Home Blog Page 95

พิพิธภัณฑ์กล้องคาไลโดสโคป (Kaleidoscope Museum) ที่ฟุระโนะ – งานศิลป์บนภาพสะท้อน

กล้องแบบต่างๆ

เมืองฟุระโนะ (Furano) เป็นเมืองในที่ราบกลางหุบเขาของเกาะฮอกไกโด เศรษฐกิจของเมืองนี้อยู่กับการทำการเกษตรและการท่องเที่ยวแต่ขณะเดียวกันก็ยังมี พิพิธภัณฑ์กล้องคาไลโดสโคป (Kaleidoscope) สถานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกล้องสลับสายคาไลโดสโคป (ลองดูรูปที่ได้เข้าใจง่ายขึ้น) ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆ ในอาคารที่เคยเป็นโรงเรียนประถมเก่าอายุถึง 98 ปีที่ปิดตัวลงเนื่องจากมีนักเรียนไม่พอ จึงยุบไปเรียนรวมกับที่อื่น ทางการจึงได้นำสถานที่มาให้เช่าทำกิจการอื่นแทน

 

ฟุระโนะ เมืองในที่ราบกลางหุบเขา ใจกลางเกาะฮอกไกโด
ฟุระโนะ เมืองในที่ราบกลางหุบเขา ใจกลางเกาะฮอกไกโด
โรงเรียนเก่าถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์กล้อง Kaleidoscope
โรงเรียนเก่าถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์กล้อง Kaleidoscope
คุณ Ikuya Mitsui ที่หน้าอาคารพิพิธภัณฑ์
คุณ Ikuya Mitsui ที่หน้าอาคารพิพิธภัณฑ์

ผู้ที่ลงทุนและลงแรงรวบรวมงานสะสม ตลอดจนลงทุนเช่าสถานที่จัดแสดงชิ้นงานที่รวบรวมไว้นี้ก็คือคุณ Ikuya Mitsui ซึ่งมีความฝันที่จะรวบรวมและจัดแสดงกล้องคาไลโดสโคปจากสมัยต่างๆ และจากทั่วทุกมุมโลกอยู่นานแล้ว

ทั้งนี้เพื่อที่จะให้เยาวชนได้แต่ก็คนทั่วไปจะมีโอกาสรับรู้แต่ซาบซึ้งกับงานศิลปะจากภาพสะท้อนเหล่านี้ ซึ่งนอกจากจะมาในรูปท่อกลมๆแล้วยังสามารถทำหรือแฝงตัวอยู่ในของสารพัดอย่าง ตั้งแต่ถังไวน์ ปราสาทจำลอง หรือจะทำเป็นกล้องเปล่าๆ ไปส่องดูวัตถุที่ตั้งไว้เช่นต้นคริสต์มาส ให้เกิดเงาสะท้อนในกล้องก็ได้

IMG_1297  IMG_1290 IMG_1288 IMG_1285
ภาพที่เห็นจากในกล้องแบบต่างๆ 

ตู้แสดงชิ้นงานสะสม
ตู้แสดงชิ้นงานสะสม
กล้องแบบต่างๆ ดูเผินๆ เหมือนตุ๊กตา แต่เป็นกล้องจริงๆ นะ
กล้องแบบต่างๆ ดูเผินๆ เหมือนตุ๊กตา แต่เป็นกล้องจริงๆ นะ
กล้องแบบต่างๆ มีรูปร่างแปลกๆ ที่ไม่คุ้นตามากมาย
กล้องแบบต่างๆ มีรูปร่างแปลกๆ ที่ไม่คุ้นตามากมาย ภายนอกก็ประดับลวดลายอย่างสวยงาม
กล้องแบบต่างๆ
กล้องแบบต่างๆ
 กล้องแบบต่างๆ
กล้องแบบต่างๆ

นอกจากผลงานหลากหลายจากทุกมุมโลกแล้ว ที่นี่ยังมีเวิร์กช็อปให้เด็กๆ (หรือผู้ใหญ่จะลองก็ไม่ผิดกติกา) ได้ทดลองทำกล้องคาไลโดสโคปด้วยตัวเอง

ที่นี่มีอุปกรณ์เตรียมให้เสร็จสรรพ ตั้งแต่ท่อกระดาษที่จะเป็นโครงของกล้อง แผ่นกระจกเงาสามหรือสี่ด้าน ลูกปัดสารพัดสีที่จะใส่ลงไปให้เป็นภาพ แผ่นเจาะรูให้ตามองลอดไปได้ ทั้งหมดในราคาไม่แพง ถ้ามีเวลาสักไม่เกินครึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นก็ทำได้ แถมยังได้ชิ้นงานติดมือเป็นของที่ระลึกฝีมือของเราเองกลับไปด้วย

พื้นที่ทำเวิร์กช็อปสร้างกล้องด้วยตัวเอง
พื้นที่ทำเวิร์กช็อปสร้างกล้องด้วยตัวเอง
อุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้ให้ครบ
อุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้ให้ครบ

พิพิธภัณฑ์กล้องคาไลโดสโคป (Yamabe Kaliedoscope Museum)
[info-t]10.00 – 18.00 น.
[info-f]ผู้ใหญ่ 800 เยน , เด็ก 500 เยน, ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) 700 เยน ไม่รวมค่าอุปกรณ์เวิร์กช็อป
[info-d]ประมาณ​ 8 กม. จากเมืองฟุระโนะไปทางใต้ หรือนั่งรถไฟสาย Nemuro จากเมืองฟุระโนะ ลงสถานี JR Yamabe (2 สถานี) แล้วต่อรถอีก 4  กม.
[info-w] http://www.kaleidoscopes.jp/eng/trend3.html
[info-g]43.270971, 142.373292

ข้อมูล เรื่อง และภาพ: DPlus Guide Team / วศิน เพิ่มทรัพย์

จุดชมวิวยอดเขา Tokachidake สุดทางสาย Panorama ที่บิเอ (Biei)

ใครที่เที่ยวฮอกไกโด ผ่านมาเยือน เมืองบิเอ (Biei) เมืองเล็ก ๆกลางเกาะฮอกไกโด คงจะรู้จักกันดีถึงถนนชื่อดังสองสายที่มีทิวทัศน์งดงามขึ้นชื่อของเมืองนี้ สายหนึ่งคือถนน Patchwork ทางตอนเหนือของเมือง ที่มีเนินสูงต่ำสลับสีระหว่างทุ่งนาเขียวขจีกับเนินดินสีน้ำตาล หรือทุ่งนาสีฟางอ่อนที่ผ่านการเก็บเกี่ยวมาแล้ว กับอีกสายคือ ถนน Panorama Road ที่อยู่ทางตอนใต้ ซึ่งผ่าน บึงมรกต หรือ Blue Pond สระน้ำที่ออกเป็นสีฟ้าอมเขียวเพราะการตกตะกอนของแร่ธาตุที่ถูกชะล้างมาตามลำธาร กับน้ำตก Shirahige ที่สายน้ำออกสีฟ้าเช่นเดียวกัน

แต่วันนี้เราจะพาไปเที่ยวเลยจากนั้นไปอีกหน่อยนึงครับ

สระมรกตหรือ Blue Pond บนเส้นทาง Panorama road
สระมรกตหรือ Blue Pond บนเส้นทาง Panorama road
เส้นทางสาย Panorama มีภูเขา Takachidake เป็นฉากหลัง
เส้นทางสาย Panorama Road มีภูเขา Takachidake เป็นฉากหลัง
เส้นทางขึ้นเขาไปจุดชมวิว
เส้นทางขึ้นเขาไปจุดชมวิว

จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้อยู่ที่ จุดชมวิวยอดเขา Tokachidake ซึ่งอยู่เลยจากน้ำตกไปอีกประมาณ 2 กม.สุดสายเส้นทางพอดี ถนนช่วงสุดท้ายจะเป็นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวบ้างแต่ไม่มากนัก พอขับได้สบาย ซึ่งรถยนต์หรือรถบัสก็เป็นวิธีเดียวที่จะถึงที่นี่ได้

ที่จุดชมวิวจะมีศาลาซึ่งเป็นทั้งร้านขายของ และศูนย์ข้อมูลสำหรับนักท่องเทียว และมีลานจอดรถ เดินจากลานจอดรถไปประมาณสองสามร้อยเมตร จะเป็นจุดที่สามารถชมวิวยอดเขาได้ถนัดชัดเจน ต้องบอกว่าที่นี่เป็นจุดที่ถ่ายรูปสวยอีกที่หนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน จะอยู่ด้านหลังเราพอดี ส่องแสงสีส้มไปยังยอดเขาทำให้เกิดภาพที่มีสีสันสวยงาม

ยอดเขา Takachidake ยังมีหิมะปกคลุม แต่ก็มีควันพวยพุ่งออกมาจากภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิท
ยอดเขา Takachidake ยังมีหิมะปกคลุม แต่ก็มีควันพวยพุ่งออกมาจากภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิท
ศาลาและร้านค้า เราไปถึงเย็นเลยปิดไปหมดแล้ว
ศาลาและร้านค้า เราไปถึงเย็นเลยปิดไปหมดแล้ว
แสงสวยๆ ตรงลานจอดรถ
แสงสวยๆ ตรงลานจอดรถ
ป้ายจากกองหินตรงจุดชมวิว
ป้ายจากกองหินตรงจุดชมวิว
หันหลังมาถ่ายอาทิตย์ตกดินพอดี ก็สวยไปอีกแบบ
หันหลังมาถ่ายอาทิตย์ตกดินพอดี ก็สวยไปอีกแบบ

ช่วงที่เราไปเยือนจุดชมวิวนี้เป็นเดือนพฤษภาคม ซึ่งข้างล่างที่พื้นราบไม่มีหิมะหลงเหลือแล้ว แต่บนยอดเขา Tokachidake นี้ยังมีหิมะปกคลุมอยู่เป็นบางส่วน ตัดกับดินหินสีน้ำตาลเข้ม ไม่มีต้นไม้ขึ้นเพราะเพิ่งพ้นจากฤดูหนาวมา นอกจากนี้บริเวณยอดเขาเองก็ยังมีควันคุกรุ่นขึ้นจากปล่องภูเขาไฟเป็นระยะๆ ถึงแม้จะไม่มากนักก็ตาม

ส่วนถ้าใครไปเยือนในช่วงฤดูร้อนก็จะได้เห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจี หรือถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีแดงสลับเหลืองส้มไปทั่ว เรียกว่าถ้าใครมีโอกาสขับหรือนั่งรถเที่ยวตามเส้นทางสาย Panorama ของบิเอแล้ว นั่งหรือขับต่อมาอีกนิดให้ถึงที่นี่ก็จะได้ความประทับใจไปอีกแบบหนึ่ง

จุดชมวิวยอดเขา Tokachidake
[info-t]จุดชมวิวและลานจอดรถเปิดตลอดเวลา แต่ศาลาที่พักเปิดปิดตามฤดูกาล
[info-f]ฟรี
[info-d]ประมาณ​ 20 กม. จากเมืองบิเอไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ตามเส้นทางสาย Panorama (ทางหลวงหมายเลข 966)
[info-g]43.447396, 142.649118

ข้อมูล เรื่อง และภาพ: DPlus Guide Team / วศิน เพิ่มทรัพย์

เที่ยวปักกิ่ง ชมทะเลสาบงาม เจดีย์ขาว ศาลาห้ามังกร ที่อุทยานเป๋ยไห่ (Beihai Park)

วิวแสนสงบของอุทธยานเป๋ยไห่ ที่ปักกิ่ง

อุทยานเป๋ยไห่ (Beihai Park – 北海公园)

ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบเป๋ยไห่ (Beihai Lake) ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม หรือตรงข้ามสวนจิงซานนั่นเอง

อุทยานแห่งนี้มีจุดเด่นที่สำคัญคือเจดีย์สีขาว (White Pagoda) ตั้งเด่นสง่าอยู่ด้านบนเนินเขาเกาะหยก (Jade Flower Island)

เที่ยวปักกิ่ง ชมทะเลสาบงาม เจดีย์ขาว ห้าศาลาสวยสงบ ที่อุทยานเป๋ยไห่ Beihai Park

เกาะนี้จะมีทางเข้า 2 ด้านคือ หากเดินเข้าจากประตูทิศตะวันออก (ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าสวนจิงซาน) สามารถเดินข้ามสะพานหินข้ามไปยังเกาะได้เลย หรือหากเข้าจากประตูทิศใต้ ก็จะเจอสะพานหย่งอัน (Yong’an bridge) ที่เป็นสะพานหินอ่อนที่สวยงาม ข้ามทะเลสาบไปยังเกาะอีกที

วิวแสนสงบของอุทธยานเป๋ยไห่ ที่ปักกิ่ง

เที่ยวปักกิ่ง ชมทะเลสาบงาม เจดีย์ขาว ห้าศาลาสวยสงบ ที่อุทยานเป๋ยไห่ Beihai Park

ยอดเจดีย์ขาวนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณวัดหย่งอัน (Yong’an Temple) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ มีทางเข้าตรงกับสะพานหย่งอัน นักท่องเที่ยวสามารถสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนขึ้นไปได้ บริเวณนี้มีทางขึ้นค่อนข้างชัน และจะผ่านโถงประตูสำคัญของวัดถึง 2 แห่งก่อนค่อยถึงองค์เจดีย์ขาว ที่ตั้งขององค์เจดีย์จะอยู่ตรงศูนย์กลางของเกาะพอดี จากด้านบนสามารถมองเห็นทัศนียภาพกรุงปักกิ่งอย่างสุดลูกหูลูกตา

นอกจากนี้ภายในบริเวณอุทยานยังมีสถานที่น่าสนใจอันวิจิตรสวยงามรอให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชื่นชมกัน อย่างเช่น

 

ศาลาห้ามังกร (Five Dragon Pavilions)

เป็นศาลาทรงเก๋งจีน 5 หลัง ที่ยื่นออกมาในทะเลสาบ ด้านบนหลังคาของเก๋งจีนจะมีรูปปั้นสัตว์มงคลประดับอยู่ทุกหลัง ในอดีตเคยเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจขององค์จักรพรรดิและบรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์นั่นเอง ศาลาทั้ง 5 แห่งนี้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะหยกอีกที

 

กำแพง 9 มังกร (Nine-Dragon Screen)

Nine Dragon Wall in Beihai Park, Beijing
ภาพกำแพง 9 มังกร หรือ Nine-Dragon Wall ที่อุทยานเป่ยไห่
ภาพโดย Gisling จาก wikipedia

แนวกำแพงที่มีลวดลายมังกรเป็นรูปสลักนูนต่ำอย่างวิจิตรสวยงามทั้งสองด้าน (เหมือนกับฉากในพระราชวังต้องห้ามแต่มีขนาดเล็กกว่า) ยาว 27 เมตร สูง 6 เมตร และด้านข้างหนา 1.42 เมตร ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1756 ด้วยกระเบื้องเคลือบนูนกว่า 424 ชิ้น

แนวกำแพงนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอุทยานเป๋ยไห่ สามารถเดินจากประตูทางทิศเหนือหรือประตูหลัง (Back gate) แล้วเดินเลียบทะเลสาบมาประมาณ 350 เมตร จากนั้นเลี้ยวขวาผ่านตำหนักเทียนหวังเข้ามา

 

เที่ยวปักกิ่ง ชมทะเลสาบงาม เจดีย์ขาว ศาลาห้ามังกร ที่อุทยานเป๋ยไห่ (Beihai Park)
[info-t]ทุกวัน 06:30 – 20:00 น.
[info-f]เม.ย. – ต.ค. ราคา 20 หยวน, พ.ย. – มี.ค. ราคา 15 หยวน (ราคานี้รวมค่าเข้าชมเจดีย์ขาวแล้ว)
[info-d]- มาจากพระราชวังต้องห้ามสวนจะอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องไปทางซ้าย ฝั่งประตูเสินอู่เหมิน หากมาจากสวนจิงซานซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
– รถไฟใต้ดิน Line 5, 6 สถานี Dongsi ทางออก C จากนั้นต่อรถเมล์สาย 101, 103 ลงป้าย Beihai Park Station ซึ่งเป็นประตูทางทิศใต้ของสวน
– รถเมล์สาย 107, 109, 124, 202, 211, 614, 619, 685, 612, 623, 609, 701 ก็จะผ่านวิ่งผ่านสวนเช่นกัน
[info-g]39.925716,116.389214

เรื่องและภาพ : DPlus Guide Team

ประสบการณ์ล่องแก่งแม่น้ำ Sorachi ที่นากาฟุระโนะ (Nakafurano)

ฮอกไกโดเป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น มองไปทางไหนในฤดูหนาวก็มีแต่หิมะขาวโพลน แต่หิมะเหล่านี้นี่เอง ที่พออากาศอุ่นขึ้นก็เริ่มละลาย กลายเป็นต้นน้ำที่ไหลกระจายฟูฟ่องเป็นฟองขาวพอที่จะล่องแก่งได้อย่างสนุก แถมยังล่องแก่งได้แบบตัวไม่เปียกอีกด้วย ส่วนที่ว่าจะตัวไม่เปียกอย่างไรนั้น ต้องลองตามมาดูกันเลยครับ

ช่วงที่ชาวคณะสื่อมวลชนจากเมืองไทยได้รับเชิญให้ไปเยือนฟุระโนะนั้น เป็นเดือนพฤษภาคม เพิ่งจะหมดหน้าหนาวและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังเย็นสบาย แต่ถ้าต้องลงไปแช่น้ำที่เกิดจากหิมะบนยอดเขาละลายไหลลงมาก็คงไม่ใช่แค่เย็นสบายแน่นอน พาลจะเย็นยะเยือกเสียด้วยซ้ำ

เตรียมพร้อมผจญภัยเต็มพิกัด หน้าป้าย North River Adventure
เตรียมพร้อมผจญภัยเต็มพิกัด หน้าป้าย North River Adventure

จุดเริ่มต้นในการล่องแพของเราในวันนี้อยู่ที่ North River Adventure (NRA) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการล่องแก่งที่เปิดมานานพอสมควร จึงมีความชำนาญในพื้นที่ แต่ตอนแรกฟังแล้วก็ยังหวั่นๆ คิดอยู่ว่าจะต้องไปผจญภัยกับอาการโคลงเคลง หวาดเสียว หรือการตกน้ำตกท่า กับแก่งกับแพที่ไหน แถมทางเจ้าภาพของเราในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากเมือง Nakafurano หรือทางคุณบุ๋ม เจ้าหน้าที่สาวไทยจากเมืองฟุระโนะ ที่คอยดูแลเราอยู่ก็ไม่มีใครยอมลงเรือไปด้วยกับคณะของเราสักคน (“เดี๋ยวบุ๋มคอยถ่ายรูปให้” เธอว่าอย่างนั้น) คงมีแต่พวกเราสามคนที่ได้รับเชิญจากเมืองไทย จะต้องไปเผชิญชะตากรรมกันตามลำพัง บวกกับผู้ฝึกสอนและควบคุมแพอีก 1 คนจากทาง North River Adventure รวมเป็น 4 คนเต็มแพยางพอดี

ทุลักทุเลตอนใส่ wet suite กันอยู่พักใหญ่ๆ
ทุลักทุเลตอนใส่ Dry suit กันอยู่พักใหญ่ๆ

ความทุลักทุเลจากความไม่คุ้นเคยของเรา เริ่มตั้งแต่การใส่ชุดยางกันน้ำหรือ Dry suit ซึ่งเจ้าชุดที่ว่านี้เองแหละครับ ที่ทำให้นอกจากจะสามารถกันความหนาวเย็นของน้ำที่เย็นเฉียบจากหิมะที่เพิ่งละลายไหลลงมาจากยอดเขาแล้ว ยังทำให้ลงไปลอยคอในน้ำได้ทั้งตัวโดยไม่เปียกอีกด้วย (เกิดมาก็เพิ่งเคยใส่นี่แหละครับ 555) ชุดนี้จะต้องเลือกให้ขนาดพอดีกับตัวของเรา โดยไม่ใหญ่ไปหรือเล็กไปเพื่อที่จะสามารถกันน้ำได้โดยไม่รั่ว โดยในการใส่นั้นจะต้องถอดเสื้อแจ็คเก็ตและเสื้อกันหนาวชั้นต่างๆ ออกไป ให้เหลือแต่เสื้อผ้าธรรมดาที่ไม่หนามาก และที่สำคัญต้องถอดรองเท้าออกด้วย เพราะชุดนี้มีส่วนปลายเป็นรองเท้าในตัวอยู่แล้ว

เมื่อแต่งชุดเสร็จแล้วก็พากันขึ้นรถปิกอัพคันเดียวกับที่บรรทุกแพหรือเรือยางนั่นเอง มุ่งหน้าไปยังจุดเริ่มต้นริมฝั่งแม่น้ำ Sorachi ซึ่งเมื่อยกเรือลงวางข้างตลิ่งแล้วพวกเราก็ขึ้นไปนั่งเตรียมการต่อ ขั้นตอนต่อไปที่ผู้ฝึกจะเริ่มเข้ามาสอนก็คือ เรื่องของการหัดพายให้เข้าจังหวะ และทำตามคำสั่งในการเอนตัวหลบหลีกสิ่งกีดขวาง คือกิ่งไม้ต่างๆ สองฝั่งแม่น้ำที่จะยื่นมาทิ่มแทงเราได้ การคัดท้ายทั้งซ้ายทั้งขวา เมื่อฝึกไปสักพักหนึ่งก็มาถึงการเข็นเรือลงน้ำจริง และเริ่มผจญภัยกันเลย

เตรียมหัดพายและหลบหลีกสิ่งกีดขวางตั้งแต่บนบก (คนหน้าสุดไม่ได้ลงแพด้วยนะ)
เตรียมหัดพายและหลบหลีกสิ่งกีดขวางตั้งแต่บนบก (คนหน้าสุดมาช่วยถ่ายรูปเฉยๆ ไม่ได้ลงแพด้วยนะ)

ช่วงแรกน้ำจะค่อนข้างไหลเรื่อยๆ อุปสรรคที่ต้องระวังก็มีแค่กิ่งไม้จากต้นไม้ที่ล้มและยื่นออกมาขวางลำน้ำทั้งสองฝั่ง แต่สักพักเมื่อเข้าสู่ช่วงที่แม่น้ำค่อนข้างตื้นและมีโขดหินระเกะระกะ  น้ำก็จะไหลแรงขึ้นตามลำดับ เรือยางก็จะไหลผ่านแก่งเหล่านั้นไปอย่างมีขลุกขลักเล็กน้อยให้พอตื่นเต้นบ้าง มีที่ต้องโยกตัวไปมาเพื่อรักษาสมดุลอยู่บ้าง ซึ่งทุกคนก็ช่วยกันทำได้ดี เรียกว่านั่งอยู่บนเรือ แค่โยกตัวหลบนิดหน่อยก็โอเคแล้ว ดูน่ากลัวน้อยกว่าที่เห็นภาพจากบนฝั่ง

เราใช้เวลาเดินทางผ่านแก่งต่างๆ ประมาณค่อนชั่วโมง จนถึงช่วงสุดท้ายซึ่งน้ำก็เชี่ยวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนที่ผ่านแก่งสุดท้ายไปแล้ว กระแสน้ำก็จะกลับสงบนิ่งไหลเอื่ยๆ จนสามารถกระโดดลงไปลอยคอในน้ำหรือว่ายน้ำเล่นโดยเกาะแพยางไว้ได้ ซึ่งเรียกว่าตัวจมลงไปถึงคอแล้ว แต่ก็ไม่เปียก ไม่หนาว ไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยนแต่อย่างใดทั้งสิ้น

รวมการล่องเรือทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง คิดเป็นระยะทางประมาณ​ 7 กม. ระหว่างทางจะมีท่าน้ำและสะพานหลายแห่ง ซึ่งทางเจ้าภาพ และเจ้าหน้าที่ของ NRA ก็คอยมาดักดูความเรียบร้อยและคอยถ่ายรูปพวกเราไว้ให้เป็นระยะๆ ตลอดทาง

สู้มั้ย? ต้องสู้! ไหวมั้ย? ต้องไหว​?
สู้มั้ย? ต้องสู้! ไหวมั้ย? ต้องไหว​!
เริ่มออกเดินทาง เอาแพลงน้ำก่อน
เริ่มออกเดินทาง เอาเรือยางลงน้ำก่อน
ชักรูปอีกทีตอนจบ เอาเรือยางกลับขึ้นรถแล้ว
ชักรูปอีกทีตอนจบ เอาเรือยางกลับขึ้นรถแล้ว

สรุปก็คือ กิจกรรมการล่องแพยางผ่านแก่งต่างๆ ในแม่น้ำโซราจิ ซึ่งแต่แรกเป็นสิ่งที่เราค่อนข้างจะวิตกกังวลมากที่สุดนั้น สุดท้ายกลับกลายเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจที่สุดอันหนึ่งในทริปนี้ทีเดียว ใครมีเวลาผ่านมาแถวๆ ดังกล่าว แนะนำเลยว่าไม่ควรพลาดครับ :-)

*หมายเหตุ*

North River Adventure (NRA) เปิดบริการเฉพาะช่วง 1 พฤษภาคม – 25 ตุลาคม โดยในฤดูใบไม้ผลิ (พฤษภาคม) จะเป็นการ “ล่องแก่ง” เพราะน้ำเชี่ยวเนื่องจากหิมะเพิ่งละลายลงมาจากยอดเขา ส่วนในฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม) จะเป็นการ “ล่องแม่น้ำ” ช่วงที่ไม่มีแก่ง และในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (กันยายน – ตุลาคม) จะเป็นการ “ล่องเรือชมใบไม้แดง” สองฝั่งแม่น้ำโซราชิ โดยทาง NRA จะจัด Dry Suit ให้ในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงเพื่อกันหนาวเนื่องจากน้ำและอากาศเย็น ส่วนในฤดูร้อนอาจจัดเป็น wet suit ให้แทน นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นๆ เช่น พายเรือและกิจกรรมทางน้ำอื่นๆ สำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นที่ว่ายน้ำไม่เป็น จนถึงนักผจญภัยที่ช่ำชอง (ดูข้อมูลเพื่มเติมที่เว็บ)

 

ประสบการณ์ล่องแก่ง แม่น้ำ Sorachi ที่นากาฟุระโนะ (Nakafurano)
[info-t]8:00-20:00 น. (แล้วแต่ฤดู) ใช้เวลารอบละประมาณ  3 ชั่วโมง (ล่องแพประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง)
[info-f]ผู้ใหญ่ 5,250 เยน , เด็ก 3,500 เยน
[info-d]ประมาณ​ 40 กม. จากเมืองฟุระโนะ ตามทางหลวงหมายเลข 38 หรือทางรถไฟ รถธรรมดา สาย Nemuro-Honsen จากสถานี JR Furano ลงสถานี Ochiai เดินประมาณ 300 ม.
[info-w] web-nra.com
[info-g]43.125910, 142.663165

ข้อมูล เรื่อง และภาพ: DPlus Guide Team / วศิน เพิ่มทรัพย์

Singapore Flyer นั่งชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ชมวิวเมืองสิงคโปร์

Singapore Flyer นั่งชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ชมวิวเมืองสิงคโปร์

Singapore Flyer สิงคโปร์ฟลายเยอร์ 

ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ตั้งเด่นอยู่บริเวณอ่าวมาริน่าเบย์ มีความสูงเท่ากับตึก 42 ชั้น หรือ 165 เมตร ทำให้มันขึ้นชื่อว่าเป็นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลย แต่ละแคปซูลจะสามารถจุคนได้ทั้งหมด 28 คน รอบการหมุนใช้เวลาประมาณ 30 นาทีให้คุณได้มีเวลาเก็บภาพวิวสวยและถ่ายรูปคู่กับบรรยากาศด้านบนไว้เป็นที่ระลึกได้

Singapore Flyer สิงคโปร์ฟลายเยอร์ นั่งชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ชมวิวเมืองสิงคโปร์

Singapore Flyer สิงคโปร์ฟลายเยอร์ นั่งชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ชมวิวเมืองสิงคโปร์

Singapore Flyer นั่งชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ชมวิวเมืองสิงคโปร์
[info-t]8:30 – 22:30 น. (รอบสุดท้ายก่อน 22:15 น.) ใช้เวลารอบละ 30 นาที
[info-f]ผู้ใหญ่ S$29.50, เด็ก (3-12 ปี) S$20.65
[info-d]MRT สถานี Promenade CC4 ทางออก A
[info-w] www.singaporeflyer.com
[info-g]1.289503, 103.862992


ข้อมูลจาก : หนังสือสองขาพาตะลุยสิงคโปร์ Singapore
เรื่องและภาพ: DPlus Guide Team

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เสพงานศิลป์ระดับโลก ที่ปารีส ฝรั่งเศส

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ Louvre

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre)

พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ปรากฏในหนังและนวนิยายหลายๆ เรื่อง ที่นี่มีความเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก แต่ในขณะเดียวกันลูฟวร์ (Louvre) ก็ยังนับเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะสมัยใหม่อีกด้วย

ในยุคเริ่มแรกลูฟวร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการ ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 ต่อมาช่วงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 กษัตริย์ Charles V ได้เปลี่ยนลูฟวร์ให้เป็นที่อยู่ของราชวงศ์ ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1546 กษัตริย์ Francis I จะทำการปรับปรุงเพิ่มสไตล์ French Renaissance เข้าไปในตัวอาคาร และในปี ค.ศ. 1682 พระราชวงศ์ย้ายไปอยู่ที่ พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) จึงได้ทำลูฟวร์ให้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าศิลปินทั้งหลาย ก่อนจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1793

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เสพงานศิลป์ระดับโลก ที่ปารีส ฝรั่งเศส
ภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบไปด้วย ผลงานจัดแสดงกว่า 35,000 ชิ้น ในพื้นที่กว่า 60,600 ตารางเมตร และมีผู้เข้าเยี่ยมชมมากถึง 9.7 ล้านคนต่อปี และนั่นเองทำให้ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีคนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในกรุงปารีสอีกด้วย

จุดที่มีชื่อเสียงไปไม่น้อยกว่าตัวพิพิธภัณฑ์คือ พีระมิดแก้วที่เป็นทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนับเป็นงานศิลปะชิ้นเอกชิ้นหนึ่งที่ผู้คนมักจะจดจำ และเป็นเสมือนภาพลักษณ์ของลูฟวร์ไปเสียแล้ว

พีระมิดกระจกนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีนชื่อดังนามว่า I.M.Pei (ในตอนแรกก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักแบบเดียวกับหอไอเฟลเมื่อร้อยปีก่อน) ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1988 เพื่อใช้เป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์ โดยเป็นจุดพักก่อนเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์จากทางชั้นใต้ดิน โดยหลังจากสร้างพีรามิดแก้วแล้วก็ยังมีการสร้างพีระมิดกลับหัว The Inverse Pyramid ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากใต้ดินอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เสพงานศิลป์ระดับโลก ที่ปารีส ฝรั่งเศส

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เสพงานศิลป์ระดับโลก ที่ปารีส ฝรั่งเศส

งานสำคัญที่จัดแสดงอยู่ก็คือ ภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกอย่าง ภาพโมนาลิซ่า (The Monalisa), The Virgin and Child with St.Anne และ Madonna of the Rocks ภาพเขียนผลงานของ ดาวินชี (Leonardo Da Vinci) และงานปั้นชื่อดัง Venus de Milo ของศิลปินในยุคกรีกโบราณ Alexan dros of Antioch

นอกจากนี้แล้วก็ยังจัดแสดงงานศิลปะอื่นๆ อีกมากมายทั้งภาพวาด งานปั้น งานแกะสลัก รวมไปถึงโบราณวัตถุที่สำคัญ โดยการจัดแสดงแบ่งออกเป็นศิลปะประเภทต่างๆ ดังนี้

  • • Egyptian antiquities งานจากอียิปต์
  • • Near Eastern antiquities งานจากฝั่งตะวันออก
  • • Greek, Etruscan and Roman งานจากสมัยกรีก โรมัน
  • • Islamic art ศิลปะแนวอิสลาม
  • • Sculpture งานปั้น
  • • Decorative arts ศิลปะประดับตกแต่ง
  • • Painting ภาพเขียน จิตรกรรม
  • • Prints and drawings งานพิมพ์และงานภาพวาด

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เสพงานศิลป์ระดับโลก ที่ปารีส ฝรั่งเศส

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เสพงานศิลป์ระดับโลก ที่ปารีส ฝรั่งเศส

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) เสพงานศิลป์ระดับโลก ที่ปารีส ฝรั่งเศส
วันเปิด-ปิด :  จันทร์ พฤหัสบดี เสาร์ อาทิตย์ 09:00-18:00 น., พุธ ศุกร์ 09:00-21:45 น., (ปิดวันอังคาร, 1 ม.ค., 1 พ.ค. และ 25 ธ.ค.)
ราคา : 12 ยูโร ในโซนจัดแสดงถาวร และ 13 ยูโร สำหรับโซนจัดแสดงหมุนเวียนที่ Hall Napoléon
เว็บไซต์ :  www.louvre.fr/en
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 1 ลงสถานี Louvre-Rivoli หรือสาย 7 ลงสถานี Palais Roryal – Musée du Louvre
GPS :  48.860823,2.337665

เรื่องและภาพ : Travelkanuman
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือยุโรป เส้นทางแห่งสายน้ำ โดย Travelkanuman

เที่ยวเกาหลี เยือนหมู่บ้านฝรั่งเศสถิ่นเจ้าชายน้อย ที่ Petite France

เที่ยวเกาหลี เยือนหมู่บ้านฝรั่งเศสถิ่นเจ้าชายน้อยกันที่  Petite France (쁘띠프랑스) ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึง อองตวน เดอ แซงเตกซูเปรี ผู้เขียนเรื่อง เจ้าชายน้อย (The Little Prince) อาคารบ้านเรือนเป็นสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองฝรั่งเศส เน้นสีสันสดใสและสร้างเรียงรายลดหลั่นกันอย่างสวยงาม

เที่ยวเกาหลี เยือนหมู่บ้านฝรั่งเศสถิ่นเจ้าชายน้อย ที่ Petite France

เที่ยวเกาหลี เยือนหมู่บ้านฝรั่งเศสถิ่นเจ้าชายน้อย ที่ Petite France
นอกจากจะได้ดูความสวยของตึกต่างๆ แล้ว ที่นี่ยังอยู่กลางหุบเขาเลียบไปกับแม่นํ้า ทำให้บรรยากาศดีไม่แพ้อยู่ฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว มีคู่รัก ครอบครัว หรือแม้แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาเดินชมถ่ายรูป ให้เห็นกันเป็นระยะๆ หรือถ้าใครอยากนอนดื่มดํ่ากับธรรมชาติของที่นี่ก็มี Guest House ด้วย บริเวณรอบๆ ใช้เวลาเดินชิลๆ  ประมาณ 1-2 ชม.

เที่ยวเกาหลี เยือนหมู่บ้านฝรั่งเศสถิ่นเจ้าชายน้อย ที่ Petite France

เที่ยวเกาหลี เยือนหมู่บ้านฝรั่งเศสถิ่นเจ้าชายน้อย ที่ Petite France

 

เที่ยวเกาหลี เยือนหมู่บ้านฝรั่งเศสถิ่นเจ้าชายน้อย ที่ Petite France
[info-t]09:00 – 18:00 น.
[info-f]ผู้ใหญ่ 8,000 วอน เด็ก 6,000 วอน
[info-w]www.pfcamp.com
[info-d]จากโซลนั่งรถไฟสาย Gyeongchun มาลงที่สถานี Cheongpyeong (ก่อนถึง Gapyeong ที่มีเกาะนามิ 2 สถานี) แล้วนั่งรถเมล์ที่วิ่งไป Goseongri หรือรถบัสไปก็ได้ มีประมาณชั่วโมงละคัน หรือรถแท็กซี่หน้าสถานีรถไฟ (แนะนำวิธีนี้) ซึ่งจากหน้าสถานีถ้ารอรถบัสจะมีประมาณชั่วโมงละคัน พลาดทีก็รอกันนาน ส่วนขากลับให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วให้เรียกแท็กซี่ให้ได้เลย หรืออาจขึ้นรถบัสกลับก็ได้ถ้ารอไม่นาน โดยเช็คตารางได้ที่ด้านหน้าของช่องขายตั๋วตรง Information Center และจากหมู่บ้านฝรั่งเศสสามารถนั่งแท็กซี่ต่อไปเที่ยวที่ เกาะนามิ ได้ ค่าโดยสารประมาณ 18,000 วอน
[info-g]37.71503, 127.490555

ข้อมูลจาก : เกาหลี Seoul โซล ใคร ๆ ก็เที่ยวได้
เรื่องและภาพ: DPlus Guide Team

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุตสึ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก

วัดโทไดจิ (Todaiji)

ความหมายตามตัวอักษรคือ วัดใหญ่แห่งทิศตะวันออก ตั้งอยู่ที่เมืองนารา ภูมิภาคคันไซ ถือเป็นโบราณสถานที่มีความเก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นและยังถือว่าเป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในนาราเลยก็ว่าได้

วัดโทไดจิ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 752 ในช่วงที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดนี้ คือ วิหารไม้หลังใหญ่ ไดบุตสึเดน (大仏殿) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโต (ไดบุตสึ) ว่ากันว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสูง 157 ฟุต ความยาว 187 ฟุต แม้ว่าวิหารไม้ที่เห็นในปัจจุบันนี้มีขนาดเพียงแค่ 2 ใน 3 ของวิหารหลังเดิมที่เคยถูกไฟไหม้ไปจากภัยสงคราม แต่ก็ยังคงมีความยิ่งใหญ่จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุทสุ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก

 

บริเวณทางเดินเข้าสู่ประตูใหญ่ของวัดโทไดจิเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกมากมายและมักจะคึกคักไปด้วยผู้คนนักท่องเที่ยวรวมถึงนักเรียนที่มาทัศนศึกษา ภาพที่เห็นจนชินตาระหว่างทางเดินเข้าสู่วัดก็คือ ฝูงกวางที่เดินปะปนไปกับกลุ่มนักท่องเที่ยว บ้างก็กำลังป้อนขนมเซมเบ้ให้กับฝูงกวาง บางคนก็ถูกกวางแย่งสิ่งของที่อยู่ในมือด้วยคิดว่าเป็นของกิน เป็นที่ตื่นเต้นและสนุกสนานสำหรับพวกเด็กๆ

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุทสุ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุทสุ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก

 

ก่อนจะเดินทางเข้าสู่ตัววัด เราต้องผ่าน ซุ้มประตูไม้ขนาดใหญ่ นันไดมง (南大門) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 962 มีสถาปัตยกรรมแบบจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง สร้างด้วยไม้ซุงขนาดยักษ์ถึง 18 ต้น ด้านหน้าของวิหารหลวงพ่อโต จะมีตะเกียงสำริด 8 เหลี่ยมตั้งอยู่โดดเด่นกลางลานหน้าวิหาร ตะเกียงนี้มีอายุใกล้เคียงกันหรือเท่ากับอายุของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ลวดลายสลักที่ตะเกียงเป็นรูปของเหล่าคนธรรพ์ขับกล่อมดนตรีอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเครื่องดนตรีในยุคเมื่อ 1,200 ปีก่อน

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุทสุ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุทสุ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก

 

ภายในวิหารไดบุตสึเดน เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ “ไดบุตสึ” (Daibutsu 大仏) หรือองค์พระไวโรจนะพุทธเจ้า (หมายถึงพระพุทธเจ้าที่มี รัศมีส่องสว่างไปทั่วจักรวาลดุจดังพระอาทิตย์ มีการนับถือกันมากในจีน เกาหลี และญี่ปุ่น) องค์พระสร้างด้วยบรอนซ์ ประทับอยู่ในปางนั่งขัดสมาธิเพชร แสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระพาหา พระหัตถ์ขวาอยู่ในท่ามุทรา องค์พระมีความสูง 14.98 เมตร หนักประมาณ 500 ตัน สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 752 นอกจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่ องค์พระไวยโรจนะแล้ว ที่เบื้องขวามีพระอากาศครรภ์โพธิสัตว์(虚空蔵菩薩) และที่เบื้องซ้ายมีพระจินดามณีอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (如意輪観音菩薩) ประดิษฐานอยู่เป็นพระอันดับ ทั้ง 2 องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปไม้ที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุทสุ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุทสุ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก

วัดโทไดจิ (Todaiji) เมืองนารา สักการะหลวงพ่อโต (ไดบุตสึ) ในวิหารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก
[info-t”8:00 – 17:00 น.”]
[info-f”ค่าเข้าวิหารหลวงพ่อโต 500 เยน ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์วัดโทไดจิ 500 เยน หรือซื้อตั๋วรวม 800 เยน”]
[info-d”เดิน 20 นาทีจากสถานี Kintetsu Nara หรือนั่งรถบัสจากหน้าสถานี (มีรถผ่านหลายสาย) ใช้เวลาประมาณ 5 นาที”]
(เมืองนาราตั้งอยู่ห่างจากโอซาก้าไปทางตะวันออกเพียง 30 กม. ใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟเพียง 40 นาทีจากโอซาก้า สามารถเดินเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้ ที่เมืองนารามีสถานีรถไฟใหญ่ที่เป็นชุมทางหลักๆ อยู่ 2 สถานีด้วยกันคือ สถานี Nara ซึ่งเป็นสถานีของรถไฟ JR ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง ส่วนอีกสถานีคือ Kintetsu Nara ซึ่งเป็นสถานีหลักของรถไฟคินเต็ทสึ สถานี Kintetsu Nara จะอยู่ใกล้กับวัดโทไดจิ มากกว่าสถานี Nara จึงแนะนำว่า เวลาเดินทางจากโอซาก้าเพื่อมาเที่ยวนารา ควรนั่งรถไฟของคินเต็ทสึ มาลงที่สถานี Kintetsu Nara จะสะดวกที่สุด เพราะสามารถเดินไปเที่ยวต่อได้ทันที ที่สำคัญคือสามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass ขึ้นได้ฟรีด้วย แต่ถ้าใครจะมาด้วยรถไฟของ JR ไปลงสถานี Nara ก็ได้เช่นกันเพียงแต่ต้องต่อรถเมล์เพื่อไปยังสถานที่เที่ยว ซึ่งอาจไม่ค่อยสะดวก)
[info-g”34.688998,135.839949″]

[codespacing_progress_map]

ข้อมูลจาก : หนังสือ Japan Kansai เที่ยวญี่ปุ่น ฉบับตะลุยคันไซ
เรื่องและภาพ: ตะวัน พันธ์แก้ว

แหล่งรวมสกีรีสอร์ทที่ Niseko (Update 2015/2016)

Niseko (นิเซโกะ)

เป็นแหล่งรวมสกีรีสอร์ทดังๆ หลายแห่ง อยู่ทางตะวันออกของเกาะฮอกไกโด ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองซัปโปโร ที่นี่ว่ากันว่าหิมะมีคุณภาพดีที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก จึงเป็นแหล่งสกีที่มีคนจากทั่วโลกนิยมมากัน ไม่ใช่แค่เฉพาะชาวญี่ปุ่น

หิมะคุณภาพดีที่ว่านี้เรียกว่า powder snow คือเป็นปุยละเอียด เวลาตกทับถมกันแล้วจะฟู ไม่แน่นเกิน เหมาะกับการเล่นสกี และสโนว์บอร์ด มากกว่าหิมะธรรมดา เพราะจะนุ่มและลื่นไหลกำลังพอเหมาะ

หิมะ powder snow ของที่นี่ เกิดจากการที่นิเซโกะอยู่ใกล้ทะเล และมีภูเขาที่สูงไม่มากนัก ชื่อ Niseko Annupuri (1,300 เมตร) อยู่ข้างหน้า ทำให้ลมพัดพาความชื้นจากทะเล กลายเป็นละอองหิมะที่ละเอียดพอดีข้ามภูเขามา และเมื่อละอองหิมะปะทะเข้ากับภูเขา Yotei (1,900 เมตร เป็นภูเขาโดดๆ ที่มีรูปทรงรวยคว่ำสวยงามจนได้ฉายาว่า “ฟูจิน้อยแห่งฮอกไกโด”) ที่ด้านหลังก็จะม้วนตีกลับ และทำให้เกิดหิมะตกในลักษณะ powder snow เป็นจำนวนมากในระหว่างกลางคือบริเวณนิเซโกะนี่เอง

แหล่งรวมสกีรีสอร์ทที่ Niseko

จุดขายที่สำคัญของนิเซโกะ คือ “มีหิมะที่ดีในระดับความสูงที่ไม่มากนัก” เพราะ powder snow  ปกติจะเกิดได้ที่ระดับความสูงมากๆ เกินสองสามพันเมตรขึ้นไป ซึ่งจะมีออกซิเจนบาง ไม่เหมาะกับการเล่นสกี ในขณะที่ภูเขา Annupuri สูงแค่พันกว่าเมตรเท่านั้น นักสกีจึงไม่มีปัญหาในเรื่องการหายใจหรืออาการแพ้ความสูง (altitude sickness) เหมือนที่อื่นๆ แถมที่นี่ยังมี slope ที่หลากหลายและไม่ชันมาก จึงเหมาะกับทั้งนักสกีมือใหม่และมือโปร นอกจากนั้นพื้นที่บริเวณนี้ยังสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ บนหิมะ เช่น เล่นสโนว์บอร์ด (snowboarding), ขับรถเลื่อนสโนว์โมบิล (Snowmobile), นั่งแพลาก (Snow-rafting) หรือเลื่อนเทียมสุนัข (dog-sledge) ฯลฯ อีกด้วย

พื้นที่นิเซโกะมีหลายโซน ซึ่งแต่ละโซนจะต้องมีรถกระเช้าหรือสกีลิฟต์ (บางทีก็เรียก chairlift) ที่เห็นเป็นเก้าอี้เปลือยๆแขวนกับเคเบิ้ล รับนักเล่นขึ้นไปข้างบน แบ่งตามลานหรือสโลปสำหรับเล่นสกี ได้เป็น 4 โซนรอบฝั่งตะวันออกของภูเขา Niseko Annupuri ที่มี 4 แนวด้วยกัน ลาดลงมายังชุมชนด้านล่างเชิงเขา 4 โซน คือ

 

Niseko-Annupuri

อยู่ทางใต้สุด ซึ่งมีทั้งสกีลิฟต์และรถกระเช้า (gondola) หลายที่ที่เปิดให้บริการ เช่น Nook AnNupuri, Niseko Annupuri Gondolalift, Niseko Jumbo Quadlift กับรีสอร์ทที่พักอีกหลายแห่ง

ลานสกีที่ Niseko Annupuri
ลานสกีที่ Niseko Annupuri
สกีลิฟต์ Nook AnNupuri
สกีลิฟต์ Nook AnNupuri
ป้ายจอดรถบัสที่โซนนี้
ป้ายจอดรถบัสที่โซนนี้

Niseko village

มีรีสอร์ทใหญ่ที่มีรถกระเช้าและสกีลิฟต์เองคือ Hilton Niseko Village ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบในตัวเองเหมือนกับเป็นเมืองย่อมๆ มักมีผู้หลักผู้ใหญ่จากเมืองไทยไปเล่นสกีกันบ่อย เพราะเป็นพื้นที่ปิดในตัว ตึกเดียวมีครบ หรูหราสะดวกสบาย และเป็นส่วนตัวสูงกว่าโซนอื่นๆ แต่ค่าใช้จ่ายก็จะสูงกว่าโซนเปิดอื่นอยู่บ้าง

ส่วนโรงแรมขนาดใหญ่ก็มี Green Leaf Hotel และยังมี Niseko Village ที่เป็นศูนย์รวมร้านอาหารและช้อปปิ้ง ร้าน Milk-Kobo ร้านขนม ไอศครีม และผลิตภัณฑ์นมชื่อดังก็อยู่ใกล้โซนนี้ด้วย

Hilton Resort ตึกใหญ่ที่มีทุกอย่าง
Hilton Resort ตึกใหญ่ที่มีทุกอย่าง
Geen Leaf Hotel
Geen Leaf Hotel
ห้องอาหารใน Geen Leaf Hotel
ห้องอาหารใน Geen Leaf Hotel
รถกระเช้าใกล้โรงแรม Green Leaf
รถกระเช้าใกล้โรงแรม Green Leaf

Grand Hirafu

ที่เป็นเสมือนแหล่งชุมชนหลักของที่นี่ เพราะเป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว หรือ Hirafu Welcome center ที่เป็นเสมือนประตูบ้านของนิเซโกะด้วย เป็นพื้นที่เล่นสกีที่มีคนมากและคึกคักที่สุดของนิเซโกะคือในขณะที่โซนอื่นๆ ค่อนข้างจะแยกตัวเป็นอิสระ (คือแต่ละโซนมีโรงแรมขนาดค่อนข้างใหญ่ไม่กี่แห่ง) แต่โซน Grand Hirafu นี้เป็นเสมือนแหล่งชุมชน มีโรงแรมขนาดเล็กกระจายอยู่มากมายนับสิบแห่ง มีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ร้านค้าปลีกย่อยต่างๆ อพาร์ทเมนท์ให้เช่าระยะยาว คอนโดมิเนียมระดับกลางถึงสูง ฯลฯ คือเหมือนจะเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ที่มีผู้คนคึกคักตลอด

ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่อยากจะพักโรงแรมใหญ่ชนิดที่เรียกว่ากินนอนอยู่ในโรงแรมนั้นหมดเลย แนะนำให้มาพักที่โซนนี้แทน ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีโรงแรมให้เลือกพักหลายขนาดหลายระดับราคาแล้ว หากอากาศไม่หนาวเกินไปคุณยังสามารถออกมาเดินชมเมือง ช้อปปิ้งเข้าออกร้านโน้นร้านนี้ได้บ้าง ส่วนบริเวณลานสกีจะเป็นจุดรวมที่ทุกคนจากทุกที่พักในเมืองมาต่อแถวขึ้นสกีลิฟต์กัน

ที่นี่เองที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ JR Hirafu ที่สุด แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเอง ถ้าไม่อยากนั่งแท็กซี่แนะนำให้ลงสถานีใหญ่ถัดไปคือ JR Kutchan จะหารถบัสมาที่ Grand Hirafu และโซนอื่นๆ ได้ง่ายกว่า

สกีลิฟต์และทางลาดสกีในโซน Grand Hirafu
สกีลิฟต์และทางลาดสกีในโซน Grand Hirafu
คอนโดมิเนียมและอพาร์ทเมนท์ในย่านนี้
คอนโดมิเนียมและอพาร์ทเมนท์ในย่านนี้
โรงแรมในโซนนี้บางแห่งก็ใหญ่ถึงขนาดมีสระน้ำอุ่นในร่มด้วย เช่น Hotel Niseko Alpen
โรงแรมในโซนนี้บางแห่งก็ใหญ่ถึงขนาดมีสระน้ำอุ่นในร่มด้วย เช่น Hotel Niseko Alpen
ซูเปอร์มาร์เก็ตใต้คอนโดฯ
ซูเปอร์มาร์เก็ตใต้คอนโดฯ

Hanazono

เป็นพื้นที่ที่เปิดมานานแล้ว ประมาณ 5 ปี แต่ปัจจุบันได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยเป็นรีสอร์ทที่มีสกีลิฟต์ขึ้นไปลานที่เล่นสกีและสโนว์บอร์ดบนภูเขา โดยมีทางลาดต่อเนื่องในการเล่นสกียาวที่สุดถึง 1 กม. ลงมายังรีสอร์ทข้างล่าง ต่างกับโซนอื่นๆ ที่เป็นสโลปย่อยหลายๆอัน ส่วนข้างล่างก็มีร้านเช่าอุปกรณ์มาตรฐานเช่นเดียวกับโซนอื่นๆ และยังมีที่ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ขับรถสโนว์โมบิล ลากแพยางบนหิมะ และอื่นๆ แต่ที่ต่างออกไปคือยังไม่มีที่พัก มีแต่คอนโดมิเนียมกับโรงแรมระดับพรีเมี่ยมที่กำลังจะเริ่มก่อสร้าง กับร้านอาหารฝรั่งเศสระดับหรู แถบนี้จึงค่อนข้างสงบ ไม่มีผู้คนคึกคักแบบโซนอื่นๆ เหมาะสำหรับผู้ต้องการความเป็นส่วนตัว

ห้องอาหารฝรั่งเศสอย่างหรูในโซนนี้
ห้องอาหารฝรั่งเศสอย่างหรูในโซนนี้
บริเวณรีสอร์ท ไม่ใหญ่มากนัก เพราะยังไม่มีที่พัก (กำลังจะเริ่มสร้าง)
บริเวณรีสอร์ท ไม่ใหญ่มากนัก เพราะยังไม่มีที่พัก (กำลังจะเริ่มสร้าง)
อุปกรณ์สกีและสโนว์บอร์ดของ -Hanazono
อุปกรณ์สกีและสโนว์บอร์ดของ -Hanazono

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

การเดินทางไป Niseko

การเดินทางไปนิเซโกะนั้นสะดวกที่สุดคือทางรถยนต์ เพราะสามารถเข้าถึงรีสอร์ทได้ทุกโซน (แต่ในฤดูหนาวไม่แนะนำให้เช่ารถขับไปเองนะครับ เพราะสภาพอากาศมีหิมะตกหนักจนมิดถนน อาจขับไปตกไหล่ทางเอาได้ง่ายๆ) รีสอร์ทใหญ่หลายที่มักจะมีรถบัสของรีสอร์ทนั้นมารับจากสนามบิน  New Chitose หรือจากในเมืองซัปโปโรเลย หรือถ้าไม่ได้พักรีสอร์ทใหญ่ ก็ยังสามารถหารถบัสไป Niseko จากสนามบินได้ไม่ยาก ซึ่งเมื่อไปถึงโซนหลักคือ Grand Hirafu  แล้วก็สามารถหารถบัสต่อไปโซนอื่นๆได้

ส่วนการเดินทางด้วยรถไฟนั้น จะไปได้ทั้งจากสนามบิน New Chitose  และเมืองซัปโปโร โดยลงที่สถานี JR Kutchan ซึ่งอยู่ใกล้โซน Grand Hirafu ใหญ่ จากนั้นอาจเรียกแท็กซี่ต่อไปที่พักได้ (อย่าเข้าใจผิดไปลงสถานี JR Niseko นะครับ อันนั้นใกล้ตัวเมืองนิเซโกะ แต่ไกลแหล่งที่เล่นสกีออกไปมาก หรือแม้แต่สถานี JR Hirafu ที่อยู่ใกล้โซน  Grand Hirafu ที่สุดก็ไม่แนะนำ ไปลงที่ Kutchan จะดีกว่า) ส่วนถ้าจะไปโซนอื่นๆ ที่เป็นรีสอร์ทใหญ่ เช่น Hilton ก็อาจรถบัสที่วิ่งระหว่างแต่ละโซนต่ออีกทีหนึ่ง

แหล่งรวมสกีรีสอร์ทที่ Niseko (Update 2015/2016) 
[info-l ] เขตเมือง Niseko และ Kutchan ทางตะวันตกเฉียงใต้ของซัปโปโร
[info-t]สกีรีสอร์ทเปิดเฉพาะหน้าหนาว ในหน้าอื่นๆ อาจเปลี่ยนเป็นสนามกอล์ฟแทน
[info-p]มีหลายระดับราคาให้เลือก
[info-w]www.milk-kobo.com
[info-d]นั่งรถบัสจากทั้งสนามบิน New Chitose หรือจากเมืองซัปโปโร ระยะทางประมาณ 100 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
[info-g]42.847458, 140.648027

เรื่องและภาพ: DPlus Guide Team / วศิน  เพิ่มทรัพย์

Rusutsu Resort รีสอร์ทดังสองฝั่งภูเขา

Rusutsu Resort

เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ อยู่ทางทิศใต้ของ Niseko ลงมา และอยู่ทางใต้ของภูเขา Yotei ลงมาประมาณครึ่งทางที่จะไปทะเลสาบโทยะ ใช้เวลานั่งรถบัสจากโซนต่างๆของ Niseko ประมาณ 1 ชั่วโมง ตัวรีสอร์ทจะอยู่คร่อมสองฝั่งถนน โดยที่พักขนาดใหญ่และมีหลายอาคาร รวมทั้งลานสกีจะอยู่ฝั่งทิศใต้ ซึ่งมีสโลปสำหรับเล่นสกีจากภูเขา Sorioizan สูง 715 เมตร ส่วนพื้นที่อีกฝั่งจะเป็นที่ราบ และห่างไปมีภูเขาที่สูงกว่า คือ  994 เมตร ที่ราบเชิงเขาจะใช้สำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น ขี่รถสโนว์โมบิล นั่งแพยางลากด้วยรถสโนว์โมบิล เลื่อนลากด้วยสุนัข และอื่นๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถเล่นได้ทุกคนในครอบครัว ด้วยไม่จำเป็นต้องเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดเป็น

Rusutsu Resort รีสอร์ทดังสองฝั่งภูเขา

พื้นที่เล่นหิมะและกิจกรรมเด็ก
พื้นที่เล่นหิมะและกิจกรรมเด็ก
ลานสกีและ chair lift
ลานสกีและ chair lift

ระหว่างพื้นที่ของรีสอร์ทสองฝั่งถนนจะมีรถไฟฟ้าแบบรางเดี่ยว (monorail) วิ่งเชื่อมถึงกันจากสถานีตรงอาคารที่พักใหญ่ ไปถึงอีกสถานีที่เป็นศูนย์กลางกิจกรรมของอีกฝั่งหนึ่งเลย ซึ่งนอกจากไม่ต้องข้ามถนนให้เสี่ยงอันตรายแล้ว ยังสะดวกรวดเร็วกว่ากันมาก

รถไฟเล็กวิ่งระหว่างสองฝั่ง
รถไฟเล็กวิ่งระหว่างสองฝั่ง

ภายในรีสอร์ทมีห้องอาหารหลายห้อง พร้อมอาหารหลากหลายแบบ วันที่เราไปเยี่ยมชมนั้นได้ชิมที่ห้องอาหารสไตล์ฝรั่งเศส พร้อมชมวิวลานสกีที่มีผู้เล่นกำลังสไลด์ลงมาตามเนิน ผ่านหน้าต่างกระจกแบบพาโนรามา เป็นภาพที่น่าประทับใจทีเดียว นอกนั้นยังมีห้องอาหารอื่นๆ อีกหลายห้อง

IMG_0642IMG_0643

 

ใครที่สนใจเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ด ฝั่งนี้ก็มีทั้งอุปกรณ์ให้เช่าแล้วฝึกสอนสำหรับคนที่เล่นยังไม่เป็น ตามมาตรฐานของสกีรีสอร์ทขนาดใหญ่ทั่วไป ส่วนกิจกรรมทั่วไปที่สามารถเล่นกันได้ทุกคนนั้น มีมากมายเช่น การขับรถสโนว์โมบิล (Snowmobile) ซึ่งไม่ยากเลย เริ่มจากการหัดขับตามๆ กันเป็นแถว คอยควบคุมทิศทางและความเร็วอย่าให้แตกแถวออกไปจากกลุ่มเท่านั้น พักเดียวก็คล่องแล้ว

จัดขบวนสโนวโมบิลก่อน
จัดขบวนสโนว์โมบิลก่อน
Rusutsu Resort รีสอร์ทดังสองฝั่งภูเขา
Rusutsu Resort รีสอร์ทดังสองฝั่งภูเขา

Rusutsu Resort รีสอร์ทดังสองฝั่งภูเขา

 

ส่วนพวก (ที่ถูก) ลากๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกล้วย (คล้ายๆ เรือกล้วยบ้านเรา) หรือนั่งในแพยางลากไปตามหิมะ (Snow-rafting) ก็เล่นได้ทุกคนเช่นกัน เพราะไม่ต้องทำอะไรนอกจากใส่ชุดกันหนาวให้เพียงพอ นอกจากเสื้อกันหนาวที่อุ่นพอแล้ว หมวกและผ้าพันคอต้องพร้อม ที่ขาดไม่ได้เลยคือแว่นตากันลม ซึ่งทางรีสอร์ทมีเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็ขึ้นไปยืน ขึ้นไปนั่ง หรือขึ้นไปขี่ แล้วแต่กรณี แล้วก็เปิดหูเปิดตาคอยร้องกรี๊ดอย่างเดียว (ต้องลืมตานะครับ เค้าอุตส่าให้แว่นกันลมมาแล้ว ถ้ามัวหลับตาปี๋ก็หมดสนุกกัน) แค่นี้ก็สนุกกันได้ทุกคนแล้ว

 

เตรียมท่านั่งในแพงยางให้ดี
เตรียมท่านั่งในแพยางให้ดี
เริ่มต้นลากละนะ...
เริ่มต้นลากละนะ…

ที่นี่มีเลื่อนสุนัขลาก (Dog-sledge) ให้ทดลองขี่ (ความจริงเราแค่ยืนเฉยๆ หมามันพาไปเอง ตามใจมัน ^_^) ให้ทดลองเล่นกันด้วย ถ้ามีเวลาก็น่าลองดู เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเราต้องฝากอนาคตไว้กับเจ้าน้องหมาหน้าขนว่าจะพาเราไปทางไหน แต่เค้าฝึกมาดีครับ ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง

เตรียมเลื่อนไว้ก่อน
เตรียมเลื่อนไว้ก่อน
ขึ้นไปยืน จับให้แน่นๆ
ขึ้นไปยืน จับให้แน่นๆ
ระหว่างนั้นน้องหมาก็ต้องหลบลมหนาวอยู่ในโพรงก่อน ออกมายืนเฉยๆ นานๆ ไม่ไหว มันหนาว
ระหว่างนั้นน้องหมาก็ต้องหลบลมหนาวอยู่ในโพรงก่อน ออกมายืนเฉยๆ นานๆ ไม่ไหว มันหนาว
เริ่มลากไปแล้ว...
เริ่มลากไปแล้ว…

สำหรับในช่วงฤดูร้อน รอบบริเวณรีสอร์ทเหล่านี้จะกลายเป็นสนามกอล์ฟ สวนสนุก และสวนน้ำแทน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นครอบครัว

 

Rusutsu Resort รีสอร์ทดังสองฝั่งภูเขา
[info-p] ปานกลางถึงสูง คืนละกว่า 30,000 เยน
[info-l] ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ Niseko อีกฝั่งหนึ่งของภูเขา Yotei หรือนั่งรถลงมาทางเมือง Toya ประมาณ 30 กม. หรือราวๆ ครึ่งทาง
[info-w] มีภาษาไทยด้วย http://en.rusutsu.co.jp/th/
[info-d] นั่งรถจาก Niseko ประมาณ​เกือบ 1 ชั่วโมง
[info-g] 42.780779, 140.906349

เรื่องและภาพ: DPlus Guide Team / วศิน  เพิ่มทรัพย์