae ดูที่แผ่นขวาบน มีรถไป 10 เที่ยวด้วยกันค่ะ
ตารางรถไปเที่ยวชมปราสาท Matsumae ดูที่แผ่นขวาบน มีรถไป 10 เที่ยวด้วยกันค่ะ

รถเมล์จากสถานี Kikonai ไปถึง Matsumae จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ราคา 1,370 เยน โดยพอใกล้ๆ ถึง รถบัสจะวิ่งเลาะทะเลให้ได้นั่งชมวิวสวยงาม (เพราะฉะนั้นควรนั่งฝั่งซ้ายมือขาไป และนั่งฝั่งขวามือขากลับค่ะ) โดยรวมแล้วจะใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่งในการเดินทาง

รถบัสทัวร์ที่จะพาไปยังปราสาท Matsume Castle

วิวข้างทางจากรถบัสทัวร์ที่จะพาไปยังปราสาท Matsume Castle

พอลงป้ายก็เดินข้ามถนนเข้าไปยังตัวเมืองเพื่อเดินเข้าสู่ปราสาท Matsumae กันได้โลด

เที่ยวฮอกไกโด ชมปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

ก่อนเข้าไปชมบรรยากาศของปราสาทก็ขอเกริ่นความเป็นมาซักเล็กน้อยนะคะ ปราสาท Matsumae เป็นปราสาทที่มีประวัติอันยาวนานสมัยเอโดะ และเป็นปราสาทแห่งเดียวที่ถูกสร้างขึ้นบนเกาะฮอกไกโด ในยุครุ่งเรืองประชาชนคับคั่งกว่า 30,000 คน แถมยังเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าและการขนส่งที่สำคัญ ปราสาทแห่งนี้แต่เดิมฐานรากก่อด้วยปูนซีเมนต์ แต่ได้ถูกทำลายหลายครั้งในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา จึงมีการฟื้นฟูใหม่ด้วยคอนกรีตที่ทันสมัยและแข็งแรงขึ้นในปี 1960 ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น และแสดงสิ่งประดิษฐ์ของตระกูล Matsumae

เที่ยวฮอกไกโด ชมปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ชมปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

รู้ประวัติคร่าวๆ แล้วตามเข้าไปกันเลยค่ะ สำหรับการเข้าปราสาทจะเก็บค่าธรรมเนียมคนละ 360 เยน ภายปราสาทจะมีทั้งหมด 3 ชั้น แต่ละชั้นจะจัดแสดงประวัติและข้าวของสมัยก่อนอยู่รอบๆ ขึ้นไปข้างบนสามารถมองวิวออกมาจากหน้าต่างได้ ส่วนด้านนอกรอบตัวปราสาทจะรายล้อมไปด้วยดอกต้นซากุระ กว่าหมื่นต้น ซึ่งมีมากกว่า 250 สายพันธุ์เลยทีเดียว หากใครอยากรู้ว่าสายพันธุ์ไหนหน้าตาเป็นยังไงทางเหนือปราสาทจะมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆให้ข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของดอกแต่ละช่วง และภาพถ่ายให้ได้ชมกันด้วย

เที่ยวฮอกไกโด ชมปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ชมด้านในปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

และที่ขาดไม่ได้ซึ่งเป็นสีสันให้กับหน้าซากุระ ก็คือ “เทศกาลซากุระ” ที่ถูกจัดขึ้น โดยจะมีซุ้มอาหารแผงลอยหลากหลายชนิดมาเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อเลือกรับประทานท่ามกลางบรรยากาศที่มองไปทางไหนก็ฟูชูช่อไปด้วยดอกซากุระสีชมพู โดยเทศกาลจะจัดในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมเท่านั้น

เที่ยวฮอกไกโด ชมปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ชมด้านในปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ชมด้านในปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ชมด้านในปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ชมด้านในปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ซุ้่มงานเทศกาลซากุระ ปราสาท Matsumae Castle ยามดอกซากุระผลิบาน
ในเทศกาลซากุระที่ปราสาท Matsumae Castle ก็จะมีซุ้มขายอาหารมาเปิดขายอาหารที่นิยมทานกันในช่วงชมซากุระฤดูใบไม้ผลิด้วยค่ะ

เที่ยวฮอกไกโด ซุ้่มงานเทศกาลซากุระ ปราสาท Matsumae Castle ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ซุ้่มงานเทศกาลซากุระ ปราสาท Matsumae Castle ยามดอกซากุระผลิบาน

เที่ยวฮอกไกโด ซุ้่มงานเทศกาลซากุระ ปราสาท Matsumae Castle ยามดอกซากุระผลิบาน

หลังจากที่ได้เพลินเพลินกับบรรยากาศกันไปแล้ว การเดินทางกลับ ก็นั่งรถเมล์กลับไปต่อรถไฟที่สถานี Kikonai เหมือนตอนที่มาเลยค่ะ ที่ป้ายรถเมล์ขากลับ ให้ดูชื่อ 木古内行 (Kikonai) ตามตารางจะมีอยู่ทั้งหมด 4 เที่ยว เพราะฉะนั้นควรดูเวลาให้ดีนะคะ ไม่งั้นอาจตกรถได้ค่ะ

ป้ายรถเมล์ขากลับจาก Matsumae Castle

เที่ยวฮอกไกโด ชมปราสาท Matsumae ยามดอกซากุระผลิบาน
[info-t] 9:00 – 17:00 น. (เข้าได้ถึง 16:30 น.)
[info-p] 360 เยน
[info-d] นั่งรถไฟจากสถานี Hakodate ลงไปที่สถานี Kikonai หรือนั่งรถบัสทัวร์จากหน้าสถานี Hakodate ไปลงที่เมือง Matsumae แล้วนั่งรถเมล์จากสถานี Kikonai ไปถึง Matsumae จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที (ราคา 1,370 เยน)
[info-w] www.asobube.com
[info-g ] 41.429891, 140.108438

เรื่องและภาพ : @ipookpui DPlus Guide Team

เที่ยวญี่ปุ่น แนะนำร้านมีดซึบะยะ TSUBAYA ย่านอาสะกุสะ (Asakusa) โตเกียว

หากใครไปเที่ยวญี่ปุ่น แถบย่าน Asakusa ที่ถือเป็นย่านเก่าแก่และเป็นจุดรวมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงโตเกียว  ประเทศญี่ปุ่น ที่มีถนนสายช้อปปิ้งหลายสายมีร้านค้ารายล้อมเป็นจำนวนมาก เราจะขอแนะนำร้านมีด! …อย่าเพิ่งตกใจกันไปก่อนนะคะ ร้านมีดร้านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในการทำมีดคุณภาพดีเป็นอย่างมาก เหมาะจะเป็นของฝากแล้วยังเข้ากับธรรมเนียมญี่ปุ่นอีกด้วย ร้านนี้ก็คือ ร้านมีดซึบะยะ (TSUBAYA)

ร้านขายมีด ซึบะยะ (TSUBAYA) ดำเนินกิจการเป็นเวลายาวนานมากกว่า 60 ปี มีดของที่ร้านได้รับการยอมรับและเลือกใช้จากเหล่าบรรดาเชฟมืออาชีพ ด้วยคุณสมบัติที่มีความคม ความสวยงาม ใช้งานได้ทนทาน และมีให้เลือกหลากหลายแบบให้เหมาะกับวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นแต่ละชนิดด้วย

คุณไซโต้ (ขวา) ผู้สืบทอดกิจการร้านขายมีด ซึบะยะ (TSUBAYA) นี้เป็นรุ่นที่ 3
คุณไซโต้ (ขวา) ผู้สืบทอดกิจการร้านขายมีด ซึบะยะ (TSUBAYA) นี้เป็นรุ่นที่ 3

นอกจากนี้ยังมีมีดเฉพาะของทางร้านคือ “มีดซึบะยะ” ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหน ต้องมาหาซื้อที่ ร้านมีดซึบะยะ (TSUBAYA) เท่านั้น หากใครอยากหามีดดีๆ สักเล่มมาติดครัวไว้หรือจะซื้อเป็นของฝากให้กับคุณพ่อครัวหรือแม่ครัวก็ไม่ควรพลาดร้านนี้ค่ะ

เที่ยวญี่ปุ่น แนะนำร้านมีดซึบะยะ TSUBAYA ย่านอาสะกุสะ (Asakusa) โตเกียว
มีดที่มีความคมและคุณภาพกว่า 1,000 เล่ม วางเรียงรายให้เลือก โดยมีดแต่ละเล่มจะมีชื่อโรงงานที่ผลิตสลักไว้ด้วย เช่น คัปปะบะชิซึบะยะ เป็นต้น
เที่ยวญี่ปุ่น แนะนำร้านมีดซึบะยะ TSUBAYA ย่านอาสะกุสะ (Asakusa) โตเกียว
มีดที่ผลิตจากโรงงานของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีความทนและสามารถใช้งานได้ยาวนานมากกว่า 10 ปี ดังนั้น จุดสำคัญที่สุดของการเลือกมีด คือ วัสดุที่ใช้และราคา สิ่งที่เชฟมืออาชีพมักคำนึงถึงคือมีดแต่ละชนิดเหมาะสำหรับใช้กับวัตุดิบอาหารประเภทใด สำหรับครัวเรือนทั่วไปหากมีมีดเอนกประสงค์ที่เรียกว่า “Santokubochou” ก็เพียงพอแล้ว

Did you know?

Engimono Houchou ที่ประเทศญี่ปุ่นมีความเชื่อดั้งเดิมว่ามีดหรือของมีคมเป็นสิ่งมงคล เชื่อกันว่าเมื่อเรามีมีดหรือของมีคม เท่ากับว่าเราได้ “ทำลายความโชคร้าย” และเราจะได้ความสุขคืนกลับมา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงเบญจเพสหรือปีชง มีดหรือของมีคมถือว่าเป็นเครื่องรางป้องกันได้อย่างดี

ดังนั้นในวันสำคัญของชาวญี่ปุ่น เช่น วันแต่งงาน วัดเปิดกิจการ จะมีธรรมเนียมการมอบของมีคมเพื่อเป็นการอวยพร

เที่ยวญี่ปุ่น แนะนำร้านมีดซึบะยะ TSUBAYA ย่านอาสะกุสะ (Asakusa) โตเกียว

 

 

ร้านมีดซึบะยะ TSUBAYA
[info-t “”] วันธรรมดา 09:00 – 17:45 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 09:00 – 17:00 น. หยุดวันที่ 1 – 3 มกราคมของทุกปี
[info-d “”] นั่งรถไฟใต้ดินสาย Ginza ลงสถานี Tawaramachi แล้วเดินต่ออีก 5 นาที หรือสาย Tsukuba Express ลงสถานี Asakusa แล้วเดินต่ออีก 3 นาที
[info-g “”] 35.714443, 139.789302

เที่ยวญี่ปุ่นง่ายจัง! ให้แอพฯ JANG KENG ช่วยพูด!

เที่ยวญี่ปุ่นง่ายจัง! ให้แอพฯ JANG KENG ช่วยพูด!
เที่ยวญี่ปุ่นง่ายจัง! ให้แอพฯ JANG KENG ช่วยพูด!

เที่ยวญี่ปุ่นง่ายจัง! ให้แอพฯ JANG KENG ช่วยพูด!

จะไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่อีกไม่กี่วันนี้แล้ว ยังกังวลใจอยู่เลยว่าถ้าพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เป็นซ๊ากกก.ก.กคำ ไปถึงแล้วจะพูดจะคุยกับคนญี่ปุ่นเค้ารู้เรื่องมั๊ย? เวลามีปัญหาจะบอกกับเค้ายังไง? จะไปที่พัก จะทักทาย จะสอบถามร้านนั้นร้านนี้อยู่ตรงไหน จะไปเข้าห้องน้ำ จะโน่นนี่นั่นอีกสารพัด โอ๊ยยยย! ซีเรียสนะเนี่ย!

เที่ยวญี่ปุ่นง่ายจัง! ให้แอพฯ JANG KENG ช่วยพูด!

ใจร่มๆ ครับ ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้ทีวีไดเร็กต์…ขอเสนอ อ๊ะ!…ไม่ช่ายยย! เพราะถ้าคุณมี iPhone, iPad หรือแม้แต่ iPod touch ที่ใช้ iOS ตั้งแต่ 8.0 ขึ้นไป พกติดตัวไปด้วยแล้วล่ะก็ เรามีแอพพลิเคชั่นเด็ดและฟรีมานำเสนอ นั่นก็คือ “JANG KENG” แอพฯ ที่จะมาเป็นล่ามช่วยพูดภาษาญี่ปุ่นแทนคุณ!

ภายในแอพฯ JANG KENG นี้ มีการบันทึกคำพูดสำหรับเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่มักถูกใช้งานบ่อยๆ เอาไว้มากมาย พร้อมจัดหมวดหมู่ทำสารบัญเอาไว้อย่างเรียบร้อย นอกจากนี้ภายในแอพฯยังมีไอคอนทางลัด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานให้กับคุณในสถานการณ์เร่งด่วนอีกด้วย เช่น การค้นหาคำ, การบันทึกรายการโปรด (Bookmark) และอื่นๆ

ยกตัวอย่าง ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น หากคุณเลือกติด Tag คำที่คาดว่าจะถูกใช้บ่อยๆเก็บไว้ใน Bookmark ของ Jang Keng เมื่อถึงเวลาแค่เปิด Bookmark ขึ้นมา ก็จะช่วยให้เรียกใช้ได้อย่างรวดเร็ว มีแอพนี้พกไว้อุ่นใจมั๊กๆ ^^

เที่ยวญี่ปุ่นง่ายจัง! ให้แอพฯ JANG KENG ช่วยพูด!

วิธีใช้ก็สุดแสนจะง่าย เพียงคุณค้นหาและใช้นิ้วสัมผัสลงบนคำที่ต้องการ แอพพลิเคชั่น JANG KENG นี้ก็จะพูดคำที่คุณเลือกออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ทันที ที่สำคัญคือ! อย่าปล่อยให้แบตฯ หมด และอย่าลืมเปิดเสียงลำโพงซะล่ะ ไม่งั้นแอพฯ ก็คงช่วยอะไรคุณไม่ได้ (555)

ตัวอย่างเหตุการณ์จำลอง
(ทักทาย) สวัสดีครับ/ค่ะ : คอนนิจิวะ หรือ ขอบคุณครับ/ค่ะ : อาริงาโตะ
(ทักทาย) ผม/ดิฉันเป็นคนไทย : วาตาชิวะ ไทจิน เดส
(การเดินทางจากสนามบินไปที่พัก) กำลังตามหาที่พัก : โทมารุ โทโคโระ โอะ สางะชิเตะอิมัส
(เกิดปัญหา) อินเตอร์เน็ตใช้ไม่ได้ : อินเตอร์เน็ตโตะงะ สุคะเอะไน
(เรียก) ขอโทษครับ/ค่ะ : สุมิมาเซน หรือ คุณครับ/คะ : ช็อตโตะ อี่เดสซึกะ
(ยานพาหนะต่างๆ) ต้องการไป… อยากไป… : เอะ อิคิไต
(ออกนอกบ้าน) ที่นี่ที่ไหน : โคะโคะวะ โดะโคะ เดสกะ

และคำอื่นๆที่จะช่วยพูดภาษาญี่ปุ่นแทนคุณอีกมากมาย! แค่นี้เที่ยวญี่ปุ่นก็เป็นเรื่องง่ายๆสบายๆสำหรับคุณแล้วล่ะคร๊าบบบบ! ใครสนใจแอพพลิเคชั่น JANG KENG นี้ ก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ Appstore หรือ ที่นี่

เที่ยวญี่ปุ่นง่ายจัง! ให้แอพฯ JANG KENG ช่วยพูด!

อ๊ะ! ลืมบอกไป ล่าสุด…แอพ JANG KENG เขาปรับปรุงในส่วนของเมนูและการตั้งค่า (Menu & Setting) ให้แล้วนะ เขามี ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและเลือกภาษา มาให้ด้วย ที่น่าสนใจมั่กๆเลยก็คือ อัพเดทล่าสุดมี เพิ่มภาษาเกาหลี มาให้ด้วยน้า และเร็วๆนี้ก็จะมี ภาษาจีน เพิ่มมาให้อีก คราวนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนและเกาหลี เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะสื่อสารกับเค้าไม่รู้เรื่องอีกต่อไปแล้ว เพราะ JANG KENG ก็จะเป็นล่ามช่วยพูดภาษาญี่ปุ่นให้กับคุณได้เหมือนกั๊น!

เรื่อง: Superman DPlus Guide Team

ขนมญี่ปุ่นสุดน่ารัก! พุดดิ้งลูกเจี๊ยบ Piyorin ที่ Café Gentiane สถานี JR Nagoya

ถ้าพูดถึงการเที่ยวญี่ปุ่นล่ะก็ นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ไปชมซากุระ ไปช้อปปิ้ง กินอาหารอร่อย แล้วอีกสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือการไปชิม ขนมญี่ปุ่น ยังไงล่ะ! วันนี้ DPlus Guide จึงขอแนะนำขนมสไตล์ญี่ปุ่นที่ออกแบบมาได้น่าร๊าก~ น่ารัก จนกลายเป็นของฝากและจุดต้องแวะจุดหนึ่งของเมืองนาโงย่าเลย นั่นก็คือ พุดดิ้งเค้กลูกเจี๊ยบ “ปิโยริน” (Piyorin ぴよりん) แห่งร้าน Café Gentiane ที่สถานี JR Nagoya...