Home Blog Page 4

WAKYU ร้านราเมงเล็กๆ ที่อร่อยเด็ด ไม่แพ้ใคร

WAKYU ร้านราเมงเล็กๆ ที่อร่อยเด็ด ไม่แพ้ใคร

วันนี้ DPlus Guide จะพาไปรีวิวร้านราเมงที่มีคนแนะนำมาว่าอร่อยมาก ซึ่งร้านนี้มีชื่อว่า “WAKYU” (วาคิว) เป็นร้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 51 ลักษณะร้านเป็นร้านห้องเดียวที่มีรองรับแขก 2 ชั้น สามารถจอดรถหลังร้านได้ โดยจะมีค่าจอดชั่วโมงละ 40 บาท ใครที่เข้ามาทางปากซอยสุขุมวิท 51 ก็เดินเข้ามาประมาณ 50 เมตร ร้านจะอยู่ซ้ายมือ หน้าร้านจะมีโคมไฟญี่ปุ่นสีขาวอยู่อย่างโดดเด่น พร้อมแล้วเข้าไปกันเลยค่ะ

บรรยากาศหน้าร้าน Wakyu

บรรยากาศร้านชั้น 1 จะเป็นเคาน์เตอร์บาร์แบบญี่ปุ่น พื้นที่ไม่กว้างเท่าไหร่ นั่งทานแบบเรียงกันบนบาร์ ความจริงที่ชั้น 2 มีที่นั่งสบายๆ แต่ว่าวันนี้เราอยากเก็บบรรยากาศการทำอาหารของเชฟกันแบบสดๆ ก็ต้องขอนั่งชั้น 1 นี่แหละดีที่สุด เรามาแอบส่องกันค่ะว่ารอบตัวเรามีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

บรรยากาศเคาน์เตอร์บาร์สไตล์ญี่ปุ่นจริงๆ
เค้าบอกว่าข้าวที่ใช้ในร้านนำเข้ามาจากเมือง Niigata ด้วยนะ
บรรยากาศชั้นวางหลังเคาน์เตอร์บาร์ มีทั้งเครื่องปรุง และขวดเหล้าสาเกแปะชื่อที่มีคนฝากไว้
เค้ามีทีวีเปิดรายการอาหารญี่ปุ่นให้ดูแบบเพลินๆ ด้วย
แอบส่องเชฟทำอาหารให้ทาน เพลินไปอีกแบบ

ส่องบรรยากาศกันมาพอสมควรแล้ว เรามาเปิดดูเมนูกันดีกว่าค่ะว่ามีเมนูอะไรน่าสนใจให้เราสั่งทานกันบ้าง มาเปิดเมนูกันทีละหน้าเลยจ้า

ร้านนี้แน่นอนว่าขึ้นชื่อเรื่องราเมง ซึ่งเมนูราเมงก็มีอยู่หลายอย่าง เช่น โชยุโซบะ เมนูยอดฮิตที่คนญี่ปุ่นมักสั่งทานกันเป็นประจำ นอกจากเมนูราเมงแล้ว ยังมีเมนูข้าวหน้า เมนูเส้นผัด และเมนูของทานเล่น อย่างสลัด ไก่คาราเกะ และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นแบบนี้ ก็คือเครื่องดื่มแอลกฮอล์ อย่างเบียร์ญี่ปุ่น และสาเกร้อนเย็นนั่นเอง

เบียร์ญี่ปุ่นมีให้เลือกสั่งทานหลายตัวอยู่นะ

ชื่นชมบรรยากาศระหว่างการรอคอยอาหารกันไปแล้ว ก็ได้เวลาลงมือทานอาหารซักที การรีวิวครั้งนี้เราสั่งเมนู Kara Miso Soba กับเมนู Nagoya Soba มาทานกัน ไปดูหน้าตากันซะหน่อย

Nagoya Soba เป็นเส้นราเมงในน้ำโชยุรสเข้ม กลมกล่อม เป็นสูตรเด็ดของทางร้านที่มีต้นตำรับมาจากเมือง Nagoya (นาโงย่า) ท้อปปิ้งด้านบนด้วยหมูสับผัดรสเผ็ด หมูและไข่ ตกแต่งด้วยต้นหอมญี่ปุ่น รองรับความอร่อยที่แตกต่างจากที่อื่นอย่างแน่นอน

Kara Miso Soba ที่สั่งเมนูนี้เพราะเป็นคนชอบรสชาติจัดจ้าน และในเมนูมีเขียนว่า Spicy เลยจัดมาลองซักหน่อยว่ารสชาติจะเป็นยังไงบ้าง น้ำซุปคาระนี้จะรสชาติเผ็ดเล็กน้อย น้ำซุปสีเข้มข้น เส้นโซบะก็เหนียวนุ่ม ใส่ถั่วงอกลวกให้เยอะมาก ท้อปปิ้งด้วยหมูสับ หมูชาชู และไข้ต้ม

ใครชอบปรุงเค้าก็มีเครื่องปรุงตั้งไว้บริการด้วย

ทั้ง 2 เมนูที่รีวิวกันในวันนี้มีความอร่อยที่แตกต่างกันออกไป จะลองเมนูอื่นๆ อีกเห็นทีจะไม่ไหวกับขนาดท้อง เพราะราเมนชามนึงทานทีอิ่มไปแบบยาวๆ ชามใหญ่มาก คุ้มค่าทั้งความอร่อย และปริมาณที่จัดให้มา เอาเป็นว่ารอบหน้าต้องมีมาจัดซ้ำ จะทะยอยสั่งทานให้ครบ แล้วจะมาลงรีวิวเพิ่มให้ทีหลังนะจ๊ะ

สุดท้ายแล้วเรามาดูบิลกันค่ะ มื้อนี้เราทานกันไป 2 อย่าง รวม 480 บาท ซึ่งราคาอาหารที่อยู่ในเมนูนั้นได้รวม VAT แล้ว ใบเสร็จมีถอด VAT ให้ดูเรียบร้อย ใครต้องการขอใบกำกับภาษีฉบับเต็มก็สามารถขอทางร้านกันได้ อ่อ! ลืมบอกไป…ที่นี่เค้าไม่เก็บเซอร์วิสชาร์จนะจ๊ะ ถ้าใครชื่นชมการบริการก็สามารถให้ทิปกันได้ สำหรับวันนี้ อิ่มอร่อย กลับบ้านนอนหลับสวัสดีจ้า ?

Wakyu Ramen
ที่อยู่ : 3, 2 ถนนสุขุมวิท แขวง คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เวลาเปิด-ปิด : อังคาร-ศุกร์ 17:00-24:00 น., เสาร์-อาทิตย์ 11:30-15:00 น. และ 18:00-22:00 น.
เบอร์ติดต่อ : 02-258-9584
เว็บไซต์ : dworkstyle.com

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

ข้อควรรู้ก่อนผันตัวเป็นแม่ค้าสายนำเข้าจากจีน

ข้อควรรู้ก่อนผันตัวเป็นแม่ค้าสายนำเข้าจากจีน

สำหรับใครที่กำลังสนใจหาสินค้าจากจีนนำเข้ามาขายในไทย หรือสำหรับมือใหม่ที่อยากลองหาธุรกิจใหม่ทำดู การนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จากเมื่อก่อน คนไทยมักหาสินค้าจากตลาดค้าส่งในเมืองไทย ซึ่งบางทีตลาดค้าส่งเหล่านี้สินค้าหลายอย่างก็รับมาจากประเทศจีนอีกที แต่ตอนนี้เทคโนโลยีก้าวไกล คลังความรู้มีมากมาย จนทำให้เรื่องการหาสินค้าเองจากแหล่งผลิต ไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากอีกต่อไป บทความนี้จึงขอเป็นการแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นศึกษาของมูลเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าจากจีน มาดูกันค่ะ ว่าก่อนเราจะนำเข้าสินค้าเราควรรู้อะไรกันบ้าง

รู้ว่าจะขายอะไร

สำหรับคนที่เคยค้าขายมาก่อนอยู่แล้ว ก็คงมีสินค้าที่อยากขายอยู่แล้ว แต่อาจจะเป็นสินค้าที่ซื้อหาจากคนกลางหรือโรงงานในไทย ก็คงเลือกสินค้าที่จะนำมาขายได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับนักขายมือใหม่ที่อยากจะมาลงสังเวียนค้าขายกันแบบเริ่มต้นคงเป็นโจทย์ที่คิดไม่ค่อยตก ไม่รู้จะขายอะไรดี เลือกจะขายอันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะขายดีหรือเปล่า ขายแล้วจะขาดทุนมั้ย เงินจะจมหรือเปล่า ปัญหาร้อยแปดพันเก้ามักผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แล้วก็เป็นเรื่องปกติมากๆ ขึ้นชื่อว่าเรื่องการลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถปรับตัว และแข่งขันอยู่ในตลาดให้โดดเด่นกว่าคนอื่นยังไง เอาเป็นว่าสำหรับนักขายมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะขายอะไรดี อยากให้เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองสนใจ หรือชอบก่อนเป็นอันดับแรก เหตุผลที่แนะนำแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าการเลือกที่จะขายอะไรที่ตัวเองชอบจะเป็นตัวกระตุ้นให้ตัวเองรู้สึกสนุกที่จะทำ และไม่เบื่อหน่ายกับการขายไปง่ายๆ เสียก่อน เพราะช่วงแรกของการลงทุน ส่วนใหญ่มักต้องใช้เวลา การวางแผน และการลงแรงไปมากพอสมควร หากเลือกทำอะไรที่ตนเองไม่รู้สึกอิน พอเปิดตัวขายไปแล้วผลตอบรับไม่ได้เป็นแบบที่คาดหวังไว้ ก็มักจะเลิกล้มขายกันไปแบบง่ายๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

รู้ว่าต้องหาซื้อจากที่ไหน

แน่นอนว่าบทความนี้จั่วหัวชัดเจนว่านำเข้าจากประเทศจีน แต่ความจริงแล้วจีนเป็นประเทศที่กว้างมาก ฐานการผลิตสินค้าแต่ละประเภทก็อาจจะอยู่ต่างพื้นที่กันออกไป แต่เมืองหลักๆ ที่คนไทยมักเดินทางไปหาซื้อสินค้ากันมักจะมีรายชื่อเมืองที่คุ้นๆ หูกัน ดังนี้ กวางโจว เซินเจิ้น และอี้อู เมืองทั้ง 3 ที่กล่าวถึงนี้ ถ้าพูดในวงการค้าขายของนำเข้าจากจีน ใครๆ ก็ต้องร้องอ๋อ เพราะทั้ง 3 เมืองนี้เป็นฐานการผลิตสินค้า และมีโรงงานเป็นจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับว่าสินค้าที่คุณต้องการอยู่ที่เมืองไหน และที่ไหนราคาต่ำกว่ากันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากคุณต้องการสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แก๊ตเจ็ตสำหรับมือถือทั้งหลาย เมืองเซินเจิ้นเค้าขึ้นชื่อเรื่องนี้ แต่ถ้าใครต้องการสินค้าประเภทเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้ายกโหล เสื้อผ้าแฟชั่น รวมไปถึงงานไฮเอนด์ เมืองกวางโจวถือเป็นเมืองที่ตอบโจทย์แม่ค้าสายแฟชั่นได้เป็นอย่างดี ส่วนถ้าใครกำลังมองหาสินค้าราคา 20 บาท สั่งซื้อจำนวนมากแบบยกล็อตยกตู้มาเปิดร้านกันแบบขายส่ง หรือร้านขนาดใหญ่ ต้องมุ่งไปที่เมืองอี้อูเท่านั้นเลย เอาเป็นว่าลองศึกษากันให้ดีๆ ก่อนว่าสินค้าที่คุณต้องการอยู่ที่เมืองไหน ใครไม่รู้ ขอแนะนำทางออกด้วยหนังสือ“ลุยตลาดค้าส่ง กวางโจว อี้อู เซินเจิ้น” ที่จะช่วยแนะนำตลาดขายสินค้าตามประเภทสินค้าให้ศึกษากันแบบเดินทางไปถึงที่ได้เองเลยทีเดียว

รู้ว่าต้องขนสินค้ากลับยังไง

ใครที่เคยเดินทางไปต่างประเทศเป็นประจำอยู่แล้ว คงรู้กันเป็นอย่างดีว่าเราสามารถโหลดข้าวของมาทางใต้ท้องเครื่องได้ แต่ก็จะมีเกณฑ์น้ำหนักจำกัดอยู่ ส่วนจะเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับสายการบินที่คุณใช้เดินทางนั่นเอง แต่สำหรับแม่ค้ามืออาชีพที่ต้องการขนสินค้ากลับมาขายยังไทย การโหลดสินค้ามาทางใต้ท้องเครื่องบินคงไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะบางสายการบินไม่มีน้ำหนักให้โหลดฟรี ถ้าซื้อน้ำหนักโหลดของกลับก็คงไม่คุ้มแน่ ซึ่งการขนของกลับเพื่อมาขายคุณต้องสำแดงของต่อศุกลากร อาจทำให้ต้องเสียค่าภาษีเยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นได้

เพราะฉะนั้นคุณต้องรู้จักกับชิปปิ้ง หรือบริษัทที่จะเป็นตัวกลางในการขนสินค้าของคุณกลับมายังเมืองไทยอย่างสะดวกสบาย ซึ่งมีค่าขนส่งที่ชัดเจน สามารถคำนวณและควบคุมต้นทุนได้ ซึ่งบริษัทชิปปิ้งพวกนี้เค้าก็จะช่วยเคลียร์ภาษีนำเข้ามาให้เรียบร้อย โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเรียกเก็บเกินจากที่คาด โดยส่วนใหญ่บริษัทชิปปิ้งพวกนี้เค้าจะเก็บค่าบริการจากค่าน้ำหนักสินค้า ซึ่งภาษาแม่ค้าเค้าก็จะเรียกกันว่า “ค่ากิโล” นั่นเอง 

โดยค่ากิโลจะถูกแยกราคาออกไปตามวิธีการขนส่ง 3 วิธีหลักๆ ได้แก่

  1. ขนส่งโดยเรือ แบบนี้จะเป็นการขนส่งที่ถูกที่สุด แต่ช้าที่สุด การเดินทางล่องเรือจากเมืองกวางโจวมายังไทย ใช้เวลาประมาณ 12-15 วัน
  2. ขนส่งโดยรถ เป็นวิธีที่แม่ค้าชาวไทยนิยมเลือกใช้ เนื่องจากใช้เวลาไม่นาน ค่ากิโลราคาปานกลาง ซึ่งจะใช้เวลาการเดินทางจากกวางโจว วิ่งรถผ่านทางประเทศลาว เข้ามาทางจังหวัดในภาคอีสาน ใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน
  3. ขนส่งโดยเครื่องบิน เป็นวิธีที่แม่ค้าชาวไทยเลือกน้อยที่สุด เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องการความปลอดภัยระดับสูงในการขนส่ง โดยจะใช้เวลาในการเดินทาง 1-2 วันเท่านั้น

ส่วนการจะหาชิปปิ้งจากไหนนั้น ในกทม. มีผู้ให้บริการทางด้านนี้อยู่หลายเจ้า ราคาก็แตกต่างกันไป ใครมีเพื่อนเคยใช้บริการกันอยู่ก็ให้เพื่อนแนะนำกันได้เลย แต่ถ้าไม่รู้จักใครในวงการนี้เลย ลองค้นหาผ่านทางกูเกิ้ลก่อนโดยเบื้องต้น จากนั้นค่อยค้นต่อว่ามีคนอื่นๆ พูดถึงการบริการอย่างไรบ้าง ส่วนตัวแล้วเคยใช้บริการอยู่หลายเจ้ามากๆ แต่ก็ไม่อยากฟันธงว่าเจ้าไหนตอบโจทย์มากที่สุด เพราะชิปปิ้งแต่ละเจ้าก็มีจุดเด่นของงานบริการที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่ารอบๆนั้นเราต้องการงานบริการแบบไหน

รู้ภาษาจีน

เป็นปัญหาโลกแตกอีกเรื่องที่เป็นอุปสรรคทางการสื่อสารกันเลยก็ว่าได้ บางคนพูดภาษาไทยกันเองยังต้องแปลแล้วแปลอีก 555 เอาเป็นว่าถ้ามีระยะเวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างสั้นยังไม่ต้องไปลงทุนเรียนเพิ่มนะจ๊ะ แนะนำให้หาไกด์หรือล่ามช่วยแปลภาษาให้จะเป็นทางออกที่ดีกว่า ส่วนจะหาไกด์ช่วยเราแปลภาษาเพื่อเจรจาซื้อได้จากที่ไหนงั้นหรอ? แนะนำให้ทางบริษัทนำเข้าสินค้าหรือชิปปิ้งที่เราติดต่อไว้ช่วยหาให้เลยค่ะ โดยราคามาตรฐานสำหรับจ้างไกด์จะเริ่มต้นที่ประมาณ 300 หยวน (ประมาณ 1,500 บาท/วัน) ไม่รวมค่าทิปและค่าอาหารระหว่างวัน แต่บางชิปปิ้งถ้าเราใช้บริการขนสินค้ากลับไทยในจำนวนมากๆ ก็จะมีบริการไกด์ฟรีให้ด้วยนะ อันนี้ก็แล้วแต่การตกลงนั่นเอง

โดยหน้าที่ของไกด์เหล่านี้ เค้าจะช่วยพาเราเดินทางไปยังตลาด ช่วยพูดต่อรองราคาสินค้า สอบถามข้อมูลต่างๆที่เราอยากจะรู้ หากปิดการขายมีการสั่งซื้อของจากร้านหรือโรงงาน ไกด์จะเป็นคนช่วยเปิดบิล ต่อรองค่ามัดจำและติดต่อเรื่องการขนส่งไปยังโกดังของชิปปิ้งที่จีนให้ครบทุกอย่างโดยที่เราไม่ต้องหอบหิ้วอะไรให้หนักเลย

คำเตือน ไกด์ทุกคนมีทักษะ และความรู้ที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็แปลภาษาได้ดี มีใจบริการ และช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ หากไปหลายๆ ครั้งแล้วเจอน้องคนไหนถูกใจ ก็จองตัวหลังไมค์ จัดตารางใช้บริการกันได้ยาวๆ เลย

รู้ว่าต้องไปยังไง พักที่ไหน

การเดินทางไปเมืองหลักอย่างเมืองกวางโจว หรือเซินเจิ้นนั้นจะมีสายการบิน Low Cost ราคาประหยัดที่จะช่วยลดต้นทุนให้เราหลากหลายสายการบิน โดยราคาช่วงโปรโมชั่นดีๆ บางทีราคา 2 พันกว่าบาทก็มีให้เห็น  ส่วนใครที่ต้องการจะไปยังเมืองอี้อูนั้นจะไม่มีสายการบินที่บินตรงไปยังเมือง แต่จะต้องต่อเที่ยวบินจากในประเทศไทยอีกที หรือจะบินจากไทยไปลงยังเมืองหางโจว หรือเมืองอื่นๆ ข้างเคียง แล้วนั่งรถไฟความเร็วสูงไปก็ได้เช่นเดียวกัน

ส่วนเรื่องที่พักที่เมืองจีนนั้นราคาถูกๆ มีเยอะมาก ห้องกว้าง ความสะดวกครบครัน ซึ่งสามารถค้นหาที่ทำการจองผ่านเว็บไซต์สำหรับจองโรงแรมอย่าง Agoda, Booking, Trip และเว็บเอเจนซี่อื่นๆ ได้อย่างสะดวก

รู้ว่าจะขายที่ไหน

เมื่อเราหาของจากแหล่งที่คิดว่าถูกที่สุด ซึ่งสามารถทำราคาได้ไม่สูงมากเพื่อดึงดูดผู้ซื้อได้แล้ว ปัจจัยหลักสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ช่องทางการขาย” นั่นเอง ปัจจุบันการค้าขายมีการแข่งขันกันสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการขายแบบมีหน้าร้าน หรือขายผ่านทางช่องทางออนไลน์ ยิ่งเราสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลายช่องทางมากเท่าไหร่ โอกาสในการขายก็ย่อมเกิดมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้กระบวนการขายก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การขายเพื่อให้สินค้าดูโดดเด่น และน่าดึงดูดการซื้อด้วย ใครมีกลยุทธ์ที่การขายที่เหนือกว่าก็ย่อมขายได้มากกว่าเช่นกัน

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาล้วนเป็นข้อควรรู้พื้นฐาน เพื่อการเตรียมตัว เตรียมความพร้อมในการผันตัวเองกลายเป็นพ่อค้า แม่ค้าที่นำเข้าสินค้าจากจีนมาขาย ยังมีบทความแนะนำที่อยากจะเขียนแนะนำอีกหลากหลายเรื่อง ยังไงช่วยกันติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ 

บทความที่เกี่ยวข้อง
ไปกวางโจวทั้งที ไปทำอะไรดี
เรียนรู้ก่อนไปเดินตลาดค้าส่งจีน (กวางโจว)

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

สรุป! ชิมช้อปใช้ เฟส2 แจกเงินเหมือนเดิม เริ่ม 24 ตค.

ชิมช้อปใช้ เฟส2 แจกเงินเหมือนเดิม เริ่ม 24 ตค.
ชิมช้อปใช้ เฟส2 แจกเงินเหมือนเดิม เริ่ม 24 ตค.

เคาะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชิมช้อปใช้เฟสที่ 2 หลังจากที่มีข่าวมาหลายกระแสว่าไม่แจกเงิน เหลือให้เพียงส่วนลดเงินคืนจากยอดในกระเป๋าที่สอง แต่เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม  ได้มีการเคาะจาก ครม. และประกาศเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่ามาตรการ “ชิมช้อปใช้” เฟส2  จะยังคงมีการแจกเงิน 1,000 บาทเหมือนรอบที่แล้ว ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่ในวันที่ 24 ตค. ซึ่งรอบนี้จะมีรายละเอียด และวิธีการลงทะเบียนที่ต่างไปจากรอบที่แล้วยังไงบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

รายละเอียด ชิมช้อปใช้ เฟส 2

? เริ่มลงทะเบียนในวันที่ 24 ตุลาคม 2562

? เปิดให้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ได้ 3 ล้านคน โดยจำกัดการลงวันละ 1 ล้านคน

? แต่ละวันจะแบ่งเวลาลงทะเบียนเป็น 2 ช่วงเวลา ได้แก่ รอบเช้า 06:00 น. และรอบเย็น 18:00 น. ซึ่งจำกัดลงรอบละ 500,000 คน

? สิทธิ์การลงทะเบียนเฟส 2 จะลงได้เฉพาะคนที่ไม่ได้รับสิทธิ์ในรอบแรก รวมถึงคนที่ลงสิทธิ์รอบแรกไปแล้ว แต่ไม่ได้ใช้ด้วย

? การใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินช่องที่ 2 ในแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” จำนวนไม่เกิน 30,000 บาท จะได้รับเงินคืน 15% และถ้าใช้จ่ายเกิน 30,000 บาท ถึง 50,000 บาท จะได้รับเงินคืนเพิ่มเป็นขั้นบันได สูงสุดถึง 20%

? ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในเฟสแรก ก็ยังสามารถรับสิทธิ์เงินคืน 20% ในเฟส 2 ได้เลยทันที เมื่อใช้จ่ายเกิน 30,000 บาท โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่อีกรอบ

? ชิมช้อปใช้มีการขยายระยะเวลาจากเดิมออกไปถึงวันที่ 31 ธค. 62

เงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ

1. เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน
2. มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
3. มีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตและมีอีเมล

ข้อมูลพร้อมแล้ว หยิบมือถือเตรียมเข้าเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com กันไว้เลย ขอให้สนุกกับการใช้จ่ายนะคะ หากมีข่าวคราวความคืบหน้าเพิ่มเติม ทาง DPlus Guide จะอัพเดทกันอีกเรื่อยๆ นะจ๊ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง
มาแน่ ชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 เคาะ 22 ตค. นี้
ช้อปชิมใช้ รับเงินฟรี! ลงทะเบียนกันรึยัง?

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

กินลม ชมวิว ทานอาหารอร่อยที่บ้านม่อนม่วน (เชียงใหม่)

กินลม ชมวิว ทานอาหารอร่อยที่บ้านม่อนม่วน

ใครที่กำลังมีแพลนเดินทางไปเที่ยวยัง จ. เชียงใหม่ เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติ และสัมผัสอากาศหนาวเย็น วันนี้ DPlus Guide ขอแนะนำบ้านม่อนม่วน ที่ตั้งอยู่ในเขต อ.แม่ริม ที่นี่แห่งนี้รายล้อมไปด้วยป่าเขา และต้นไม้ สวนผัก และไร่สตรอเบอรี่

บ้านม่อนม่วน เป็นคำในภาษาเหนือ ม่อน แปลว่า ภูเขา ส่วนคำว่า ม่วน แปลว่า สนุกสนาน รวมๆ กันแล้วก็แปลว่า “บ้านบนเขาที่มีความสุข สนุกสนาน” แค่ชื่อก็ความหมายดีแล้วใช่ไม๊คะ ความจริงแล้วที่นี่แต่แรกเจ้าของต้องการที่จะสร้างบ้านพักเพื่อให้ลูกๆ ทั้ง 9 คน ได้มาอยู่ด้วยกัน จึงสร้างบ้านพักขึ้นมาทั้งหมด 9 หลัง ตามจำนวนของลูกๆแต่ถึงเวลาจริงๆ  การรวมตัวนั้นค่อนข้างยาก จึงได้เปิดให้ที่นี่เป็นบ้านพักสไตล์รีสอร์ทแก่นักท่องเที่ยว 

ก่อนเข้าเรื่องเราชมบรรยากาศไปพร้อมๆ กันก่อนเลยค่ะ

ซุ้มบริเวณทางเข้าด้านหน้า ฝั่งติดกับซอยที่เข้ามา
ทางเดินเข้าสู่ประตูซุ้มทางเข้าบ้านม่อนม่วน
สวนบนทางลาด จุดถ่ายรูปสวยที่มาแล้วห้ามพลาด
สวัสดีที่จ้าว…เจ้าจ๊อน้อยสองตัวมารอรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือน
บรรยากาศริมระเบียง ที่แสนจะโรแมนติก
วิวที่มองจากริมระเบียงของบ้านม่อนม่วน
วิวสวนผักแบบขั้นบันได มั่นใจได้ว่าได้ทานผักกันแบบสดๆ

ปัจจุบันบ้านม่อนม่วนได้มีการขยายและสร้างบ้านพักเพิ่มขึ้น มีที่จอดรถอย่างสะดวกสบายเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว แถมที่นี่ยังเป็นฉากในละคร “ตามรักคืนใจ” ที่ออกอากาศทางช่อง 3 ซึ่งจะเห็นฉากสวยๆ วิวดีๆ มุมโรแมนติกอยู่หลากหลายมุมเลยทีเดียว 

ที่นี่มีโซนให้เลือกนั่งทั้งด้านใน และด้านนอก เลือกนั่งได้ตามชอบ
วิวที่นี่เรียกได้ว่าราคาหลักร้อย แต่วิวหลักล้านเสียจริงๆ
ไม่ว่ามุมไหนก็วิวดีไปเสียหมด

รอบนี้ยังไม่มีโอกาสได้ไปพัก เลยไม่มีรูปบรรยากาศที่พักมาฝาก เนื่องจากไปทำธุระในเมืองเชียงใหม่ แต่ก็อยากสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ เลยคิดถึงบ้านม่อนม่วน ซึ่งเคยมาเมื่อ 3 ปีแล้ว พอมารอบนี้ที่บ้านม่อนม่วนได้ปรับโซน และจัดมุมใหม่ดูแปลกตาขึ้น แต่ความงามที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติของที่นี่สวยงามไม่เคยเปลี่ยนเลย

โต๊ะนั่งทานอากาศด้านนอกระเบียง วิวดีเวอร์

นอกจากการที่เราแวะมาเยี่ยมชมบรรยากาศของบ้านม่อนม่วน ที่มากี่ทีก็อยากให้ที่นี่เป็นเหมือนบ้าน ที่นี่เค้ายังมีอาหาร และเครื่องดื่มคอยให้บริการ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการแวะมาชื่นชมบรรยากาศ และทานอาหารอร่อยๆ ไปพร้อมกันอีกด้วย ซึ่งอาหารในเมนูนั้นก็จะมีทั้งอาหารพื้นเมือง อาหารไทยทั่วไป และอาหารฟิวชั่น ให้เลือกอย่างหลากหลาย ส่วนเมนูเครื่องดื่ม ก็จะมีทั้งกาแฟ น้ำผลไม้ คอกเทล เครื่องดื่มยอดฮิตอย่างชาไข่มุกก็มีให้เลือกสั่งด้วยนะ

ชุดน้ำพริกหนุ่มเมนูออเดิร์ฟพื้นเมือง
ผักซาโยเต้ผัดน้ำมันหอย (ยอดฟักแม้ว)
ต้มยำกุ้งน้ำใสก็ตามมาถึงยอดดอยกันเลยทีเดียว
หมูยอทอด ทานกับข้าวสวยร้อนๆ เมนูเบสิคที่อร่อยเสมอ
ที่นี่เค้าเสิร์ฟชาร้อนฟรีด้วยนะ แต่ชอบทานของเย็นเลยจัดชามะนาวจี๊ดจ๊าด

สำหรับรสชาติอาหารเมนูผัดผักซาโยเต้ และเซ็ทเมนูน้ำพริกหนุ่มออเดิร์ฟ ขอยกนิ้วให้เลย ผักมีความสดปรุงรสได้รสชาติที่ดี ส่วนน้ำพริกทานคู่กับผักและเครื่องเคียง ก็เข้ากันสุดๆ ปลื้มจัง

เสี่ยวหลงเปาก็มา มีให้เลือกทานเยอะจริงๆ
เมนูของเคาน์เตอร์บาร์อีกโซน
เคร์เตอร์บาร์เสี่ยวหลงเปา

นอกจากเคาน์เตอร์บาร์ที่คอยรับเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่ใกล้กับระเบียงบ้านแล้ว โซนด้านในยังมีเคาน์เตอร์บาร์ที่มีเมนู เสี่ยวหลงเปา น้ำชา รวมไปถึงเมนูยอดฮิตอย่างชาไข่มุกไต้หวันให้เลือกสั่งทานกันอีกด้วย

โซนที่นั่งของเคาน์เตอร์บาร์เสี่ยวหลงเปา

การกลับมาเยือนอีกครั้ง ยัง บ้านม่อนม่วน ก็ยังคงสร้างความประทับใจเช่นเคย ใครที่พักผ่อนแบบส่วนตัว หรือพาพ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่มาเที่ยวเชียงใหม่ ที่นี่จะทำให้คุณได้พบการการพักผ่อนที่แท้จริง บรรยากาศผ่อนคลาย ถือได้ว่าเป็นการชาร์จแบตกันอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน แล้วอย่าลืมแวะไปกันนะคะ ✌?✌?

บ้านม่อนม่วน
ที่อยู่ : 175 ม.2 ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 50180 
เบอร์โทร094-6262239095-2298249083-3186444 และ 083-3186555
เวลาบริการ : 07:30 -20:00 น.

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

เรียนรู้ก่อนไปเดิน ตลาดค้าส่งจีน (กวางโจว)

เรียนรู้ก่อนไปเดินตลาดค้าส่งจีน (กวางโจว)

เรียนรู้กลยุทธ์ การค้าส่งจีน ก่อนเดินตลาด

สำหรับใครที่กำลังจะไปหาซื้อของจากเมืองจีนมาขาย ก่อนจะไปเดินตลาดค้าส่งจีนกันยังเมืองต่างๆ มาศึกษากลยุทธ์การค้าขายของพ่อค้า แม่ค้าชาวจีนกันก่อนดีกว่า จะได้ดูสินค้าง่ายขึ้น รู้เท่าทัน และตัดสินใจซื้อสินค้าได้แบบไม่พลาด!!!

  • หน้าร้านมีการออกแบบให้ดูดี ตอนนี้การแข่งขันการค้าที่จีนถึงแม้จะเป็นแบบขายส่งแต่ก็สู้กันอย่างดุเดือด เวลาที่เราไปเดินตามตึกจะเห็นได้ว่าร้านค้าตามตึกต่างๆ เดี๋ยวนี้เค้ามีการตกแต่งหน้าร้านที่ดูทันสมัยไฮโซ น่าเดินซื้อ แต่อย่าไปกลัวว่าสินค้าจะราคาแพงขึ้น ถ้าเรามีจำนวนการซื้อมากพอ ก็สามารถต่อรองให้ถูกลงได้ 
  • ไม่ถูกให้ ไม่ต้องง้อ ร้านบางร้านตั้งราคามาเผื่อการต่อรอง สำหรับร้านที่มีขายปลีกด้วย มักตั้งราคาสูง บางทีก็สามารถต่อรองราคาได้ถึง 50% เลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นร้านค้าส่งเท่านั้น มักจะต่อรองได้จากราคาที่ตั้งไว้นิดหน่อย แล้วแต่จำนวนการสั่ง ซึ่งเราควรเดินสำรวจราคากลางจากร้านในละแวกนั้นเสียก่อน เมื่อมีราคาในใจเจอร้านที่ใช่ เจอแบบที่ชอบ ก็ค่อยต่อราคาแบบสมน้ำสมเนื้อ
  • มีนางแบบประจำร้าน หลายร้านใช้นางแบบหุ่นดีมายืนหน้าร้าน แล้วใส่เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้เห็นกันจริงๆ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะตามปกติร้านค้าจะไม่ให้ลอง แต่ถ้าอยากรู้ว่าคนหุ่นประมาณไหนจะใส่สวย ทางร้านก็เลยจัดนางแบบมียืนเป็นแบบให้ลองแทน ร้านขายเสื้อตามตึกจะมีนางแบบเกือบทุกร้าน บางร้านนางแบบมืออาชีพหน่อยก็จะมีโพสท่า พูดเรียกแขกกันอย่างน่าดูเชียว ซึ่งเราจะสามารถเห็นได้ตามตึกตลาดค้าส่งเสื้อผ้า Baima, Huimei, New China ที่เป็นเป็นตลาดค้าส่งในเมืองกวางโจว เป็นต้น
  • Live สดขายก็มา นอกจากเมืองไทยที่มีการไลฟ์สดขายของทางออนไลน์แล้ว แม่ค้าเมืองจีนเค้าก็ไม่ได้ตกเทรนด์กันนะ หลายๆ ร้านที่ตลาดค้าส่งเค้าก็หาช่องทางการขายที่เพิ่มมากขึ้นด้วยการไลฟ์สดขายสินค้ากันจากหน้าร้านเลย เพราะบางช่วงเวลาที่หน้าร้านไม่มีลูกค้าเค้าก็ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ เค้าก็มี Live สดขายกันผ่านทางแอพพลิเคชั่นดังๆ ของจีนกันด้วย
  • ได้ We Chat ร้านถือเป็นภาระกิจสำคัญ การเดินทางไปครั้งหนึ่งล้วนมีต้นทุน แต่ถ้าสามารถขอ We Chat ร้านมาได้ก็จะช่วยทำให้เราไม่ต้องเดินทางไปซื้อของเองบ่อยนัก เพราะทางร้านที่จีนทุกร้านเค้าจะมีการถ่ายแบบสินค้า ที่ให้เราสามารถดูอัพเดทสินค้าใหม่ๆ จะได้สั่งซื้อแบบออนไลน์ให้ทางร้านจัดส่งมาทางชิปปิ้งได้เลย ส่วนรูปที่ทางร้านโพสลงใน Wechat ก็ยังสามารถนำไปโพสเปิดรับพรีออเดอร์กันล่วงหน้า หรือนำไปใช้ขายออนไลน์กันได้ทันที ไม่ต้องถ่ายใหม่ ประหยัดเวลา และประหยัดเงินจ้างนางแบบมาถ่ายรูปสินค้าอีกด้วย
  • ต้องซื้อของก่อนได้ Wechat บางร้านเค้าก็ไม่ให้แอด We Chat กันง่ายๆ นะ เพราะเค้าก็กลัวคนอื่นจะนำรูปแบบสินค้าของทางร้านไปใช้กันแบบง่ายๆ ซึ่งร้านพวกนี้จะเน้นให้คนที่เคยซื้อ-ขายกันมาก่อนแอดได้เท่านั้น แต่ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าจะซื้อ-ขายกับร้านนี้ในระยะยาวหรือเปล่า ก็สามารถขอทางร้านซื้อจำนวนขั้นต่ำ (จำนวนขั้นต่ำแต่ละร้านไม่เท่ากัน ต้องลองให้ไกด์ช่วยต่อรอง) เพื่อเป็นการเปิดบิลกับทางร้านเสียก่อน ทางก็จะยอมให้เราแอพ Wechat ได้

ความจริงแล้วยังมีกลยุทธ์การค้าใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเรื่อย ก็เป็นเรื่องปกติของการค้าขายที่ต้องวิ่งไปพร้อมกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน หากใครได้ลองไปเดินตลาดค้าส่งที่เมืองจีนดูซักครั้ง ก็จะเห็นทุกๆ ข้อที่กล่าวมาข้างบน ซึ่งก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ควรรู้ก่อนไปเดินตลาด ก่อนการเดินทางจริงก็ต้องเตรียมตัว เตรียมพร้อมในการเดินทางอีกหลายๆ อย่าง ไว้บทความหน้าจะมาแชร์ประสบการณ์ให้อ่านกันอีกนะคะ สำหรับบทความนี้ขอให้ทุกท่านเดินตลาดกันอย่างเพลิดเพลินค่ะ ✌?

บทความที่เกี่ยวข้อง
ไปกวางโจวทั้งที ไปทำอะไรดี

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

มาแน่ ชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 เคาะ 22 ตค. นี้

มาแน่ ชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 เคาะ 22 ตค. นี้
ชิมช้อปใช้เฟส 2 เคาะ 22 ตค. ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ รับเงินคืนสูงสุด 20%

หลังจากที่มาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” เฟสที่ 1 มีผลตอบรับจากผู้ใช้ที่ดีมาก จึงได้มีการหาแนวทางในการเพิ่มเฟส 2 โดยมีข่าวว่ามาตรการรอบ 2 จะไม่มีการแจกเงิน 1,000 บาท เหมือนรอบแรกแล้ว แต่จะปรับเป็นการคืนเงินผ่านการใช้งาน G-Wallet สูงสุดถึง 20% เพื่อจูงใจให้คนมาเข้าร่วมโครงการ

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) ได้กล่าวถึงมาตรการชิปช้อปใช้ ระยะที่ 2 หรือ “ชิมช้อปใช้เฟส 2” ว่า ขณะนี้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พิจารณารายละเอียดโครงการ ชิมช้อปใช้เฟส 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในวันที่ 22 ตค. นี้ และจะมีการดำเนินการทันทีหลังจากนั้น โดย ชิมช้อปใช้เฟส 2 จะเน้นกลุ่มคนมีกำลังซื้อสูง ดังนั้นจึงเปลี่ยนจากการแจกเงิน 1,000 บาท มาเป็นการคืนเงินผ่านการใช้จ่ายจาก G-Wallet โดยจะได้เงินคืนเพิ่มมากขึ้นจากเฟสแรกเพื่อเป็นการจูงใจให้คนเข้าร่วมโครงการ และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงปลายปีอีกด้วย

มาแน่ ชิม ช้อป ใช้ เฟส 2 เคาะ 22 ตค. นี้

โดยการลงทะเบียนในเฟสที่ 2 จะให้ลงในช่วงเวลาทำการ แทนการลงช่วงกลางคืน เนื่องจากเฟสแรกหลายๆ คนนั้นไม่สะดวกมาลงหลังเที่ยงคืน จึงปรับให้มาลงช่วงกลางวันเท่านั้นจะได้สะดวกขึ้น และจะกำหนดผู้ลงทะเบียนในชิมช้อปใช้เฟส 2 เพียง 2 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าเฟสแรกที่กำหนดไว้ 10 ล้านคน แต่ถ้าหากมีผู้สนใจเป็นจำนวนมากก็อาจจะพิจารณาปรับเพิ่มจำนวนในอนาคต ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนในเฟสแรกก็จะได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกับเฟสที่ 2 ด้วย โดยระยะเวลาโครงการชิมช้อปใช้ จะมีการขยายไปถึงวันที่ 31 ธค. 62 จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 30 พย. นี้ 

“เป้าหมายชิมช้อปใช้ในเฟส 2 นั้นคลังตั้งเป้าไว้ไม่เหมือนกันในเฟสแรกเพราะอยากเน้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ส่วนคนที่ลงทะเบียนในเฟสแรกจะได้รับสิทธิประโยชน์เท่ากับคนที่ลงทะเบียนในเฟส 2 เช่น คนที่ใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินช่องที่ 2 ในแอปเป๋าตัง จำนวน 30,000 บาท จะได้รับเงินคืน 15% หากใช้จ่ายเงินมากกว่า 30,000 บาท ถึง 50,000 บาทก็อาจได้รับเงินคืนเพิ่มเป็นขั้นบันไดถึง 20%”

สำหรับใครที่พลาดชิมช้อปใช้เฟสแรกไป ห้ามพลาดกับเฟสที่ 2 นี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเงินมาใช้จ่าย แต่หากปรับเปลี่ยนการใช้จ่ายมาใช้ผ่าน G-Wallet แล้วได้เงินคืนด้วย ก็นับว่าเป็นการใช้จ่ายที่คุ้มค่า แถมได้เงินคืนอีกด้วย

ที่มา : www.thairath.co.th/news/business/1685405

เรียบเรียงโดย : @ipookpui

แผนเที่ยว Tokyo และเมืองรอบๆ ฉบับ 8 วันจัดเต็ม

โตเกียวเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สุดในโลก มีที่เที่ยวมากมาย แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อย เราวางแผนเที่ยวไว้ให้ ทั้งในเขตใจกลางเมือง และพื้นที่รอบๆ ที่พอจะไปเช้าเย็นกลับได้ (หรือบางเส้นทางก็แนะนำให้ใช้เวลาค้างสัก 2 วัน 1 คืน เพื่อจะได้ไม่เสียเวลารีบไปรีบกลับเกินไป) โดยอ้างอิงกับหนังสือ “เที่ยวญี่ปุ่น Tokyo และเมืองรอบๆ” ดังนี้

แผนเที่ยวในโตเกียว 4 วัน

แผนต่อไปนี้ให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ต้องเที่ยวเรียงตามลำดับ จะเอาวันไหนขึ้นก่อนก็ได้ และจะตัดวันไหนออกก็ได้ถ้าไม่มีเวลาพอหรือไม่ตรงใจ หรือจะปรับโยกย้ายยังไงก็ได้ แต่ต้องระวังเรื่องเผื่อเวลาเดินทางและเวลาปิดเปิดของแต่ละที่ให้ดีด้วย

โปรแกรมที่จัดนี้ค่อนข้างแน่น หากต้องการไปให้ครบจะใช้เวลาได้ที่ละไม่นาน ถ้าจะอยู่แต่ละที่ให้นานขึ้นอาจต้องตัดบางสถานที่ออกไปจากโปรแกรมของวันนั้น

ช่วงเช้าในโตเกียว ถ้าเป็นวันธรรมดาก็จะมีผู้คนมากมายเดินทางด้วยรถไฟไปทำงาน แนะนำให้ออกแต่เช้าก่อน 8:00 น. หรือไม่ก็สายหลัง 9:00 น. ไปเลย โดยหลีกเลี่ยงช่วง 8:00 – 9:00 น. เพราะรถไฟที่เข้าเมืองและสาย Yamanote ที่วิ่งวนรอบโตเกียว รวมถึงรถใต้ดินในเขตเมืองสายต่างๆ มักจะมีผู้โดยสารแน่นมาก บางสายถึงขนาดอัดกันเป็นปลากระป๋องเลยทีเดียว

ในฤดูหนาวพระอาทิตย์จะขึ้นสายและตกเร็วกว่าช่วงหน้าร้อนราวๆ 2 ชั่วโมง คือหน้าร้อนมืด 2 ทุ่ม แต่หน้าหนาวมืดตอน 6 โมงเย็น ดังนั้นต้องเผื่อเวลาเที่ยวและถ่ายรูปไว้ด้วยสำหรับสถานที่กลางแจ้ง

Day 1 : Tokyo Skytree – Asakusa – Odaiba

เช้า ออกจากที่พัก เดินทางไปสถานี Tokyo Skytree

8:00      ขึ้นชม Tokyo Skytree (เปิดตั้งแต่ 8:00 น.)

10:00    เดินเที่ยวชมและช้อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้าในตึก Tokyo Solamachi ด้านล่างของ Tokyo Skytree นั่นเอง

11:00    นั่งรถไฟสาย Tobu Skytree 1 ป้าย มาถึงสถานี Asakusa ตรงชั้นสองห้าง Matsuya แวะทานอาหารกลางวันตามอัธยาศัย และเดินต่อไปที่หน้าวัด (200 ม.) ระหว่างทางอย่าลืมถ่ายรูปตึกเบียร์ Asahi รูปแก้วเบียร์และเปลวไฟ (ที่บางคนบอกเหมือนอุนจิ ^_^) ริมแม่น้ำ Sumida ไว้ด้วย

12:00    ถ่ายรูปกับโคมแดงหน้าทางเข้าวัด เดินตามถนน Nakamise ช้อปปิ้งขนมของฝากระหว่างทาง เข้าไปถึงวัด Senso-ji (วัดอาสะกุสะ 400 ม.) ไหว้เจ้าแม่กวนอิม แล้วเดินกลับมาที่ท่าเรือข้างสะพานแดง Asumabashi (600 ม.)

14:00    นั่งเรือล่องตามแม่น้ำสุมิดะไป Odaiba บริเวณปากแม่น้ำ (ควรจองตั๋วและเช็คเที่ยวเรือล่วงหน้าที่ www.suijobus.co.jp)

15:00    เดินจากท่าเรือไปชมตึกสถานีโทรทัศน์ TV Fuji อาคารที่มีห้องทรงกลมเหมือนลูกโลกอยู่ด้านบน ซื้อตั๋วขึ้นชมในอาคาร

17:00    เดินต่อไปยังห้าง Venus Fort (700 ม.) และ Palette Town ที่อยู่ติดกัน ชมนิทรรศการที่ teamLab Borderless, Toyota MegaWeb ขึ้นชิงช้าสวรรค์ใหญ่ Daikanrancha

19:00    เดินย้อนกลับมาที่ห้าง DiverCity ถ่ายรูปกันหุ่นกันดั้ม (Gandum) ขนาดยักษ์หน้าห้าง ซึ่งจะมีการแสดงแสงสีเสียงประมาณช่วง 19:00-21:30 (ดูกำหนดการที่เว็บ www.unicorn-gundam-statue.jp)

20:00    อาหารเย็นตามอัธยาศัย แล้วเดินทางกลับที่พักด้วยรถไฟสาย Yurikamome สถานี Daiba หรือสาย Rinkai สถานี Tokyo Teleport (เดินจากหุ่นกันดั้มประมาณ 600 ม.)

Risotto ร้านอาหารสไตล์คาเฟ่น้องหมา

Risotto ร้านอาหารสไตล์คาเฟ่น้องหมา
บรรยากาศหน้าร้าน Risotto

ร้านอาหารเล็กๆ ในย่านซีเหมิน ที่มีน้องหมาพันธุ์ลาบราดอร์คอยต้อนรับลูกค้าอยู่ในร้าน ซึ่งน้องหมานี่เองที่เป็นจุดขายของร้าน และยังถูกดีไซน์ให้อยู่ในโลโก้เสียด้วย ดูโก้ขนาดนี้พนักงานในร้านเรียกน้องหมาว่า “บอส” ด้วยนะเออ บรรยากาศร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่เป็นห้องกระจกติดแอร์ บรรยากาศร้านดูอบอุ่น ร้านดูสะอาดสะอ้าน แต่งโทนสีขาวสว่าง

“บอส” น้องหมาพันธ์ุลาบราดอร์ ที่คอยต้อนรับแขกอยู่ในร้าน

ส่วนเมนูอาหารนั้นตรงตามชื่อร้านเลยคือ Risotto เป็นข้าวหุงแบบอิตาลี หุงกับเนย หรือหุงกับน้ำซุป เสิร์ฟมาในถ้วยหิน มีหน้าข้าวให้เลือกสั่ง โป๊ะขนมปังแผ่นมาด้านบน ในเมนูจะมีหลากหลายหน้าให้เลือก ราคาจานเดี่ยวอยู่ที่ราคา 150-180 TWD ส่วนราคาเป็นเซ็ตพร้อมน้ำและของหวานจะอยู่ที่ 250-270 TWD

บรรยากาศภายในร้าน Risotto
บรรยากาศร้านดูอบอุ่น

การใช้บริการที่นี่จะมีพนักงานคอยรับออเดอร์อยู่หน้าร้านให้เราเลือกเมนูพร้อมชำระเงินให้เรียบร้อยเสียก่อนจากนั้นก็เข้าไปนั่งรอยาวๆ หน่อย อาหารทุกจานทำสดใหม่ จึงต้องใช้เวลาในการรออยู่ซักพัก อาหารที่มาเสิร์ฟจึงมาพร้อมกับถ้วยหินและอร่อยที่ร้อนระอุ เมนูข้าวหน้าแต่ละอย่างรสชาติก็จะแตกต่างกันออกไป ตอนที่ไปเลือกสั่งเมนูข้าวหน้าเนื้อที่มีรสชาติค่อนข้างเผ็ด (ในเมนูว่าแนะนำว่าเมนูไหนเผ็ด) จึงไม่ทำให้รู้สึกเลี่ยนเท่าไหร่นัก 

ข้าว Risotto หน้าเนื้อ รสชาติกลมกล่อมมีรสชาติเผ็ดนิดๆ อร่อยดี
สตรอเบอรี่โซดา น้ำในเซ็ตข้าว

สำหรับใครที่ไม่ชอบอะไรเลี่ยน หรือเมนูข้าวคลุกซอส อาจไม่ถูกปากเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเราว่าโดยรวมถือว่าผ่านนะ ทั้งบรรยากาศ น้องหมาน่ารัก และพนักงานๆ ที่ใส่ใจดี หากใครผ่านไปผ่านมาในย่านตลาดซีเหมิน และเบื่อเมนูหมาล่าชาบูกันแล้ว ลองแวะมาชิมเมนูข้าว Risotto ดูก็เป็นทางเลือกที่ดีนะคะ

บรรยากาศน่ารักมาก มีโอกาสจะแวะไปใหม่แน่นอน ^_^

ที่อยู่ : 108, Taiwan, Taipei City, Wanhua District, Section 2, Wuchang St, 48-1號2樓號
เวลาเปิด-ปิด : 11:00-23:00 น.
การเดินทาง : สถานีรถไฟฟ้า Ximen ทางออก 6 เดินไปทางขวา ผ่านสี่แยกที่ 3 แล้วเลี้ยวซ้าย ร้านจะอยู่หัวมุมตึกซ้ายมือตรงสี่แยกแรก

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

9 หนังสือเที่ยวต่างประเทศมาใหม่ ไปได้เองไม่ตกเทรนด์

หนังสือท่องเที่ยวต่างประเทศออกใหม่! ประจำเดือนตุลาคม 62 จัดทัพเรียงหน้ากันมาถึง 9 เล่ม ที่ทางสำนักพิมพ์ DPlus Guide คัดสรรเนื้อหาคุณภาพมาพร้อมเสิร์ฟให้กับนักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผนทางเดินท่องเที่ยวตามประเทศยอดนิยมในช่วงไฮซีซั่น 

นอกจากออกมาใหม่แล้ว ยังแถมพิเศษด้วยส่วนลดในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 24 สูงสุดถึง 25% ส่วนใครพลาดงานนี้ก็ยังสามารถสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.dplusshop.com รับส่วนลด 10% ทุกการสั่งซื้อ

เรามาชมรายละเอียดข้อมูลคร่าวๆ ของหนังสือแต่ละเล่มกันค่ะ ว่าจะมีข้อมูลและน่าสนใจอะไรกันบ้าง

เที่ยวสแกนดิเนเวีย & บอลติก (Scandinavia & Baltic)

เที่ยว 16 เมืองสวยใน 7 ประเทศเหนือสุดของยุโรป ได้แก่ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เอสโตเนียลัตเวีย ลิทัวเนีย

เมืองที่ใครก็เอ่ยถึง “สแกนดิเนเวีย” ว่าเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ดินแดนอันสวยงาม เงียบสงบท่ามกลางความหนาวเย็น ดินแดนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากอาคารบ้านเรือน และภูมิทัศน์โดยรอบ แถมยังเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ น่าดึงดูดผู้คนที่ได้พบเห็น

ผู้เขียน : วรุฒม์ โอนพรัตน์วิบูล เจ้าของเพจ “เที่ยวเอง” นักเดินทางกว่า 100 เมืองในยุโรป

ราคา 375 บาท


ไต้หวัน เล่มเดียวเที่ยวทั่วเกาะ 

เล่มรวมเนื้อหาที่ท่องเที่ยวทั่วไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นไทเป จิ่วเฟิ่น อี๋หลาน เป่ยโถว ไถจง ฮวาเหลียน ไตถง เจียอี้ ไถหนาน และเกาสง เนื้อหาในเล่มจะพาคุณไปพบแหล่งท่องเที่ยวที่อัดแน่นในย่านต่างๆ อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นที่เที่ยวยอดฮิต หรือที่เที่ยวที่ทางสำนักพิมพ์ได้เดินทางไปสำรวจพบ พกเล่มเดียวจะพาคุณไปเที่ยวไต้หวันแบบมือโปรไม่มีหลง ไม่ต้องง้อทัวร์ จะไปแบบราชา หรือจะแบ็คแพ๊คจำกัดงบ ก็สามารถวางแผนการท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดาย

ผู้เขียน : DPlus Guide Team

ราคา 375 บาท


Let’s Go CZECH เที่ยวสาธารณรัฐเช็ก

เที่ยว 7 เมืองโรแมนติกในสาธารณรัฐเช็ก ได้แก่ ปราก คารโลวี วารี เพิลเซน เชสเก บุดเยยองวีตเซ เชกี กรุมลอฟ เบอร์โน โอโลมูซ

สาธารณรัฐเช็ก ที่คนไทยมักคุ้นหู และเคยเห็นวิวเมืองที่สวยงามของกรุงปราก (Prague) ผ่านละครโทรทัศน์ เมืองอันสุดแสนจะโรแมนติกที่รายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ แต่เนื้อหาในเล่มนี้ยังมีเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายเมืองที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน แต่คนไทยยังไม่นิยมไปกัน ส่วนการเดินทางภายในเช็กนั้น สุดแสนจะสะดวกสบายแทบทุกด้าน ทั้งผู้คนที่เป็นมิตร ปลอดภัย การเดินทางที่สะดวก เชื่อถือได้ ค่าครองชีพก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาเช็กได้ ขอแค่มีสกิลภาษาอังกฤษอยู่บ้าง และหนังสือนำเที่ยวดีๆ เล่มนี้ ก็จะช่วยนำทางท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย

ผู้เขียน : ตะวัน พันธ์แก้ว

ราคา 385 บาท


เที่ยวไอซ์แลนด์ ICELAND

ท่องแดนน้ำแข็ง กินลม ชมแสงเหนือ และอาทิตย์เที่ยงคืน ลุยเที่ยวไอซ์แลนด์รอบประเทศ ตามเส้นทาง Ring Road, Garden Circle, Diamond Circle, Reykjanes และ Snaefellanes

ไอซ์แลนด์ ประเทศอันดับต้นที่คนรักธรรมชาติอยากไปสัมผัส จากปากต่อปากที่พูดถึงที่นี่ว่าเป็นดินแดนที่ไฟและนำแข็งมาปะทะกันอย่างน่าทึ่ง หรือเมืองหนึ่งในสถานที่ชมแสงเหนือที่ดีที่สุด หรือการเป็นเมืองที่มีสภาพอากาศอันเลวร้าย ทำให้การเดินทางติดขัด หรือเกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยว หรือมาที่นี่ค่าทัวร์แพงโหด ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในประเทศนี้ทั้งนั้น แต่หนังสือเล่มนี้จะเป็นตัวช่วยที่จะนำทาง และปิดจุดยากลำบากของการเดินทางไปเที่ยวกลายเป็นเรื่องง่ายๆ เหลือไว้เพียงความประทับใจสำหรับการไปเยือนอย่างเพลิดเพลิน

ผู้เขียน : วงศ์ประชา จันทร์สมวงศ์

ราคา 429 บาท


ญี่ปุ่น เล่มเดียวเที่ยวทั่วประเทศ JAPAN All Around

รวมสุดยอดที่เที่ยวไม่ควรพลาดทั่วประเทศญี่ปุ่น ครบทั้ง 8 ภูมิภาค ตั้งแต่ Hokkaido, Tohoku, Kanto, Chubu, Kansai, Chugoku, Shikoku, Kyushu จนถึง Okinawa

เรียกได้ว่าเป็นเล่มมหากาพย์รวมที่เที่ยวไฮไลท์สำคัญๆ ทั่วเกาะญี่ปุ่นตั้งแต่เมืองเหนือสุดของเกาะอย่างฮอกไกโด ไปจนถึงเมืองล่างสุดอย่างเกาะโอกินาวา สำหรับผู้ที่ต้องการมองภาพรวมของการท่องเที่ยวทั่วประเทศ หรือต้องการวางแผนท่องเที่ยวทั่วญี่ปุ่นให้ครบแบบมือโปร เล่มนี้รับรองว่าตอบโจทย์แฟนพันธุ์แท้ ที่จะทำภารกิจพิชิตแหล่งท่องเที่ยวให้ครบ โดยภายในเล่มจะแนะนำการเดินระหว่างเมือง และแจกแผนที่พับการเดินทางด้วยรถไฟให้อีกด้วย รับรองความคุ้มค่าในเล่มเดียว

ผู้เขียน : DPlus Guide Team

ราคา 429 บาท


ลุยตลาดค้าส่งจีน กวางโจว อี้อู เซินเจิ้น

รวมแหล่งตลาดขายสินค้าราคาส่ง ราคาโรงงานจากเมืองกวางโจว เซินเจิ้น และอี้อู เหมาะสำหรับพ่อค้า แม่ค้าที่กำลังมองหาสินค้าราคาต้นทุนถูกๆ นำเข้ามาขาย หนังสือเล่มนี้จะแนะนำทั้งการเดินทาง และข้อมูลรายละเอียดสินค้าต่างๆ มากมายอย่างที่ต้องการ นอกจากการไปหาสินค้ามาขายแล้ว ยังแนะนำสถานที่เที่ยวไฮไลท์ของเมืองต่างๆ ให้ด้วย เรียกว่าไปทริปเดียว ได้ทั้งแนวธุรกิจและท่องเที่ยวในคราวเดียวกัน

ผู้เขียน : ภวรัญชน์รัตน์ ภู่วิจิตร์

ราคา : 365 บาท


เที่ยวญี่ปุ่น CHUBU 

เที่ยวทั่วจูบุ ครบ 9 จังหวัด ได้แก่ Aichi, Shizaoka, Yamanashi, Gifu, Nagano, Niigata, Toyama, Ishikawa, Fukui

ภูมิภาคจูบุ ฟังแล้วอาจไม่คุ้นหูเท่าไหร่ แต่ถ้าเอ่ยชื่อสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบ Kawaguchiko หมู่บ้านมรดกโลก Shirakawa รวมถึงเส้นทางเจแปนแอลป์ Tateyama Kurobe Alpine Route หลายๆ คนคงร้องอ่อ ด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม และเป็นที่ที่ดึงดูดความน่าสนใจ นอกจากมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติแล้ว ภูมิภาคนี้ยังคงไว้ซึ่งร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย รวมถึงอาหารการกินเลิศรสที่ขึ้นชื่ออย่างเนื้อวัวชั้นเลิศ อาหารทะเลสดๆ ชาเขียวคุณภาพดี วาซาบิแท้จากฟาร์ม ทุกอย่างที่เอ่ยมาให้รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ เพื่อแนะนำให้ได้เดินทางท่องเที่ยวอย่างครบรส

ผู้เขียน : DPlus Guide Team

ราคา : 375 บาท


เที่ยวรัสเซีย RUSSIA

เที่ยวรัสเซีย RUSSIA หนังสือที่จะพาตระเวนเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ อย่าง Moscow, Golden Ring, St. Peterburg, Vyborg, Murmansk เนื้อหาของนังสือเล่มนี้ได้มีการปรับปรุงใหม่ และได้รวบรวมข้อมูลล่าสุด ที่จะทำให้คุณได้ท่องแดนหมีขาว ชมวัง วิหารแบบอลังการ แถมยังได้ตามล่าแสงเหนือที่มูร์มันสค์ ครบรสทั้งที่เที่ยวไฮไลท์ห้ามพลาด สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยว แบบจัดเต็ม เมืองมอสโคว เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเมืองรอบ ๆ

ผู้เขียน : ทพญ.รักษ์รัฐ สิทธิโชค

ราคา 429 บาท


เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว และเมืองรอบๆ

หนังสือเที่ยวญี่ปุ่นในโตเกียว และโซนรอบนอก อาทิ Tokyo Disneyland, Yokohama, Kamakura, Hakone, Fuji 5 Lakes, Nikko, Kawakoe, GALA Yuzawa หนังสือที่แนะนำที่เที่ยวเด็ดๆ จากนักเขียนผู้อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น ที่จะทำให้เห็นมุมมองของสถานที่ท่องเที่ยวเหมือนคนท้องถิ่นตัวจริงพาไปเที่ยว ที่เที่ยวไหนเด็ด ที่ไหนโดน รับรองว่าเนื้อหาและการนำเสนอจะต่างออกไปจากหนังสือที่เคยอ่านมา

ผู้เขียน : Katto Panarat

ราคา 385 บาท


เรียบเรียงโดย : @ipookpui

ไปกวางโจวทั้งที ไปทำอะไรดี

ไปกวางโจวทั้งที ไปทำอะไรดี
โบสถ์ Sacred Heart ที่ตั้งอยู่บนถนน Yidelu

เมืองกวางโจวขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศจีน และยังเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่คนไทยเดินทางไปเพื่อซื้อสินค้าราคาส่ง นำเข้ามาขาย ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองจินตนาการให้เมืองทั้งเมืองเป็นตึกค้าส่งแบบแพลตทินั่ม หรือประตูน้ำเมืองไทย เรียกได้ว่าเป็นเมืองการค้าที่แท้จริง 

วีซ่าสำหรับทางเดินเข้าประเทศจีน

สำหรับการเดินทางไปยังเมืองกวางโจว อันดับแรกเลยต้องขอวีซ่า ควรทำล่วงหน้าก่อนเดินทางอย่างต่ำประมาณ 1 สัปดาห์ เผื่อมากกว่านั้นก็ดีจะได้อุ่นใจหน่อย ส่วนตั๋วเครื่องบินก็ราคาไม่สูงมากนัก ซึ่งมีทั้งสายการบิน Lowcost และ Full Service ให้เลือกใช้บริการ ส่วนระยะเวลาการบินไปยังกวางโจว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ถือว่าไม่ใกล้ ไม่ไกล

บรรยากาศรถไฟฟ้าใต้ดินเมืองกวางโจว

ส่วนระบบขนส่งภายในเมือง ถือว่าเป็นเมืองที่เยี่ยมยอดด้านระบบขนส่งสาธารณะเมืองหนึ่งเลยทีเดียว เพราะคุณสามารถที่จะเดินทางได้ด้วยรถเมล์ รถใต้ดินที่ให้บริการครอบคลุมตัวเมืองอย่างสะดวกสบาย หรือจะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ ก็มีรถไฟความเร็วสูงให้ใช้บริการกันอีกด้วย

ห้องพักโรงแรม Guangzhou Hotel

เรื่องที่พัก โรงแรมมีให้เลือกเยอะมาก แถมราคาไม่แพง และได้ห้องใหญ่เสียด้วย โรงแรมมาตรฐาน พักสะดวก อยู่สบาย สะอาดสะอ้าน อยู่ในย่านการค้า ราคาอยู่ที่พันกว่าบาทก็มีให้เลือกเยอะมาก

ร่ายยาวเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานทั่วไปแล้ว เรามาเข้าเรื่องไฮไลท์กันเลยดีกว่า การมายังเมืองกวางโจว แน่นอนว่าพลาดไม่ได้เลยกับการแวะเที่ยวชมตลาดค้าส่ง หลายคนเคยทางเดินมาซื้อข้าวของกลับไปขายคงคุ้นเคยเมือง และตลาดที่เคยไป แต่ความจริงแล้วที่กวางโจวมีตลาดสินค้าหลากหลายประเภท จนเดินชมไม่หวาดไม่ไหว เราตามไปดูกันดีกว่าค่ะ ว่าที่กวางโจวมีตลาดสินค้าประเภทไหนที่น่าสนใจกันบ้าง

ตลาดเสื้อผ้าค้าส่ง

ตลาดค้าส่งเสื้อผ้ามีอยู่หลายย่านในเมืองกวางโจว เสื้อผ้าก็มีหลากหลายเกรดให้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าโล๊ะสต็อก ย่าน Changgang (ช่างกัง) เสื้อผ้าก้อปแบรนด์เนมเกรดต่างๆ เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี ย่านถนน Zhanxi (จ้านซี) เสื้อผ้าทั่วไป ย่าน Shisanhang (สือซันหัง)/Shahe (ชาเหรอ) เสื้อผ้าแฟชั่นเด็ก ย่าน Zhongshanba (ซงชานบ้า) ชุดแต่งงาน ย่าน Jiangnan (เจียงหนาน) ซึ่งยังมีตลาดอีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยถึง

ตึก New China Mansion ในย่านสือซันหัง
ตึก Wanjie ในย่านชาเหอ
ตึก Huimei ขายเสื้อผ้าสไตล์เกาหลีที่ย่านจ้านซีลู่
บรรยากาศภายในตึกค้าส่งเสื้อผ้า

ตลาดค้าส่งสินค้ากิ๊ฟช้อปและของเล่นเด็ก

ย่านตึก One Link และตึกใกล้เคียงจะเป็นแหล่งรวมร้านค้าและโรงงานที่มาเปิดหน้าร้านโชว์สินค้าและรับออเดอร์จำนวนมากๆ เดินไปทางไหนก็จะเห็นสินค้าที่เหมือนที่ประเทศไทย เพราะสินค้าส่วนใหญ่ที่ไทยก็นำเข้าจากจีนมาขายนั่นเอง ใครกำลังมองหาของฝากเพื่อนที่ออฟฟิศ หรือฝากเพื่อนหรือญาติ ซื้อรวมกันเยอะๆ จะได้ราคาดี ถ้าซื้อปลีก 1 หรือ 2 ชิ้นราคาจะไม่ค่อยแตกต่างจากไทยเท่าไหร่นัก

ตึก One Link ขายสินค้ากิ๊ฟช้อปในย่านอิเตอลู่
บรรยากาศภายในตึก One Link
บรรยากาศภายในตึก One Link

ตลาดค้าส่งรองเท้า

ย่านที่คนไทยนิยมเห็นจะเป็นย่าน Haizhu ที่เป็นแหล่งรวมสินค้าประเภทรองเท้าทั้งปลีกและส่ง มีทั้งรองเท้าแฟชั่นและรองเท้าลำลองทั่วไป และจะมีอีกย่านที่ถนนจ้านซี จะเป็นแหล่งรวมตึกร้านค้าและโรงงานที่รับผลิตโรงเท้า เครื่องหนัง และอะไหล่สำหรับทำรองเท้าและกระเป๋าโดยเฉพาะ ใครสนใจทำแบรนด์ผลิตกระเป๋าไม่ควรพลาดกับที่นี่เด็ดขาด

ตึกขายรองเท้าย่าน Haizhu แหล่งรวมโรงงานผลิตรวมเท้า
รองเท้างานดีตัดเนี๊ยบ หนังแท้ ก็มีให้เลือก
ใครอยากผลิตสินค้าก็มีหนัง และอะไหล่ขายกันด้วย

ตลาดค้าส่งกระเป๋า

หากใครกำลังหาตลาดค้าส่งกระเป๋า แน่นอนว่าต้องแนะนำที่นี่เลยย่านกุ้ยฮั่วกัง เป็นย่านใหญ่ที่รวมตึกและร้านค้าส่งกระเป๋าชื่อดังของเมืองกวางโจว มีตั้งแต่กระเป๋าราคาหลักสิบ ยันราคาหลักหมื่น ก้อปแบรนด์เนมเกรดเอเหมือนแท้ก็มีให้เลือกซื้อนะจ๊ะ มาย่านนี้เรียกได้ว่าเดินวันเดียวก็เดินไม่หมด ร้านค้า และโรงงานเยอะมากมายจริงๆค่ะ

ตึก Baiyun World Leatherware ขายสินค้าประเภทกระเป๋าเกรดคุณภาพสูง
ร้านขายกระเป๋าย่านกุ้ยฮั่วกัง

แนะนำตลาดค้าส่งกันพอเป็นน้ำจิ้มกันไปพอคร่าวๆ กันเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ เพราะความจริงแล้วตลาดค้าส่งที่กวางโจวมีอยู่ทุกซอกมุมของเมืองเลยทีเดียว แต่นอกจากการเดินชม เดินช้อปตลาดค้าส่งกันแล้ว ความจริงที่นี่เค้าก็มีที่เที่ยวที่น่าสนใจ และมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยนะคะ ถ้าใครมาทำธุระซื้อข้าวซื้อของ มีเวลาเหลือก่อนบินกลับก็แวะเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์กันก่อนได้ เรามาดูกันค่ะ ว่าที่เที่ยวเมืองนี้เค้ามีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

ตึก Canton Tower 

เป็นตึกที่สูงที่สุดของเมืองกวางโจว ตึกแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองเลยทีเดียว ภายในตึกแห่งนี้มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ จุดชมวิว เครื่องเล่นบนยอดหอคอย ในช่วงกลางคืนจะเปิดไฟสีสันต่างๆ ซึ่งสามารถเมืองเห็นได้จากจุดต่างๆโดยรอบบริเวณตึก เป็นที่ๆห้ามพลาดเด็ดขาดเมื่อมาเยือนเมืองกวางโจว

วิวตึก Canton Tower ที่ถ่ายจาก Huacheng Avenue

อนุสาวรีย์แพะ 5 ตัว 

ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณสวนสาธารณะเยี่ยซิ่ว เป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นด้วยหินแกรนิต 120 ก้อน แกะสลักและประกอบกันเป็นรูปแพะ 5 ตัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองกวางโจวนั้นเอง สวนสาธารณะที่เป็นที่ตั้งนี้เป็นสวนขนาดใหญ่กลางใจเมือง ภายในบริเวณยังมีพิพิธภัณฑ์เมืองกวางโจว และจุดเดินเที่ยวเดินชมธรรมชาติอีกหลายจุดที่น่าสนใจเลยทีเดียว

อนุสาวรีย์แพะ 5 ตัวที่อยู่ภายในสวนสาธารณะเยี่ยซิ่ว
พิพิธภัณฑ์กวางโจวที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณสวนสาธารณะเยี่ยซิ่ว

อนุสรณ์สถาน ดร.ซุน ยัตเซน (Dr. Sun Yat-sen Memorial Hall) 

อนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง ดร. ซุนยัตเซ็น ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของชาติจีน และเป็นผู้บุกเบิกการปฏิวัติประชาธิปไตยในช่วงเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง จุดเด่นของที่นี่อยู่อาคารทรงแปดเหลี่ยมภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีความพิเศษตรงสร้างขึ้นโดยไม่มีเสาอาคารตรงกลาง ส่วนบริเวณโดยรอบนั้นได้ปลูกสวนดอกไม้ และต้นไม้เรียงรายอย่างร่มรื่นสวยงาม

รูปปั้น ดร.ซุน ยัตเซน ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าอาคารแปดเหลี่ยม
อนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึง ดร.ซุน ยัตเซน 

ถนนคนเดินเป่ยจิงลู่ และถนนซ่างเซี่ยจิ๋ว เป็นย่านถนนคนเดินชื่อดังของเมืองกวางโจว ทั้งสองที่นี้จะที่ครึกครื้นไปด้วยผู้คน และร้านค้า ร้านอาหาร ของกิน ของฝากมากมาย ส่วนใหญ่คนจะเยอะช่วงหัวค่ำ สำหรับใครที่ชื่นชอบการเดินช้อปปิ้ง ทานอาหารสตรีทฟู้ดห้ามพลาดเด็ดขาด

ถนนคนเดินเป่ยจิงลู่
ถนนคนเดินซ่างเซี่ยจิ่ว
บรรยากาศบริเวณถนนคนเดินซ่างเซี่ยจิ่ว

สำหรับบทความนี้อธิบายเป็นน้ำจิ้มแบบคร่าวๆ ไปก่อน บทความหน้าจะพารีวิวที่ช้อป ที่เที่ยวในเมืองกวางโจวอย่างละเอียดกันคอยติดตามกันด้วยนะจ๊ะ ^_^

ส่วนใครอยากรู้เรื่องราวของกวางโจวอย่างละเอียดยิบ ทั้งที่เที่ยวที่ช้อป อุดหนุนหนังสือ ลุยตลาดค้าส่ง กวางโจว อี้อู เซินเจิ้น ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ DPLUS SHOP กันเลยค่ะ

เรื่องและภาพโดย : @ipookpui

Pokémon GO ปล่อยโปเกมอนลาพลาส (Lapras) กระตุ้นท่องเที่ยว

ใครว่าจับโปเกมอนไร้สาระ!? Pokémon GO ปล่อยโปเกมอนหายากกระตุ้นท่องเที่ยวญี่ปุ่น

ใครว่าโปเกมอนไร้สาระ!? ผู้พัฒนาเกม Pokémon GO (โปเกมอนโก) ประกาศปล่อย Lapras โปเกมอนหายาก เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวญี่ปุ่นในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิในเมื่อปี 2011 ในภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku) ตั้งแต่วันนี้ - 23 พ.ย.