Home Blog Page 5

รวมสรรพคุณบัตรท่องเที่ยว Travel Card ค่ายต่างๆ

รวมคุณสมบัติ Travel Card จากค่ายต่างๆ

สำหรับใครที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ แน่นอนว่าการแลกเงินเป็นขั้นตอนหลักที่เราควรมีเงินสดติดตัวไปใช้จ่าย แต่ถ้าเกิดกรณีเงินที่แลกไปไม่เพียงพอ หรือเดินทางแบบฉุกเฉิน หลายคนเลือกใช้บัตรเครดิตเป็นทางเลือก แต่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า การรูดบัตรเครดิตในต่างประเทศจะต้องโดนค่าความเสี่ยงของการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน 2.5% หากรูดเล็กๆ น้อยก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้ารูดก้อนใหญ่ขึ้นมาแล้วเห็นส่วนต่างก็คงมีหนาวๆ กันบ้าง 

แต่ตอนนี้มีทางเลือกใหม่ให้คุณได้ใช้จ่ายผ่านบัตร แบบไม่เสียค่าธรรมเนียม แถมได้เรทถูกกว่าแลกเงินที่ธนาคารเสียอีก ซึ่งปัจจุบันมีหลายธนาคารออกบัตร Travel Card เพื่อใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะ ที่เด่นในตลาดตอนนี้เห็นมีอยู่ 5 เจ้าด้วยกัน ตามไปดูรายละเอียดกันค่ะ ว่าแต่ละบัตรมีความแตกต่าง และมีความน่าใช้ยังไงกันบ้าง จะได้เตรียมตัวสมัครได้ถูก

ธนาคารที่ให้บริการบัตรเดบิตเพื่อการท่องเที่ยว (Travel Card)

  • SCB Planet ของธนาคารไทยพาณิชย์
  • Krungthai Travel Card ของธนาคารกรุงไทย
  • TMB All Free ของธนาคารทหารไทย
  • Citibank Global Wallet ของธนาคารซิตี้แบงก์
  • Journey Card ของธนาคารกสิกรไทย

Planet SCB ของธนาคารไทยพาณิชย์

คุณสมบัติของ Planet SCB

  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 700 บาท (ฟรีถึง 31 ธ.ค. 62)
  • ฟรี! ค่าธรรมเนียมรายปี
  • วงเงินรูดบัตรสูงสุด 500,000 บาท/วัน
  • วงเงินถอนเงินสดสูงสุด 500,000 บาท/วัน
  • ค่าธรรมเนียมถอนเงินสดในต่างประเทศ 100 บาท (ฟรีถึง 31 ธ.ค. 62)
  • วิธีแลกเงิน ผ่าน SCB Easy APP
  • แลกเงินล่วงหน้าผ่านแอพได้
  • สกุลเงินที่แลกได้ 13 สกุลเงิน
  • ไม่เสียค่าความเสี่ยงสกุลเงิน
  • อายุบัตร 3 ปี

สิทธิประโยชน์พิเศษของบัตร Planet SCB

  • ประกันการเดินทางนาน 10 วัน จาก Cigna (3 ต.ค. – 31 ธ.ค. 62)

Krungthai Travel Card ของธนาคารกรุงไทย

คุณสมบัติของ Krungthai Travel Card

  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 200 บาท (ฟรีถึง 31 ม.ค. 63)
  • ฟรี! ค่าธรรมเนียมรายปี
  • วงเงินรูดบัตรสูงสุด 500,000 บาท/วัน
  • วงเงินถอนเงินสดสูงสุด 50,000 บาท/วัน
  • ค่าธรรมเนียมถอนเงินสดในต่างประเทศ 100 บาท (ฟรีถึง 31 ม.ค. 63)
  • วิธีแลกเงิน ผ่าน KTC Connect APP
  • แลกเงินล่วงหน้าผ่านแอพได้
  • สกุลเงินที่แลกได้ 14 สกุลเงิน
  • ไม่เสียค่าความเสี่ยงสกุลเงิน
  • อายุบัตร 2 ปี

TMB All Free ของธนาคารทหารไทย

คุณสมบัติของ TMB All Free

  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 500 บาท
  • ค่าธรรมเนียมรายปี 350 บาท
  • วงเงินรูดบัตรสูงสุด 2,000,000 บาท/วัน
  • วงเงินถอนเงินสดสูงสุด 200,000 บาท/วัน
  • ค่าธรรมเนียมถอนเงินสดในต่างประเทศ 75 บาท
  • วิธีแลกเงิน ตัดจากบัญชีเงินฝาก
  • ไม่เสียค่าความเสี่ยงสกุลเงิน
  • อายุบัตร 5 ปี

สิทธิประโยชน์พิเศษของบัตร TMB All Free

  • ฟรี! ความคุ้มครองอุบัติเหตุ 20 เท่าของเงินฝาก
  • ฟรี! ความคุ้มครองช้อปออนไลน์ สูงสุด 5,000 บาท
  • ฟรี! TRAVEL SIM ASIA 6 GB 8 วัน มูลค่า 399 บาท จากค่าย TRUE เมื่อสมัครภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562
  • ประกันการเดินทางนาน 10 วัน จาก Cigna (11 มี.ค. – 31 ธ.ค. 62)

Citibank Global Wallet ของธนาคารซิตี้แบงก์

คุณสมบัติของ Citibank Global Wallet

  • ฟรี! ค่าธรรมเนียมแรกเข้า
  • ฟรี! ค่าธรรมเนียมรายปี
  • วงเงินรูดบัตรสูงสุด 300,000 บาท/วัน
  • วงเงินถอนเงินสดสูงสุด 200,000 บาท/วัน
  • ฟรี! ค่าธรรมเนียมถอนเงินสดในต่างประเทศ
  • วิธีแลกเงิน ผ่านแอพ Citibank Mobile APP
  • แลกเงินล่วงหน้าผ่านแอพได้
  • สกุลเงินที่แลกได้ 8 สกุลเงิน
  • ไม่เสียค่าความเสี่ยงสกุลเงิน
  • อายุบัตร 5 ปี

Journey Card ของธนาคารกสิกรไทย

คุณสมบัติของ Journey Card

  • ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 700 บาท
  • ค่าธรรมเนียมรายปี 550 บาท (ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก)
  • วงเงินรูดบัตรสูงสุด 200,000 บาท/วัน
  • วงเงินถอนเงินสดสูงสุด 200,000 บาท/วัน
  • ค่าธรรมเนียมถอนเงินสดในต่างประเทศ 100 บาท
  • วิธีแลกเงิน ตัดจากบัญชีเงินฝาก
  • ไม่เสียค่าความเสี่ยงสกุลเงิน

สิทธิประโยชน์พิเศษของบัตร Journey Card

  • สิทธิ์เข้าใช้บริการ Miracle Lounge 3 สิทธิ์/ปีปฏิทิน 2562-2563 เมื่อสมัครภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 (หลังจากนั้นได้ 1 สิทธิ์/ปีปฏิทิน)
  • ส่วนลด 100 บาทจาก Grab เมื่อใช้บริการไป-กลับสนามบิน (3 ต.ค. – 31 ธ.ค. 62)
  • ประกันการเดินทางนาน 10 วัน จาก Cigna สามารถยื่นจอวีซ่าเชงเก้นได้ (3 ต.ค. – 31 ธ.ค. 62)
  • ฟรี Sim Card Go Inter (ASIA-AUS-USA) 6 GB 10 วัน มูลค่า 399 บาท จากค่าย DTAC เมื่อสมัครภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562

ทั้งนี้แต่ละบัตรจะมีรายละเอียดอื่นๆ อีกที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการแต่ละบัตร ดังนี้

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

พาเที่ยวตลาดปลา Taipei Fish Market

พาเที่ยวตลาดปลา Taipei Fish Market

มาเที่ยวไต้หวันทั้งที ใครที่เที่ยวอยู่ที่ไทเปแน่นอนว่าตลาดปลาไทเป หรือ Taipei Fish Market เป็นอีกพิกัดที่ต้องปักหมุดไปให้ถึงที่ สำหรับคนที่เป็นคอปลาดิบรับรองว่าต้องถูกใจกับเมนูที่หลากหลายและราคาที่เห็นแล้วถูกกว่าเมืองไทยอย่างแน่นอน ส่วนใครที่ไม่ทานปลาดิบก็สามารถสั่งให้เชฟทำแบบสุกได้ นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารอื่นๆ ที่ทานง่ายๆ เริ่มต้นกันเลยดีกว่าค่ะว่าการเดินทางไปยังตลาดปลาแห่งนี้ สามารถเดินทางยังไงได้บ้าง

การเดินทางไปยังตลาดปลาไทเป

สำหรับการเดินทางขอแนะนำให้เดินทางกันด้วยรถเมล์เพราะขึ้นต่อเดียว แล้วเดินไปยังตลาดอีกนิดหน่อย แต่ถ้านั่งรถไฟฟ้าใต้ดินจะไปถึงแค่สถานีใกล้เคียง ซึ่งยังไงก็ต้องต่อรถเมล์อีกที เราก็นั่งรถเมล์ยาวๆ แทน แถมขึ้นต่อเดียวก็เสียค่ารถเพียงแค่ 15 TWD เท่านั้น

การเดินทางด้วยรถเมล์จากสถานี Taipei Station ทางออก 17 เพื่อไปขึ้นรถเมล์สาย 63

การเดินทางด้วยรถเมล์จากสถานี Xiamen Station ทางออก 2 เพื่อไปขึ้นรถเมล์สาย 49

หลังจากที่เราลงจากรถเมล์กันแล้ว ระหว่างการเดินเท้าไปตลาดปลานั้น เราจะเดินผ่านตลาดผลไม้กันด้วย อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองหลงนะคะ แบบว่าตลาดปลากับตลาดผลไม้เค้าอยู่ติดกันน่ะ

บรรยากาศภายในตลาดปลา

ตลาดปลาแห่งนี้ดูแตกต่างไปจากตลาดปลาที่ญี่ปุ่น ซึ่งที่นี่ได้ปรับปรุงครั้งใหญ่เมื่อปี 2012 ให้กลายเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตสไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นแหล่งรวมอาหารสด อาหารทะเล ผัก ผลไม้ และอาหารชนิดต่างๆ โดยจะถูกแบ่งโซนของประเภทสินค้าไว้อย่างชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการเดินเลือกซื้อ เลือกสั่งทานได้ทันที ภายในบริเวณมีระบบจัดการที่ดูแลเป็นอย่างดี สะอาด และถูกสุขลักษณะ จึงทำให้ตลาดปลาที่นี่ดูแตกต่างไปจากตลาดสดทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เราไปดูกันค่ะ ว่ามีโซนขายสินค้าอะไรบ้างที่น่าสนใจ

ปูยักษ์สีส้มน่าทานเชียว
กุ้งล็อปสเตอร์เนื้อแน่นราคาไม่เบา
ปูในบ่อแบบเป็นๆ เลือกตักกันได้ตามสะดวก
ปลาสดเหมาะสำหรับทานกันแบบซาชิมิ
สนใจอาหารทะเลประเภทไหนเลือกตักมาชั่งดูปริมาณกันได้เลยค่ะ

โซนอาหารทะเล โซนนี้จะเป็นบ่อปลา และสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ เช่น ปูยักษ์ กุ้งล็อบสเตอร์ หอยเม่น หอยเชลล์ ปลาทะเล เป็นต้น ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ชอบทานของสดใหม่ ก็สามารถเลือกตักจากบ่อให้เชฟปรุงให้ทานกันตรงนั้นได้เลย

อยากทานเมนูไหนก็ชี้ให้เชฟหยิบขึ้นมาทำให้ทานได้เลย

โซนบาร์อาหารสดและซูชิ ใครที่ชอบทานซาชิมิ ซูชิ เค้าก็มีโซนบาร์ให้นั่งทานได้เลย อยากทานเมนูไหนก็เลือกสั่งให้เชฟทำโชว์ให้ดูตรงนั้นเลย นั่งทานไปดูเชฟทำอาหารไปก็เพลินไปอีกแบบ หรือจะซื้อสาเก หรือเบียร์จากในซุปเปอร์มานั่งทานแกล้มด้วย ก็ดีไปอีกแบบ

อาหารกล่องราคาเบา ราคาไม่แรง แถมสดอร่อยซะด้วย
โซนอาหาร มีอาหารให้เลือกหลากหลายประเภท เลือกกันจนตาลาย
ซาชิมิซักเซ็ทใหม่คะ สดใหม่ อร่อยถูกใจแน่
พาเที่ยวตลาดปลา Taipei Fish Market
ไข่หอยเม่นน่าทานมาก

โซนอาหารใส่กล่อง โซนนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เพราะราคาถูกแล้วก็ดูน่าทานทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซาชิมิ ซูชิ ก็มีจัดชุดเล็ก ชุดใหญ่ให้เลือกหลายระดับราคา นอกจากนี้ยังมีอาหารประเภทข้าว กับข้าว และอาหารปรุงสุกหลากหลายชนิดให้เลือกสั่งใส่กล่องได้ด้วย

เซ็ตเบาๆ ของเรา ซูชิหมดนี่คนเดียวกินแล้วจุกมาก
จัดมื้อหนัก ข้าวก็มา ฝากท้องไว้ที่นี่ละกัน
อร่อยจริง ไม่ได้โม้ อิอิ ^_^

โซนสำหรับทานอาหารจากซุปเปอร์ บริเวณทางออกหลังจากคิดเงินแล้ว ทางตลาดได้จัดโต๊ะ และบาร์ให้คนที่มาจับจ่ายซื้อของด้านใน ออกมาทานกันได้ทันที ซึ่งโซนที่จัดให้นี้จะมีเพียงโต๊ะ และบาร์ให้ยืนทานเอานะคะ ไม่มีเก้าอี้ให้นั่งจ้า ใครอยากนั่งทานสบายต้องไปอีกโซนสำหรับคนที่สั่งอาหารสดแล้วให้เชฟปรุงให้ จะมีโต๊ะและเก้าอี้คอยบริการให้ แต่สำหรับใครเน้นทานไวไปต่อ ทานง่ายๆก็ตรงนี้ได้เลย เค้ามีถังขยะคอยบริการทิ้งด้วย ทานเสร็จอย่าลืมทิ้งให้เรียบร้อยนะจ๊ะ เพราะจะมีนักท่องเที่ยวที่ผู้คนที่มาช้อปปิ้งแวะทานแบบเราหมุนเวียนมาใช้บริการกันตลอดทั้งวัน

ความจริงแล้วยังมีโซน และมุมที่น่าสนใจอีกหลายมุมให้ลองเดินดู และนั่งเล่นกัน หรือใครอยากทานอาหารทะเลสด ปลาดิบ ซาชิมิ แบบบ้านๆ หน่อย ก็สามารถเดินดูบริเวณรอบของตลาดแห่งนี้ก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารให้เลือกทานได้เช่นเดียวกัน

พิกัด : 20, Alley 2, Ln 410, Minzu E Rd, Zhongshan District, Taipei City
เวลาเปิด-ปิด : 06:00-24:00 น.

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

12 ข้อที่ควรรู้ และควรเตรียมก่อนไปไต้หวัน

12 สิ่งที่ควรรู้ และควรเตรียมก่อนไปไต้หวัน
ประตูทางเข้าอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค

ไต้หวัน (Taiwan) หรือ ไถวาน มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐจีน มีลักษณะเป็นเกาะที่แยกออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ ภาพในหัวของใครหลายคนอาจจะคิดว่าไต้หวันก็คือเมืองจีนซักมณฑลนึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไต้หวันเป็นรัฐหนึ่งซึ่งมีระบอบการปกครองเป็นของตัวเอง รวมไปถึงสภาพวิถีชีวิตและความเป็นอยู่นั้นก็แตกต่างไปจากประเทศจีนอย่างสิ้นเชิง

หลายคนเคยไปไต้หวันแล้วคงมีความคิดที่ว่าไต้หวันมีลักษณะบ้านเมือง และวีถีชีวิตผู้คนที่คล้ายกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากในยุคๆหนึ่ง ประเทศญี่ปุ่นเคยเข้ามาถือครองไต้หวันในปี 1895 ก่อนเสียคืนให้แก่จีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เรามองเห็นได้ในสังคมไต้หวันนั่นเอง

ก่อนการเดินทางไปท่องเที่ยวยังไต้หวัน แน่นอนว่าเราต้องมีข้อควรต้องรู้ และเตรียมพร้อมกันเสียก่อน วันนี้ DPlus Guide ขอแนะนำทั้งหมด 12 ข้อ รู้และเตรียมพร้อมไปด้วยกันเลยค่ะ

1. ฟรีวีซ่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการประกาศขยายเวลาฟรีวีซ่าให้กับนักท่องชาวไทยเพิ่มจากเดิม จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ใครจะไปเที่ยวปุ๊บปั๊บ เผลอมือไวกดตั๋วโปรได้ก็อุ่นใจ เที่ยวได้สบายหายห่วงแน่นอน

2. ค่าเงินใกล้เคียงไทย ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงน่าเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะค่าเงินไต้หวันลงมาจนต่ำกว่าไทยไปนิดหน่อยแล้ว ไปไต้หวันก็คิดแบบง่ายๆได้เลยว่า 1 TWD เท่ากับ 1 THB นั่นเอง

อัตราแลกเปลี่ยนจากแอพ Superrich Thailand

3. ตั๋วเครื่องบิน เดี๋ยวนี้มีหลายสายการบินที่บินตรงไปยังไต้หวันโดยไม่ต้องต่อเครื่อง ซึ่งมีทั้งสายการบิน Low Cost และ Full Service โดยจะใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น

4. ที่พัก ที่พักไต้หวันมีหลายย่านให้เราได้เลือก ราคาก็ไม่สูงมากนักในย่านยอดนิยมอย่าง Taipei Main Station และ Ximending โดยสามารถจอง รร. ผ่านเว็บไซต์จองโรงแรมยอดฮิตอย่าง Booking หรือ Agoda ได้อย่างสะดวกสบาย

ห้องพักโรงแรม Tomorrow Hotel ขอบคุณรูปภาพจาก Agoda.com

5. ประกันการเดินทาง อย่ามองว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นมา ประกันนี้จะเป็นตัวช่วยเราได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของความช่วยเหลือ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมาด้วย โดยประกันการเดินทางเริ่มต้นเพียงวันละหลักสิบเท่านั้น ซื้อออนไลน์ล่วงหน้าก่อนไปก็แสนสะดวก

เว็บไซต์ Gobear เปรียบเทียบประกันการเดินทางจากค่ายต่างๆ

6. อินเทอร์เน็ต เลี่ยงไม่ได้เลยว่าโทรศัพท์มือถือ และอินเทอร์เน็ต เป็นของคู่ชีวิต เพราะฉะนั้นก่อนไปควรเตรียมข้อมูลไปก่อนเลยว่าต้องการจะใช้ซิมอินเทอร์เน็ต Pocket WIFI หรือ เปิดบริการ Data Roaming ซึ่งวิธีการใช้งาน และราคาก็จะแตกต่างกันออกไป จึงควรศึกษาถึงความแตกต่างเสียก่อน ว่าแบบไหนสะดวกกับเรา และเป็นราคาที่รับได้

Pocket WIFI ของ Smile WIFI ใช้งานง่ายสะดวก เน็ตแรงด้วยนะ

7. Easy Card บัตรเดียวเที่ยวได้รอบ เป็นบัตรที่สามารถใช้แตะขึ้นลงรถบัส รถไฟฟ้า แม้กระทั่งใช้จ่ายซื้อของได้ทั่วเมือง หากเงินในบัตรหมดก็เติมได้ที่ตู้เติมเงินที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไป บัตรมีทั้งรูปแบบการ์ดลายการ์ตูนน่ารักๆ ราคา 100 TWD และที่เป็นแบบพวงกุญแจ ราคา 150 TWD (ราคาเฉพาะบัตรเท่านั้น เงินในบัตรต้องเติมเพิ่ม เติมเงินขั้นต่ำ 100 บาทต่อครั้ง)

บัตร Easy Card ของไต้หวัน

8. แลกเงินติดตัว ไปต่างประเทศแน่นอนว่าจำเป็นอย่างมากที่ต้องแลกเงินติดตัวไปก่อนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรทการแลกเงินตามร้านแลกเงินชื่อดังอย่าง Superrich ย่อมดีกว่าการแลกจากธนาคาร แต่ถ้าแลกเงินเยอะเกินไป กลับมาแลกคืนที่ไทยอาจโดนค่าส่วนต่างเยอะตามไปด้วย ซึ่งการไปใต้หวันนั้นแสนจะสะดวกสบาย หลายๆ ที่รับชำระด้วยบัตรเครดิต และสามารถกดเงินสดเพิ่มเติมได้จากตู้ ATM ที่มีสัญลักษณ์เหมือนกับหลังบัตร  เพราะฉะนั้นลองแลกไปตามจำนวนที่คาดว่าจะใช้ก็เพียงพอแล้ว ไม่พอจริงๆ ก็งัดบัตรมากดมาใช้จ่ายก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

9. ระบบไฟฟ้า ที่ไต้หวัน 110V ปลั๊กเสียบเป็นแบบแบน 2 ขา หากเตรียมอุปกรณ์ไฟฟ้าของไทยไปใช้ที่โน้นควรตรวจสอบการรองรับระบบไฟฟ้าสำหรับ 110V หรือหัวแปลงไฟไปด้วย ไม่งั้นกำลังไฟไม่พอ เครื่องใช้ไฟฟ้าก็อาจไม่ทำงานหรือทำงานได้ไม่เต็มกำลัง

10. ภาษา หลายคนกังวลเรื่องภาษาอังกฤษก็ไม่เก่ง ภาษาจีนก็ไม่ได้เลย ไม่ต้องกังวลไปค่ะ การเดินทางโดยพื้นฐานจะมีภาษาอังกฤษกำกับไว้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องอาหารการกิน ทุกๆ ร้านแทบจะมีรูปภาพให้เราได้สามารถชี้สั่งกันอย่างสะดวก ถ้าไม่มีก็ใช้ไหวพริบลอกชาวบ้านชี้เอาได้เลย หรือจะใช้ผู้ช่วยอากู๋ Google ที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของเราช่วย เดี๋ยวนี้แอพก็อัจฉริยะไม่ทำให้เราหลง หรืออดจนไส้กิ่วอย่างแน่นอน

แอพพลิเคชั่น Google Translate
ตัวช่วยในการแปลภาษา

11. เตรียมถุงใส่ของ ตามร้านขายของและร้านสะดวกซื้อที่ไต้หวันเค้าไม่มีถุงใส่ข้าวของที่เราซื้อให้นะ เพราะฉะนั้นควรจะเตรียมเป้ หรือถุงผ้าไปช้อปปิ้ง ไม่งั้นถืออิรุงตุงนังแน่ๆ แต่ตามย่านตลาด และถนนคนเดินทั้งหลายจะมีร้านถุงผ้า หรือถุงใส่ของลายน่ารักๆ ก็แวะซื้อใช้กันได้จ๊ะ

12. แพลนการท่องเที่ยว แน่นอนว่าใจความสำคัญของการท่องเที่ยวคือแหล่งท่องเที่ยวที่เราจะไปนั่นเอง หลายคนปุ๊บปั๊บทัวร์จองตั๋วปุ๊บ ออกเดินทางปั๊บ จะนั่งเสิร์ซหาข้อมูลก็ดูเหมือนจะไม่ทันการ หนังสือคู่มือการท่องเที่ยวเป็นอีกตัวช่วยที่ดีสำหรับคนไม่ค่อยมีเวลา พกเล่มเดียวจะทำให้คุณรู้สึกอุ่นใจ เพราะข้างในจะรวมแหล่งท่องเที่ยวตามย่านที่อยากไป ใครกำลังมองหาคู่มือการท่องเที่ยวไต้หวันซักเล่ม ขอแนะนำเลยของสำนักพิมพ์ DPlus Guide ที่จะพาคุณไปได้อย่างไม่มีหลง (แอบขายของ อิอิ) หากใครสนใจหนังสือไกด์บุ๊คเที่ยวไต้หวันนี้ สามารถสั่งซื้อออนไลน์ พร้อมรับส่วนลด 10% ได้ที่ www.dplusshop.com/product/546/ไต้หวัน-เล่มเดียวเที่ยวทั่วเกาะ

เตรียมพร้อมกับทั้ง 12 ข้อกันแล้ว รับรองว่าจะได้เที่ยวไต้หวัน อย่างนักท่องเที่ยวมืออาชีพ เที่ยวสนุก กินอิ่ม นอนหลับ ได้เที่ยวชาร์จพลังกันอย่างเต็มที่ กลับมาพร้อมกับไฟลุยงานกันต่อ แล้วพบกันใหม่อีกครั้ง…..Taiwan Once Again

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

ช้อปชิมใช้ รับเงินฟรี! ลงทะเบียนกันรึยัง?

ชิม ช้อป ใช้ จ่ายเงิน 1000

ตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ที่มีชื่อว่า “ชิมช้อปใช้” ให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com เพื่อรับเงิน 1,000 บาท ผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” (G-Wallet) โดยจะมีการจำกัดสิทธิ์ที่ 10 ล้านคน และจะต้องนำเงินไปใช้จ่ายยังจังหวัดที่ตนเองไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ ส่วนการลงทะเบียนจะจำกัดผู้ลงทะเบียนวันละไม่เกิน 1 ล้านคน ซึ่งสามารถลงทะเบียนกันได้ตังแต่วันที่ 23 กันยายน – 15 พฤศจิกายน 2562

หลังจากที่เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมลงทะเบียนกันไป 4 วันแล้ว ได้เสียงตอบรับกันเป็นอย่างดี และมีกระแสการพูดถึงความลงทะเบียนยุ่งยากและลงไม่ทันกันหลายราย ซึ่งระบบจะทำการตัดวันนับจำนวนผู้ลงทะเบียนใหม่ในช่วงเวลา 24:00 น. ถ้าใครนอนหัวค่ำ ถึงแม้จะตื่นเช้าแค่ไหน เปิดเว็บไซต์มาก็จะพบกับข้อความที่ว่า “ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนครบ 1 ล้านแล้ว กรุณาลงทะเบียนในวันถัดไป” 

ใครที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน และต้องการจะลงนั้น แน่นอนว่าต่อไปนี้คือ เควส หรือภาระกิจสำคัญที่ต้องมีการวางแผนและเตรียมพร้อมกันเป็นอย่างดีเสียก่อน เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าอะไรที่เราต้องเตรียมให้พร้อมก่อนการลงทะเบียน

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ ชิม ช้อป ใช้

1. มีบัตรประจำตัวประชาชน เป็นบุคคลสัญชาติไทย

2. มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน

3. มีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตและมีอีเมล

ช่วงเวลาที่ควรแก่การลงทะเบียน

 – หลังเที่ยงคืนถึงตี 5 จะเป็นช่วงเวลาที่คนต่างลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์กัน ลุย!!!

4 ขั้นตอนในการลงทะเบียนรับสิทธิ์

  1. กรอกข้อมูลลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com ระยะเวลาลงทะเบียน 23 กย. – 15 พย. 62
  2. รอรับ SMS / Email ผลการลงทะเบียนรับสิทธิภายใน 3 วันทำการ
  3. Download Application เป๋าตัง เพื่อใช้สิทธิ์ผ่าน G-Wallet ไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย
  4. รับสิทธิ์ 2 ต่อ ต่อที่ 1 สิทธิ์ใช้จ่าย 1,000 บาท ต่อที่ 2 รับเงินคืน 15% สูงสุด 4,500 บาท

ข้อควรระวัง

  1. การลงทะเบียนเพื่อใช้จ่าย ณ จังหวัดที่ตนเองมีภูมิลำเนาตามบัตรประชาชน จะไม่สามารถเลือกได้ ระบบจะให้ทำการเลือกใหม่
  2. หากลงทะเบียนยังจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งไปแล้ว แต่ต้องการเปลี่ยนไปใช้ที่จังหวัดอื่น ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลได้เช่นกัน
  3. หากไม่มีโอกาสไปใช้จ่ายตามจังหวัดที่ระบุไว้ภายในระยะเวลา 14 วัน หลังได้รับสิทธิ์ จะถูกเรียกเงินคืนทั้งหมด แต่ถ้าใช้ไปบ้างบางส่วน แต่ใช้ไม่หมด จะยังไม่ถูกยึดคืน และสามารถทะยอยใช้ได้จนถึงวันสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562

ขั้นตอนการยืนยันตัวตน

หลังจากที่เราได้ทำการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะต้องรอ SMS เพื่อยืนยันตัวตนก่อน หากใครได้รับ SMS แล้ว ก็สามารถทำตามขั้นตอนนี้ได้เลย

1. ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” มาไว้ในมือถือคุณให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อดาวน์โหลดเรียบร้อยก็แตะเปิดไอคอนแอพขึ้นมา แอพจะให้คุณเปิดระบบสแกนใบหน้า โดยให้แตะที่ปุ่ม “ตกลง

2. จากนั้นจะมีข้อความให้วางบัตรประชาชนให้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเพื่อยืนยันตัวตน พร้อมกรอกข้อมูลส่วนตัว เมื่อกรอกเรียบร้อยให้แตะที่ปุ่ม “ยืนยัน

3. จากนั้นระบบจะส่งรหัส OTP มาทาง SMS เพื่อให้ระบุ เมื่อเรียบร้อยก็จะไปต่อยังหน้าให้สแกนใบหน้า

4. หากคุณยืนยันตัวตนผ่านจะมี SMS ส่งมาอีกครั้งเพื่อแจ้ง เมื่อเข้าแอพจะมีข้อความเด้งมาว่าคุณได้เปิดใช้งาน G-Wallet สำเร็จ ก็สามารถนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายตามร้านค้าที่ร่วมโครงการได้ทันที

เพียงเท่านี้ก็จะได้สิทธิ์รับเงิน 1,000 บาท ไปใช้จ่ายกัน เตรียมพร้อม เตรียมตัวลุย ลงทะเบียนกันให้ผ่านนะจ๊ะ DPlus Guide เอาใจช่วยค่ะ

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

เปิดแล้ว! สามย่านมิตรทาวน์ ที่เที่ยว กิน ดื่ม 24 ชม.

สามย่านมิตรทาวน์

สามย่านมิตรทาวน์ ห้างแห่งนี้ตั้งอยู่กลางใจเมืองอยู่หัวมุมถนนแยกสามย่านติดกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่เปิดเมื่อที่ 20 กันยายน 2562 ก็เรียกได้ว่าหัวบันไดไม่แห้งได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี

รีวิวการเดินทางมายังห้าง

การเดินทางมายังสามย่านมิตรทาวน์นั้นแสนจะสะดวกสบาย เพียงนั่งรถไฟฟ้า MRT มาลงที่สถานีสามย่าน เดินมาตรงทางออก 2 แต่ยังไม่ต้องขึ้นบันไดเลื่อน จะมีทางเลี้ยวซ้ายเดินเข้ามายังห้างที่ชั้น B ได้อย่างสะดวก

ทางเข้าห้างบริเวณประตูทางออกที่ 2 ของสถานีสามย่าน
ทางเดินเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้าเข้าสู่ตัวห้าง

ระหว่างทางเดินเข้าสู่ตัวห้างเราจะได้เห็นมุมถ่ายรูปชิคๆ หลายมุม ตั้งแต่ผนังทางเดินสีขาวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เดินมาอีกหน่อยก็จะพบกับทางเดินเป็นอุโมงค์กลมๆ เลียนแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน เดินไปอีกนิดก็จะพบกับพื้นกระจกที่มองทะลุเห็นท่อด้านล่างใครไม่ชอบความสูงงานนี้เดินอยู่อาจรู้สึกหลอนๆ ได้

มุมถ่ายรูปในอุโมงค์ระหว่างเดินเข้าตัวห้าง
พื้นกระจกโชว์การวางท่อใต้พื้น

ส่วนใครที่ขับรถมา ที่นี่ก็มีที่จอดรถซึ่งรองรับได้ถึง 1,578 คัน ช่วงนี้ห่างเพิ่งเปิดใหม่ยังจอดรถได้ฟรีอยู่นะคะ (หากมีอัพเดทจะมาแจ้งให้ทราบค่ะ)

ความโดดเด่นของสามย่านมิตรทาวน์ที่เป็นมากกว่าห้างทั่วไป

สามย่านมิตรทาวน์ห้างน้องใหม่เอาใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือที่บ้านชอบหาที่นั่งทำงานอ่านหนังสือตามร้านกาแฟ หรือ Co-Working Space จึงผุดเป็นโครงการสามย่านมิตรทาวน์ขึ้นมาตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภายในห้างจะแบ่งออกเป็น 2 โซนได้แก่ โซนร้านค้า ร้านอาหารที่เปิดเวลาปกติกับโซน 24 ชั่วโมง ซึ่งภายในบริเวณโซน 24 ชั่วโมงนี้ ก็จะมีแบรนด์ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ธนาคาร และพื้นที่การเรียนรู้ CO-OP คอยเปิดบริการกันทั้งวันทั้งคืนอีกด้วย

CO-OP ให้บริการพื้นที่ CO-Working Space 24 ชั่วโมง
CO-OP ให้บริการพื้นที่ CO-Working Space 24 ชั่วโมง

ส่วนใครที่หิวแบบจัดหนักแบบจัดเต็มในช่วงยามดึกบริเวณชั้นใต้ดินเค้าก็มี Big C Food Place ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายอาหารสด และอาหารแห้ง ร้าน Shabushi Buffet ในเครือโออิชิกรุ๊ป KFC และก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร ร้านก๋วยเตี๋ยวแบรนด์ดังที่ยกมาเปิดบนห้างกันแบบ 24 ชม. เป็นสาขาแรก

Big C Foodplace ขายอาหารสดและอาหารแห้ง 24 ชั่วโมง
ร้าน Shabushi Buffet ให้บริการ 24 ชั่วโมง
ร้านก๋วยเตี๋ยวพระนคร เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง
บริการทางด้านการเงินตลอด 24 ชั่วโมง
Kerry บริการส่งของ 24 ชั่วโมง

โซนทั่วไปก็น่าสนใจเหมือนกันนะ

นอกจากการเป็นห้างที่มีโซนบริการ 24 ชม. แล้ว โซนทั่วไปก็มีแบรนด์ร้านค้า ร้านอาหาร และแบรนด์สินค้าอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งจะกระจายตัวอยู่ตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้น 4

ส่วนชั้น 5 จะเป็นพื้นที่ของโรงหนัง House และ Samyan Mitrtown Hall และโซน Open Air ชั้นลอยที่สามารถเดินเล่น นั่งเล่น ชมวิวสวยๆ ของเมือง ก็ชิลไปอีกแบบ

โรงหนังแนวๆ ที่ไม่ได้เข้าฉายตามโรงทั่วไป
สามย่านมิตรทาวน์ฮอล์ สำหรับจัดการแสดงและคอนเสิร์ต
พื้นที่ Open Air ที่อยู่บริเวณชั้น 5

นอกจากที่รีวิวแล้ว ยังมีพื้นที่ที่ยังติดป้าย Coming Soon ของแบรนด์ร้านค้า ร้านอาหารอีกมากมายเตรียมมาบริการกันอย่างเต็มที่ทุกล็อก เชื่อว่าห้างแห่งนี้จะกลายเป็นห้างที่ดึงดูดผู้คนได้ไม่น้อยไปกว่าห้างสยามพารากอน หรือห้างเซนทรัลเวิลด์ ที่อยู่ในย่านการค้าใกล้เคียงกัน ซึ่งในอนาคตแต่ละห้างคงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

การเดินทาง : รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสามย่าน เดินทางตรงทางออกที่ 2 จะมีทางเชื่อมเข้าสู่ตัวห้าง
เวลาเปิด-ปิด : โซนปกติ 10:00-22:00 น. /โซน 24 ชั่วโมงเปิดตลอด
เว็บไซต์ : www.samyan-mitrtown.com

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

เที่ยว ชม ช้อป แช่ (ออนเซน) ที่เมืองอูไหล – ไต้หวัน

เที่ยวชม ช้อป แช่ ออนเซ็น เมืองอูไหล

เมืองอูไหล (Wulai) เป็นหมู่บ้านชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากไทเป เป็นเมืองท่ามกลางธรรมชาติและออนเซนยอดฮิต ที่ทั้งนักท่องเที่ยว และคนไต้หวันนิยมเดินทางมาเที่ยว พักผ่อน และแช่ออนเซนกัน ซึ่งเมืองออนเซนชื่อดังอีกเมืองที่น่าสนใจยังมีอยู่อีกเมือง นั่นก็คือเมืองเป่ยโถ (Beitou) นั่นเอง

เที่ยว ชม ช้อป แช่ ออนเซ็น เมืองอูไหล
แม่น้ำสายมรกตที่พาดผ่านใจกลางเมืองอูไหล

แต่วันนี้เรามาชื่นชมความงดงามและธรรมชาติของเมืองอูไหลกันก่อนดีกว่าค่ะ ว่าจะสวยงามและมีความน่าสนใจเพียงใด

จุดรอรถบัสที่สถานีรถไฟฟ้า Xindian
จุดจอดรถบัสสาย 849 สุดเส้นทางที่อูไหล
วิวธรรมชาติตรงจุดจอดรสบัสสาย 849 ที่เมืองอูไหล

เราเดินทางมาที่อูไหลกันด้วยรถบัส (ดูรายละเอียดการเดินทางท้ายบทความ) ใช้เวลาไม่นานมาก พอลงรถบัสจะได้พบกับความงามของแม่น้ำสายหลักสีเขียวมรกต ขนาบข้างไปด้วยมวลหมู่ไม้สีเขียวครึ้ม ดูแล้วสบายตา

ทางเดินเข้าสู่ตลาดที่เป็นถนนสายเก่าของหมู่บ้าน

หลังจากที่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสายธารกันแล้ว เราก็มุ่งกันต่อที่ตลาดที่เป็นถนนสายเก่าของที่นี่ให้ได้ช้อปปิ้งซื้อของฝาก และฝากท้องกัน เราแวะมาที่นี่ในวันธรรมดา คนจึงน้อยและเดินเที่ยวกันแบบสบายๆ 2 ข้างทางของตลาดเต็มไปด้วยร้านค้าขายของฝาก และอาหารสตรีทฟู้ดให้ได้เดินซื้อเดินกินกันไป 

กุนเชียงไต้หวัน หรือภาษาจีนเรียกว่า เซียงฉาง

เมนูเด็ดที่มีคนแนะนำว่าห้ามพลาดก็คือ “กุนเชียงไต้หวัน” หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า “เซียงฉาง” เป็นกุนเชียงเนื้อแน่นไม่หวานไม่เลี่ยน เนื้อแน่นกัดแล้วกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเคล็ดลับความอร่อยเค้าบอกว่าทำมาจากเนื้อหมูป่านั่นเอง (เนื้อหมูป่าจะมีมันน้อยกว่าหมูเลี้ยง) 

อีกเมนูที่อยากแนะนำก็คือไข่สมุนไพรที่นำไปเคี่ยวกับน้ำใบชาจนสีของไข่ขาวกลายเป็นสีดำอมน้ำตาล เนื้อเหนียวหนึบคล้ายกับไข่เยี่ยมม้าบ้านเรา แต่เวลาทานจะได้กลิ่นสมุนไพรไปด้วย มาแล้วต้องลอง!!!

ร้านของฝากภายในตลาด

เดินกันจนเหนื่อยเมื่อยก็ถึงเวลาแวะทานอาหารมื้อหลักกัน ในตลาดแห่งนี้มีร้านอาหารตามสั่งอยู่หลายร้านเลยค่ะ หน้าร้านทุกร้านจะมีพนักงานเชิญชวนเข้าไปนั่งกันจนเลือกไม่ถูกหน้า ร้านด้านหน้าจะถูกจัดวางสไตล์ร้านข้าวต้มกลางคืนเมืองไทย ที่ชอบวางวัตถุดิบกันเรียงรายหน้าร้าน เป็นแบบนี้เหมือนๆกันทุกร้านเลยค่ะ เลือกไม่ถูกว่าจะเข้าร้านไหนดีก็มองๆ ดูร้านที่มีเมนูเป็นรูปภาพ จากนั้นก็เดินตามพนักงานเข้าไป…หูววววิวระดับโลกค่ะหน้าร้านดูแสนจะธรรมดา แต่พอเห็นข้างในแล้ว…แบบว่า…ได้ทานอาหารพร้อมนั่งดูวิวแม่น้ำสีเขียวมรกตกับธรรมชาติอันแสนสบายตาพูดได้เลยว่าเริ่ดมากกกกกกกก

เมนูในร้านอาหารมีเยอะมากจนเลือกไม่ถูกแต่ถ้าใครสายคลีนชอบทานผักเพื่อสุขภาพจะมีเมนูผัดผักหลากหลายชนิดมากๆ ผักแต่ละชนิดล้วนแล้วแต่เป็นผักที่ไม่คุ้นตา แต่พอผัดมาให้ทาน ก็สัมผัสได้ถึงความสด กรอบอร่อย แบบที่ไม่คาดคิด…ไม่อยากอวยเยอะ อิอิ เอาเป็นว่าลองไปสั่งทานดูกันเนอะ

อยากกินผัดผักอะไร ลองเลือกชี้สั่งดูกันได้
อาหารรสชาติเข้มข้น อร่อยใช้ได้เลย
เอาใจสายคลีน ผักกรอบมาก

อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาไปต่อกันที่ออนเซนที่จองไว้ เป็นโรงแรมที่มีชื่อว่า Volando Urai Spring Spa and Resort ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากจากตลาด พอเดินไปได้ในวันอากาศดีๆ ทริปออนเซนนี้เราจองล่วงหน้าผ่านแอพ KKday เป็นห้องแช่ออนเซนแบบส่วนตัว ให้เวลาแช่ 1.30 ชั่วโมง (ปกติหน้าหนาวจะให้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น) แถมด้วยชุดน้ำชา/ชุดอาหารสำหรับ 2 ท่าน ในราคาเพียง 1,241 บาท (มาหน้าหนาว ราคาสูงกว่านี้จ้า)

ดูเหมือนไม่เยอะ แต่กินหมดมีจุกแน่

การบริการที่นี่เรียกได้ว่าใส่ใจลูกค้าอย่างดีเยี่ยม (ไม่ได้ค่าสปอนเซอร์นะ แต่รู้สึกดีจริงๆ) เนื่องจากเราจองแช่ออนเซนไว้ตอน 16.00 น. ซึ่งอยู่ในช่วง Tea Time ทาง รร. จึงแจ้งล่วงหน้าให้มาเวลา 15.00 น. เพื่อมานั่งทานชุดน้ำชาก่อนแช่ออนเซน พอมาถึงที่ รร.ก็ได้เวลาพอดี พนักงานชี้แจงรายละเอียด และให้ใบบุ๊กกิ้งขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อนั่งพักและดื่มชุดชา พนักงานต้อนรับที่ให้บริการในโซนนี้นำเมนูมาแนะนำเป็นอย่างดี ในชุดน้ำชาจะมีของทานเล่นให้ 1 เซ็ท ซึ่งพนักงานจะให้เราเลือกเครื่องดื่มได้ตามใจชอบ ไม่ได้บังคับว่าจะต้องทานแต่ชานะจ๊ะ มีทั้งเมนูผลไม้ปั่น เครื่องดื่มเย็นก็มีให้เลือกเยอะ แอบส่องราคาปกติเครื่องดื่มอย่างนึงก็จะเริ่มต้นที่ราคา 200 TWD ส่วนที่เราสั่งจะรวมอยู่ในแพคเกจสั่งได้คนละ 1 อย่าง ฟรีจ๊ะ

น่ากินมาก แถมอร่อยอีกต่างหาก

ของว่างที่มาเสิร์ฟ ไม่ได้ดูดีแค่หน้าตา และไม่ใช่แค่มีเป็นของแถมไปงั้นๆ แต่รสชาตินั้นอร่อยไม่เสียชื่อ รร. ดังของเมืองเลยค่ะ

นั่งทานไปก็ชมวิวสายน้ำและธรรมชาติ

พอถึงเวลาแช่ออนเซนเราก็ลงมารอกันที่ชั้น 1 จะมีพนักงานเดินมาเชิญเราไปยังห้องที่ทำการจองไว้ ไปชมบรรยากาศภายในห้องกันเลยค่ะ

บรรยากาศภายในห้องแช่ พร้อมวิวริมหน้าต่างสุดแสนจะโรแมนติก
โซนนั่งอาบน้ำข้างๆ บ่อแช่ออนอซน
หน้าโต๊ะเครื่องแป้งจะมีอุปกรณ์วางไว้ให้ใช้อย่างครบครัน

หลังจากที่เข้ามา พนักงานจะเปิดน้ำไว้ให้อยู่แล้ว เราก็รอน้ำให้ได้ระดับ ช่วงที่รอน้ำก็ถอดเสื้อผ้า อาบน้ำที่ก็อกข้างๆ กันก่อนได้เลย ภายในห้องจะมีอุปกรณ์อาบน้ำ สบู่ แชมพู ผ้าขนหนู ไดร์เป่าผม หวี ครีมทาผิวให้อย่างครบครัน ก่อนลงแช่ แนะนำให้หย่อนเท้าลงไปก่อนนะคะ เพราะน้ำจะร้อนมาก หากลงไปเลยทั้งตัว อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน

บรรยากาศมันให้แอบติดเรทนิดนึง ^_^

การแช่ออนเซนที่นี่ดีตรงที่มีความเป็นส่วนตัว และได้วิวบรรยากาศริมหน้าต่างที่เห็นธรรมชาติแบบเรียลๆ นั่งแช่ก็ชมวิวแม่น้ำสายมรกต และบรรยากาศต้นไม้ที่เขียวครึ้มไปด้วย เรียกได้ว่าผ่อนคลายระดับโลก

[คำเตือน ระหว่างการแช่ออนเซน ควรสังเกตชีพจรตัวเองด้วย ถ้ารู้สึกใจเต้นแรง รู้สึกอ่อนเพลีย กรุณาอย่าฝืนนะคะ เดี๋ยวเป็นลมเอา ให้ขึ้นมานั่งพักก่อน ถ้าไหวค่อยลงใหม่ ถ้าไม่ไหวก็นั่งพักให้ดีขึ้นแล้วอาบน้ำแต่งตัวเลยจ้า]

ป้ายรสบัสหน้าโรงแรมจะเป็นป้ายที่ 3 จากสถานีต้นสาย

ออกมาจากออนเซนก็ 5 โมงเย็นพอดี ถึงเวลาเดินทางกลับ เยื้องหน้ารร.ไปทางซ้ายมือจะมีป้ายรถบัสอยู่ ก็ไปยืนรอรถบัส พร้อมโบกมือบ๊าย บ่าย เมืองอูไหล จบทริปในหนึ่งวันกันอย่างสบายตัว เย้ๆๆๆๆๆๆๆ

การเดินทาง : โดยรสบัส สาย 849
– จากสถานี Taipei Main Station ทางออก M8 ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.
– จากสถานี Xindian ทางออก G01 ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

เรื่องและภาพโดย@ipookpui

Central Village ห้างที่ไกลแค่ไหน…ก็ควรไป

Central village เซ็นทรัลวิลเลจ แห่งช้อปปิ้ง เอาท์เลาท์แห่งใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ
แบรนด์ Apple จัด Sale กันถึง 80%

เซ็นทรัลวิลเลจ (Central Village) ที่ได้ชื่อว่าเป็น Luxury Outlet แห่งแรกของไทย ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ด้วยงบลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งได้ทำการเปิดตัวไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2562

วันนี้ Dplus Guide จะพาไปชมบรรยากาศที่ Central Village กันค่ะ เห็นเค้าว่าช็อปแบรนด์ต่างๆ เค้าลดราคากันร้อนแรงตั้งแต่ 35%-70% กันเลยทีเดียว ก่อนอื่นเลยสำหรับลานจอดรถนั้นรายล้อมอยู่รอบของตัวเซ็นทรัล วิลเลจ แห่งนี้ หากไปวันเสาร์-อาทิตย์ คนจะเยอะ รถจะเยอะหน่อย แต่การช้อปปิ้งกับการจอดรถ ไม่ใช่อุปสรรคของเรา วนไปค่ะ เพราะเดี๋ยวก็จะมีคนสลับเข้า-ออกกันตลอดอยู่แล้ว แหะๆ

บริเวณลานจอดรถรอบวิลเลจ

เข้ามาในบริเวณตัววิลเลจ สามารถเข้าได้หลายทางค่ะ แล้วแต่ว่าเราได้จอดรถบริเวณโซนไหน แต่ป้ายเด่นๆ ของห้างก็จะอยู่บริเวณตรงกลางทั้ง 2 ด้าน จะเช็คอินลงโซเชียลก็ต้องแถวๆ บริเวณนี้เลยค่ะ เดี๋ยวคนไม่รู้ว่าชั้นมาแล้วนะยะ แลนด์มาร์กสำคัญอีกจุดใกล้ๆ ป้าย เห็นจะเป็นลานน้ำพุ ที่เป็นจุดถ่ายรูป และที่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานของเด็กๆ นั่นเอง ผู้ปกครองหลายท่านจะพาลูกหลานไปช้อปปิ้ง แต่อาจจะจอดที่จุดนี้นานหน่อยก็อาจเป็นได้นะ อิอิ

ลานน้ำพุ จุดถ่ายรูปที่น่าสนใจ

ต่อไปเรามาเดินสำรวจบริเวณวิลเลจโดยรอบกันดีกว่าค่ะ วิลเลจแห่งนี้จะทำทางเดินช้อปปิ้งเป็นวงรี ให้สามารถเดินวนรอบ และมาบรรจบที่เดิมได้ ไม่มีหลงค่ะ ระหว่างทางเดินช้อปปิ้งคุณจะเจอมุมถ่ายรูปชิคๆ หลายจุด ให้ได้แวะถ่ายรูป และนั่งพักรอหวานใจระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินแวะช้อปในช็อป

ภายในวิเลจแห่งนี้ได้รวบรวมแบรนด์ดังระดับโลกไว้กว่า 150 ร้านค้า ซึ่งส่วนใหญ่ถือเป็น First Time Outlet Shop หรือเป็นการเปิดตัวของร้านเอาท์เลทที่แรกในประเทศไทย และอีกกว่า 60 แบรนด์ ที่ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store เฉพาะเซ็นทรัล วิลเลจที่เดียวอีกด้วย ถูกใจแบรนด์ไหนก็เข้าไปดูส่วนลดกันได้เลยค่ะ

ทุกแบรนด์มีโปรลดราคากระแทกใจ

หลังจากช้อปกันเหนื่อย แน่นอนที่ขาดไม่ได้เลยคืออาหารการกิน ที่นี่เค้ามีฟู้ทคอร์ทที่มีชื่อว่า Food Village เป็นศูนย์อาหารที่ตกแต่งได้อย่างสวยงาม น่าใช้บริการ อาหารมีหลากหลายราคา คุณภาพอาหารดีไม่เสียชื่อแบรนด์เซ็นทรัลที่เลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี

ศูนย์อาหาร Food Village

นอกจาก Food Village แล้ว ก็ยังมีร้านอาหารแบรนด์ดังอย่าง MK, Sushi Hiro, Fuji และอื่นๆ อีกหลายร้านที่เปิดให้บริการกันที่นี่

แบรนด์ร้านอาหารดังๆ ก็มีมาเปิดให้บริการกัน

ช่วงแรกของการเปิดตัววิลเลจอาจจะยังมีอีกหลายแบรนด์ที่ยังไม่เปิดให้บริการ ก็เตรียมปักหมุดรอไว้ได้เลยนะคะ แหล่งช้อปปิ้งใหม่น่าช้อป น่าเที่ยวแบบนี้ พลาดแล้วนะเสียดาย!!!

การเดินทาง: 
รถยนต์ ขับตามพิกัดนี้เลย 13.638310, 100.743818
รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอุดมสุข (สายสุขุมวิท) ทางออก 1,3,5 และต่อ Shuttle Bus (ฟรี) รับ-ส่งมายังเซ็นทรัล วิลเลจ /เที่ยวแรกเริ่มวิ่ง 10:00 น. ขากลับเที่ยวสุดท้ายเวลา 21:30 น.
รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีชิดลม หรือสยาม แล้วเดินมาที่ Central World ประตู D ชั้น 1 ต่อ Shuttle Bus (ฟรี) รับ-ส่งมายังเซ็นทรัล วิลเลจ /เที่ยวแรกเริ่มวิ่ง 11:00 น. ขากลับเที่ยวสุดท้ายเวลา 21:00 น.
รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีสุวรรณภูมิ จุดขึ้นรถ รร.โนโวเทล สุวรรณภูมิ ต่อ Shuttle Bus รับ-ส่งมายังเซ็นทรัล วิลเลจ

เวลาเปิด-ปิด: 10:00-22:00 น.

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

นิทรรศการ “จิ๋นซี ฮ่องเต้” ยกสุสานส่งตรงมาจัดแสดงไทยเป็นครั้งแรก

นิทรรศการ จิ๋นซี ฮ่องเต้
นิทรรศการ จิ๋นซี ฮ่องเต้
นิทรรศการ, พิพิธภัณฑ์, จิ๋นซีฮ่องเต้
พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

 วันนี้ Dplus Guide ขอนำเสนองานนิทรรศการที่น่าสนใจส่งตรงมาจากเมืองจีนที่มีชื่อว่า “จิ๋นซีฮ่องเต้” จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา งานนี้ของแท้ 100% ส่งตรงมาจากหลายพิพิธภัณฑ์ชั้นนำในสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยรวบรวบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญมาจัดแสดงจำนวน 86 รายการ (133 ชิ้น) ซึ่งมีอายุกว่า 2,200 ปี ยกมาจัดกันที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 15 กันยายน- 15 ธันวาคม 62 จุดประสงค์ของนิทรรศการนี้เพื่อเป็นสื่อกลางในการบอกเล่าประวัติศาสตร์ และความยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิจิ๋นซีในการปกครอง รวมไปถึงเรื่องราว และสิ่งมหัศจรรย์ของสุสานที่ทิ้งไว้หลังความตายให้ชนรุ่นหลัง และนานาอารยประเทศได้ศึกษาเรียนรู้จุดเริ่มต้นของอารยธรรมที่นับกว่าเก่าแก่กว่ายุคใดในโลกก็ว่าได้

การเข้าไปชมเราต้องทำการซื้อตั๋วกันก่อน โดยซื้อได้ที่หน้าพิพิธภัณฑ์นั่นเอง เวลาขายตั๋วเริ่มตั้งแต่ 8:30 น. และรอบสุดท้ายที่เวลา 15:30 น. คนไทยซื้อได้ในราคาเพียง 30 บาทเท่านั้น เราก็จะได้ตั๋ว 1 ใบ สตื๊กเกอร์หมายเลขเพื่อแปะหน้าอก และแผ่นพับรายละเอียดเกี่ยวกับนิทรรศการที่เราจะเข้าไปดู ส่วนใครที่นำกระเป๋ามาด้วย เค้าให้ฝากกระเป๋าไว้ก่อน ซึ่งจะมีป้ายหมายเลขมาให้เรารับคืนได้ภายหลัง ส่วนการเข้าชมทางพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูปเข้าไปถ่ายด้านใน แต่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายได้เท่านั้น และต้องปิดแฟลชด้วย…พร้อมแล้วเข้าไปเลยค่ะ

ภายในบริเวณนิทรรศการจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 โซนที่น่าสนใจได้แก่

1.พัฒนาการก่อนการรวมชาติยุคราชวงศ์โจวตะวันออก

สมัยราชวงศ์โจวสมัยชุนชิว(สมัยฤดูใบไม้ร่วง) และสมัยจ้านกว๋อ(สมัยสงครามรัฐศึก) ประเทศจีนโบราณประกอบด้วยแคว้นเล็กแคว้นน้อยที่แบ่งแยกการปกครองเป็นเอกเทศ ยุคนี้มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการหล่อสำริด เช่นการผลิตอาวุธเครื่องดนตรีภาชนะและเงินตรา รวมถึงความก้าวหน้าทางการทหาร ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้แคว้นฉินที่เป็นแคว้นขนาดเล็กในเขตชายแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีนโบราณ กลายเป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งในเวลาต่อมา

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ, นิทรรศการ
บริเวณโซนที่ 1 พัฒนาการก่อนการรวมชาติ ยุคราชวงศ์โจวตะวันออก

2.จิ๋นซีฮ่องเต้จักรพรรดิองค์แรกของจีนผู้ผนวกโลกมนุษย์และสวรรค์

มหาราชองค์แรกในประวัติศาสตร์จีนที่โลกต้องจารึกประมาณ 2,200 กว่าปีมาแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ประสูติในฐานะเจ้าชายแห่งแคว้นฉิน เมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา ได้รับการสถาปนาขึ้นปกครองแคว้นฉินแทนพระราชบิดา และประกอบพิธีราชาภิเษกเมื่อพระชนมายุ 22 พรรษา พระราชกรณียกิจของพระองค์ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน เช่นการสถาปนาราชวงศ์ฉิน การผนวกแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น การปฏิรูประบบการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง กำหนดมาตรฐานหน่วยชั่งตวงวัด ระบบเงินตราภาษาเขียนและการพัฒนาสาธารณูปโภค เช่นการสร้างถนนหลวงซึ่งมีความยาวกว่า 6,000 กิโลเมตร การขุดคลองเชื่อมแม่น้ำสร้างสะพาน สร้างระบบทำนบกั้นน้ำเพื่อขยายพื้นที่การเกษตร ทรงริเริ่มให้มีการก่อสร้างและเชื่อมต่อแนวกำแพงดินอัดของแคว้นต่างๆ เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึกศัตรูจนกลายเป็นกำแพงเมืองจีน นับเป็นคุณูปการต่อประเทศจีน ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นแหล่งอารยธรรมอันน่าอัศจรรย์ของโลก

บริเวณโซนที่ 2 แสดงวิดีโอกราฟิคเกี่ยวกับการสร้างกำแพงเมืองจีน

3.สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีมหาอาณาจักรใต้พิภพ

นิทรรศการส่วนนี้จัดแสดงโบราณวัตถุสำคัญจากสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี เช่นหุ่นทหารและม้าดินเผา เสื้อเกราะอาวุธสำริดและรถม้าสำริด จิ๋นซีฮ่องเต้เฝ้าค้นหาความเป็นอมตะเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะตลอดชีวิต ทรงดำริให้มีการสร้างสุสานเมื่อพระชนมายุ 13 พรรษาเรื่องราวของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รับการบันทึกไว้โดยอาลักษณ์สมัยราชวงศ์ฮั่นซือหม่าเฉียน พรรณารายละเอียดอันน่าทึ่งของมหาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ปริศนานี้ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2517 หลังจากชาวนาคนหนึ่งได้ขุดค้นพบทางโบราณคดีครั้งสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก จึงประกาศให้สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อพุทธศักราช 2530 ความมหัศจรรย์ของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีคือการใช้แรงงานคนจำนวนมหาศาลเพื่อดำเนินการก่อสร้างสุสานในระยะเวลาเกือบ 40 ปี มหาอาณาจักรแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 60 ตารางกิโลเมตรโดยเป็นการจำลองนครเสียนหยางเมืองหลวงแห่งสุดท้ายในสมัยราชวงศ์ฉินไว้ในสุสาน รัฐบาลจีนได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีแล้วกว่า 900 หลุมพบทหารดินเผาและรถม้ากว่า 8,000 ตัว พบสุสานบริวารของเจ้าชายเจ้าหญิง นางสนม ข้าราชการ คนงานสร้างสุสานคอกสัตว์ และรถม้าสำริด

ภาพสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ณ เมืองซีอาน ประเทศจีน

4.สืบสานความรุ่งโรจน์ยุคราชวงศ์ฮั่น

มรดกทางวัฒนธรรมจากจักรพรรดิจิ๋นซีและราชวงศ์ฉิน ส่งต่อสู่ราชวงศ์ฮั่นส่วนสุดท้ายของนิทรรศการจัดแสดงโบราณวัตถุจากสุสานในสมัยราชวงศ์ฮั่น และโบราณวัตถุที่บอกเล่าเรื่องราวประเพณีวิถีชีวิตความรุ่งเรืองทางด้านวัฒนธรรม การเมืองการปกครอง สังคม เกษตรกรรม และเทคโนโลยีทางการทหาร ตลอดจนการค้าและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างชาวจีนโบราณกับชาวต่างชาติบนเส้นทางสายไหม สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ นับเป็นยุคทองของงานศิลปกรรมและอารยธรรมจีนอย่างแท้จริง

โซนที่ 4 บอกเล่าเรื่องราวความรุ่งเรืองหลังจากยุคของจักรพรรดิจิ๋นซี

ใครที่ชื่นชอบการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของโลกไม่ควรพลาดเด็ดขาดรีบๆมาชมกันนะคะเพราะนิทรรศการนี้เป็นนิทรรศการพิเศษจะจัดแสดงเพียง 3 เดือนเท่านั้นค่ะ

ค่าธรรมเนียมเข้าชม: คนไทย 30 บาทคนต่างชาติ 200 บาท

เวลาเข้าชม: 09:00-18:00 น. ขายตั๋วถึงเวลา 17:00 น. (ปิดวันจันทร์อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: โทร 02-224-1333, 02-224-1402

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

Day 3 : Toyosu Fish Market – Tokyo Tower – Tokyo Station – Imperial Palace

เช้า       ออกจากที่พัก เดินทางไปยังสถานี JR Shiodome ต่อรถไฟลอยฟ้าสาย Yurikamome ข้ามสะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge) และย่านโอไดบะ ลงสถานี Shijo-mae

9:00      เข้าชมบริเวณตลาดปลาแห่งใหม่ (Toyosu) ที่ย้ายมาจากย่าน Tsukiji ซึ่งแยกเป็น 3 อาคาร (หากต้องการเข้าชมการประมูลปลา ต้องจองล่วงหน้าผ่านเว็บและมาเช้ากว่านั้น ตลาดเปิดตั้งแต่ตี 5)

11:00   นั่งรถไฟย้อนกลับมาสถานี Shiodome ต่อสาย Oedo 2 ป้าย ลงสถานี Akabanebashi เดินต่อ 600 ม.

12:00    อาหารกลางวันตามอัธยาศัย แล้วเข้าชม Tokyo Tower (บัตรเป็นรอบๆ) และหากมีเวลาเหลืออาจแวะชมสวนสนุก One Piece ที่ชั้น 3 ด้วย

15:00   เดินจากโตเกียวทาวเวอร์ 600 ม. ขึ้นรถไฟสาย Hibiya ที่สถานี Kamiyacho หรือเดินจากโตเกียวทาวเวอร์ 750 ม. ขึ้นรถไฟสาย Mita ที่สถานี Onarimon ทั้งสองแบบลงสถานี Hibiya ทางออก B6 เดินต่อ 500 ม. ชมลานพระราชวังของจักรพรรดิและสะพานแว่นตา (Nijubashi)

16:30   เดิน 1 กม. ไปลานหน้าสถานี Tokyo ถ่ายรูปหน้าสถานีที่เป็นอาคารอิฐแดงอายุกว่า 100 ปี และชั้นใต้ดินที่มีร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ทานอาหารเย็นตามอัธยาศัย แล้วเดินทางกลับที่พัก

Day 2 : Shinjuku – Harajuku – Shibuya

เช้า ออกจากที่พัก เดินทางไปสถานี JR Shinjuku ต่อรถใต้ดินสาย Oedo 1 ป้าย ลงสถานี Tochomae

9:30      ขึ้นชมวิวจากตึกศาลาว่าการกรุงโตเกียว (ฟรี)

10:30    นั่งรถใต้ดินย้อนกลับมาสถานี Shinjuku 1 ป้าย เปลี่ยนเป็นสาย Marunouchi ลงสถานี Shinjuku Gyoen-mae เดินเข้าชมสวน Shinjukugyoen

12:00    อาหารกลางวันตามอัธยาศัย และเดินช้อปปิ้งรอบๆ สถานี Shinjuku ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก ฝั่งตะวันออกมีห้าง Isetan และห้างมือสอง Komehyo ทางใต้มีห้าง Takashimaya และ Tokyu Hands สาขาใหญ่ ทางตะวันตกเป็นห้างร้านเล็กๆ จำนวนมาก และเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง Yodobashi Camera และ Bic Camera ส่วนทางเหนือของสถานีเป็นย่าน Kabukicho มีห้างดองกี้ (Donki) ตึก Godzilla เป็นต้น

14:00    นั่งรถไฟ JR สาย Yananote จากสถานี Shinjuku ไป 2 ป้าย ลงสถานี Harajuku เดินเข้าชมสวนและศาลเจ้า Meiji Jingu ระยะทาง 800 ม.

16:00    เดินเที่ยวและช้อปปิ้งย่านฮาราจุกุ ถนน Takeshita ถนน Omotesando ห้างสรรพสินค้า Tokyu ถนนแฟชั่น Cat Street

18:00    จากสถานี Harajuku ขึ้นรถไฟต่ออีก 1 ป้าย ถึงสถานี Shibuya ชมห้าแยกที่คนจำนวนมากมายข้ามถนนพร้อมกัน รูปปั้นสุนัขกตัญญูฮาจิโกะ และช้อปปิ้งสารพัดห้างบริเวณรอบๆ สถานี

20:00    อาหารเย็นตามอัธยาศัย แล้วเดินทางกลับที่พัก

กว่าจะรู้ตัวก็บินไปถึงแล้ว! รวม 7 สิ่งที่นักเดินทางมักคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะลืม!

กว่าจะรู้ตัวก็บินไปถึงแล้ว! รวม 7 สิ่งที่นักเดินทางมักคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะลืม!

รวม 7 สิ่งที่นักเดินทางมักคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะลืม! ของบางชิ้นเราไม่มีทางรู้ตัวว่าเราลืม จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องหยิบมาใช้เลยด้วยซ้ำ! ...และมีหลายอย่างที่หาซื้อในต่างประเทศไม่ได้ซะด้วย!